เมื่อหลายสัปดาห์ก่อนมีคนต้ั้งกระทู้ในเว็บไซต์หนึ่งว่า “หากลูก (วัยอนุบาล) ถูกรังแกต่อหน้าต่อตา คุณจะทำอย่างไร (ลูกถูกรังแก)
ปรากฏว่ามีคุณพ่อคุณแม่ (จะจริงหรือกำมะลอก็ไม่อาจรู้ได้) ต่างเข้ามาโพสต์แสดงความคิดเห็นกันอย่างออกรส บ้างก็ว่าจะเดินไปตบเด็กที่รังแกลูกให้สาใจ บ้างก็ว่าจะสอนให้ลูกเอาคืนให้สาสม บ้างก็ว่าเด็กเ…ยอย่า งนี้ต้องเข้าไปสั่งสอนให้สำนึก ส่วนใหญ่ความเห็นเป็นเช่นนี้ทั้งนั้น อ่านแล้วคนเป็นแม่อย่างเราก็สะท้อนใจ
มีพ่อแม่คนไหนย้อนถามตัวเองหรือไม่ว่าลูกเราเคยรังแกคนอื่นหรือเปล่า แล้วถ้าพ่อแม่เด็กอื่นเห็นลูกเรารังแกลูกเขา เลยเดินมาตบลูกเราล่ะ เราจะรู้สึกอย่างไร เด็กที่รังแกลูกเราต่างก็คือเด็ก บางทีอาจอยู่ในวัยเดียวกัน วัยที่ผ่านโลกมาไม่ถึงห้าหรือหกปีด้วยซ้ำ หรือเด็กที่คุณใช้คำว่า เด็กเ…ย อาจทำไปเพียงเพราะต้องการเรียกร้องความรักความสนใจ อยากเล่นโดยไม่รู้ว่าเล่นแรง ๆ น่ะ ผู้ใหญ่เขาเรียกว่ารังแก เด็กที่คุณว่าเกเร ขี้แกล้ง อาจทำรุนแรงเพียงเพราะต้องการให้ใครสักคนช่วยอบรมเขาด้วยความเมตตา มากกว่าการเดินเข้าไปใช้ความรุนแรงหรือด่าทอ
ดิฉันเป็นแม่ที่ดูจะเดินสวนทางกับคนอื่นมาตลอด แม้แต่เพื่อนสนิทยังเคยถามว่าทำไมไม่สอนให้ลูกสู้ จนเกิดเป็นประเด็นให้อรรถาธิบายกันยืดยาว ด้วยความเป็นแม่ รู้ดีค่ะว่าการที่ ลูกถูกรังแก สร้างความเจ็บปวด และทำให้เกิดความโกรธมากแค่ไหน แต่ดิฉันก็ไม่เคยสอนลูกเลยว่าให้สวนกลับทันทีที่ถูกรังแก ใช่ว่าใจเป็นแม่พระอะไรหรอกนะคะ แต่ด้วยตระหนักดีว่า การต่อสู้ที่ดีที่สุดคือการเลี่ยงที่จะต่อสู้ และการสวนกลับเมื่อตัวเองเจ็บจะทำให้คู่กรณีเจ็บยิ่งกว่าด้วยแรงโกรธที่ถาโถม แม้แต่กับโจรผู้ร้ายถ้าประจวบเหมาะเคราะห์ไม่ดีต้องเจอะเจอ สิ่งแรกที่ดิฉันสอนลูกก็คือให้หนีก่อน นั่นเป็นหนทางรอดที่ดีที่สุด การสอนลูกเช่นนี้ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเป็น การสอนตัวเองด้วย สอนให้ตัวเองรู้ขันติ อดทนอดกลั้น เพราะเมื่อรู้สึกโกรธที่ลูกถูกรังแกเมื่อไร ต้องระงับให้ได้เร็วที่สุด ไม่อย่างนั้น ไม่มีทางพบปัญญาที่จะไปแก้ปัญหาได้เลยค่ะ
