บทเรียนจากความเจ็บปวดซ้ำซาก ของหญิงผู้โหยหาความรัก
แม้ชีวิตของฉันจะไม่ได้เกิดจากความรักของพ่อและแม่ แต่ถึงอย่างนั้น ฉันก็ยังถือว่าตัวเองเป็นคน “โชคดี” เพราะอย่างน้อย ๆ ฉันก็มีโอกาสได้ลืมตาดูโลก และได้รู้จักชีวิตในแง่มุมต่าง ๆ …ในขณะที่เด็กอีกหลายคนไม่มีโอกาสนั้น สิ่งที่ได้จาก บทเรียนจากความเจ็บปวดซ้ำซาก
หลังฉันลืมตาดูโลกเพียงสามเดือนพ่อกับแม่ก็แยกทางกัน พ่อนำฉันมาทิ้งไว้กับปู่และย่า แล้วก็ไปขับรถสิบล้อที่ต่างจังหวัด นาน ๆ ครั้งถึงจะกลับบ้าน แต่พอกลับมาพ่อก็ไปอยู่กับภรรยาใหม่ที่บ้านอีกหลังหนึ่ง ชีวิตฉันจึงกลายเป็นว่า “มีพ่อก็เหมือนไม่มี” แต่อะไรก็ยังไม่ช้ำใจมากเท่ากับที่ท่านไม่เคยให้ฉันเรียกว่า “พ่อ” เลยตั้งแต่เกิดมา สั่งให้เรียก “พี่” ตลอด
บ้านที่ฉันอยู่ เราอยู่รวมกันเป็นครอบครัวใหญ่ มีย่าและสามีใหม่ของย่า ลุง อาผู้ชาย และหลาน ๆ อีก 2 – 3 คน ทุกคนดูมีอิสระในการใช้ชีวิตเต็มที่ จะมีก็แต่ฉันที่ถูกเคี่ยวเข็ญมากกว่าใคร ซึ่งนั่นอาจจะด้วยความที่ฉันเป็นหลานสาวคนโตของบ้าน ผิดนิดผิดหน่อยก็มีทั้งบ่น ทั้งด่า รวมทั้งลงไม้ลงมือทำโทษแรง ๆ เพื่อให้หลาบจำไม่มีใครรู้หรอกว่าการลงโทษแต่ละครั้งฉันไม่ได้เจ็บแค่กาย แต่กลับบาดลึกลงไปถึงหัวใจ และทำให้ฉันบอกตัวเองว่า “ต่อไปอย่าพูดมากนะ ใครให้ทำอะไรอย่าปฏิเสธนะ เพราะไม่อย่างนั้นจะต้องโดนลงโทษแน่ ๆ ”
ความหวาดกลัวที่ว่านี้ติดตัวฉันมาตลอดจนเข้าเรียน ป.1 จำได้แม่นว่าวันนั้นฉันปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำมาก แต่ก็ไม่กล้าบอกครู อึกอัก ๆ จนในที่สุดก็อึราดในห้องเรียน นับจากวันนั้นฉันก็โดนเพื่อน ๆ ล้อมาจนจบ ป.6 แต่ถึงอย่างนั้น ฉันก็ยังคงนิ่ง ไม่กล้าพูด ไม่กล้าปฏิเสธ ไม่กล้าบอกความต้องการของตัวเอง…เหมือนเดิม
พอขึ้นชั้น ม.2 แววเกเรก็เริ่มออก ฉันประเดิมด้วยการโดดเรียนไปดูหนังกับเพื่อนแล้วก็ไม่ยอมกลับบ้าน ปรากฏว่า วันนั้นพ่อเกิดกลับมาพอดี พอรู้ว่าฉันไม่ได้กลับบ้านเท่านั้นแหละ พ่อเที่ยวออกตามหาทั้งคืน แต่กว่าจะเจอฉันก็ตอนเย็นของวันรุ่งขึ้นแล้ว พ่อไม่พูดพร่ำทำเพลง กระหน่ำทั้งกำปั้นและฝ่ามือใส่ฉันทันทีด้วยความโกรธ ก่อนจะปิดท้ายด้วยการสั่งห้ามไม่ให้ฉันไปโรงเรียนอีกต่อไป ความเป็นเด็กทำให้ฉันต้องก้มหน้ายอมรับคำตัดสินของผู้ใหญ่แต่โดยดี ทั้งที่เรื่องก็ไม่ได้ร้ายแรงถึงขนาดนั้น แต่ฉันต้องออกจากโรงเรียนทั้ง ๆ ที่ยังเรียนไม่จบชั้น ม.2 เพื่อมาช่วยงานที่บ้าน