เคยมีกรณีและอยากยกตัวอย่าง ลูกสาวดิฉันเคยถูกเด็กผู้ชายวัยใกล้เคียงกันราว ๆ 5 ขวบต่อยจนล้มที่สนามเด็กเล่น ลูกสาวเดินร้องไห้หน้าตาแดงก่ำกลับมาฟ้อง…สิ่งแรกที่ลูกต้องการคือ “แม่ต้องไปจัดการเด็กผู้ชายคนนั้น” ดิฉันเดินจูงมือลูกกลับไปที่สนามเด็กเล่นอีกครั้ง เด็กผู้ชายคู่กรณียังอยู่ ดิฉันจับมือเด็กผู้ชาย จับมือลูกสาว และถามคำถามเดียวกันกับทั้งคู่ว่า “เกิดอะไรขึ้น” คำอธิบายของเด็กทั้งสองทำให้รู้ทันทีว่ามีเหตุให้เข้าใจผิดจนถึงกับต้องลงไม้ลงมือ ด้วยวุฒิภาวะที่ไม่อาจยั้งความโกรธ หรือการถูกสอนให้ทำร้ายเมื่อโกรธ หรือยังไม่เคยมีใครบอกเขาว่าเมื่อโกรธต้องระงับอย่างไร จึงทำให้เหตุการณ์ธรรมดา ๆ ของเด็กวัยห้าหกขวบปะทุถึงขั้นต้องทำให้อีกฝ่ายเจ็บตัว
สิ่งเดียวที่ดิฉันทำในเหตุการณ์นั้นคือ ให้เขาทั้งสองขอโทษซึ่งกันและกัน ลูกสาวผิดหวังมากค่ะ เขารู้สึกเหมือนแม่ไม่ช่วยเขา ไม่ปกป้องเขา ดิฉันรอจนลูกสงบ เลิกร้องไห้ และไม่พร่ำบ่น จึงค่อย ๆ สอนเขาว่า เพราะแม่รักลูก แม่จึงอยากให้ลูกรู้ว่า การขอโทษโดยไม่ต้องถามว่าใครผิดหรือถูกเป็นการให้อภัยที่ยิ่งใหญ่ที่สุด แม่กำลังทำให้ลูกเห็นว่าทุกอย่างจบลงได้ด้วยคำว่า “ขอโทษ”
เหตุการณ์ของลูกสาวและเด็กผู้ชายคนนั้นจบไปแล้วด้วยการให้อภัยซึ่งกันและกัน แต่ผู้ใหญ่ที่เห็นเหตุกาารณ์ไม่จบค่ะ เพื่อนบ้านเดินมาถามว่าดิฉันไปจัดการเด็กผู้ชายคนนั้นหรือยัง จัดการอย่างไร ไปฟ้องพ่อแม่เขาหรือเปล่าว่าลูกชายเกเร คำตอบเดียวสั้น ๆ ที่ดิฉันตอบเพื่อนบ้านก็คือ เด็กเขาขอโทษกันแล้ว เดี๋ยวเขาก็ลืม แล้วก็เล่นกัน ใหม่
ถ้าวันนั้นดิฉันเดินไปหาพ่อแม่ของเด็กผู้ชาย เชื่อเถอะค่ะว่าไม่จบแน่ ผู้ใหญ่มักทะเลาะกันเพราะเรื่องจิ๊บ ๆ ของเด็กมานักต่อนักแล้ว เรามาทำให้เด็กในปกครองหรือเด็กที่อยู่ใกล้ตัวเราได้เห็นไม่ดีกว่าหรือคะว่า ในความโกรธ ความเจ็บ ถ้ามีขันติและรู้ให้อภัย จะไม่เกิดเรื่องบานปลาย ถ้าผู้ใหญ่อย่างเรายังทำให้เด็ก ๆ เห็นว่าการตอบสนองสิ่งเร้าด้วยวิธี “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” เป็นวิธีที่ถูกต้อง คุณก็จะได้เห็นข่าวหน้าหนึ่งซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แค่ขับรถปาดหน้าก็ยิงกันถึงตาย
ส่วนเกินไม่กี่สตางค์ในการเติมเชื้อเพลิงรถก็ถึงกับต้องแลกด้วยชีวิต
เพียงเพราะไม่ชอบหน้าก็เลยสาดด้วยน้ำร้อนต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในร้านสะดวกซื้อ และ
เด็กยกพวกตีรันฟันแทงกันเพราะเพื่อนในกลุ่มถูกรังแก
เรามาจบข่าวทำนองนี้ด้วยการสอนลูก สอนตัวเอง และทำให้เห็นว่า “การให้อภัยไม่ใช่เรื่องยากเย็น” ดีกว่าค่ะ
ที่มา นิตยสาร Secret
เรื่อง แม่เปรมา
บทความน่าสนใจ
วิธีตอบแทนพ่อแม่ ระดับสูง – หนทางสู่การเป็น “ที่สุด” แห่งความกตัญญู