หลังจากนั้นไม่นาน ฉันก็พบกับ “รักแรก” ในชีวิต ถึงจะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ที่เราคบหากัน แต่ตลอดเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน ฉันรู้สึกว่าเขาคือผู้ชายที่ฉันรักและต้องการมากที่สุดในโลก เพียงแค่เขายิ้มให้ฉัน เรากอดกันเบา ๆ จับมือกันแน่น ๆ หัวใจของฉันก็ล่องลอยไปไกลแสนไกลแล้ว ที่สำคัญ สิ่งเหล่านี้ทำให้ฉันรู้ว่า สิ่งที่ฉันขาดหายและกำลังตามหาอยู่ก็คือ…“ความรัก” นั่นเอง
แต่จะด้วยความเป็นเด็กของเราทั้งคู่ก็ดี หรือจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ไม่นานนักเราทั้งคู่ก็เลิกรากันไป หัวใจของฉันว่างอยู่ได้ไม่นาน ฉันก็พบกับรักครั้งที่สอง รักครั้งนี้ทำให้ฉันมีความสุขและคิดถึงอนาคตจนตัดสินใจไปเรียน กศน. แต่เรียนไปได้สักพักฉันก็เกิดตั้งท้องขึ้นมา! เหตุการณ์ตอนนั้นเหมือนละครน้ำเน่าไม่มีผิด เมื่อฝ่ายชายบอกกับฉันด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ว่า “ผมยังมีอนาคตอีกไกล คงจะรับผิดชอบเธอและลูกในท้องไม่ได้ เอาเด็กออกเถอะ”
ถึงฉันจะเสียใจกับคำตอบของชายคนรักคนที่กำลังจะเป็นพ่อของลูกมากเพียงใดก็ตาม แต่นั่นก็ไม่มากเท่ากับคำพูดจากครอบครัวของฉันเองที่สนับสนุนให้เอาเด็กออกท่าเดียว ไม่มีทีท่าจะห้ามปรามยับยั้งใด ๆ เลย
ดังนั้น ไม่กี่วันต่อมา แฟนของฉันก็มารับฉันไปที่คลินิกแห่งหนึ่ง ความรู้สึกตอนที่ขึ้นขาหยั่งมันแย่เสียยิ่งกว่าแย่ ฉันกลัวจนตัวสั่นไปหมด ไม่มั่นใจกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป และทันทีที่หมอเริ่มใช้เครื่องมือควานหาเด็ก ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นถึงกับทำให้ฉันภาวนาขอให้มีคนมาช่วยฉันออกไปจากตรงนี้ที รวมทั้งอยากได้ยินใครสักคนบอกฉันว่า “ไม่เป็นไรนะ เข้าใจทุกอย่างที่เกิดขึ้น อย่าทำอย่างนี้เลย ลงมาเถอะลูก” แต่นั่นก็เป็นได้แค่ความคิดเท่านั้น ร่างของฉันยังคงอยู่บนขาหยั่งและทุกอย่างก็ดำเนินต่อไปด้วยความเจ็บปวด
โชคดีที่ฉันผ่านฝันร้ายนั้นมาได้โดยไม่มีอาการตกเลือดหรือติดเชื้อตามมา เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น แฟนคนนี้ก็โบกมือลาฉันไป ถึงจะเสียใจแค่ไหน แต่ชีวิตต้องเดินต่อไป คราวนี้ฉันตัดสินใจไปร้องเพลงที่คาเฟ่ตามที่เพื่อนชวน เพื่อหารายได้เลี้ยงตัวเอง จนกระทั่งสามารถเรียนจบ กศน.ได้วุฒิ ม.3 มา
จากนั้นฉันก็พบรักครั้งที่สาม แฟนคนนี้ดูจะเป็นคนดีกว่าใคร เขาสนับสนุนให้ฉันเรียนต่อ ม.4 ยอมเจียดค่าขนมของตัวเองเพื่อให้ฉันได้ไปโรงเรียนทุกวัน ๆ แต่ไม่นานนักหนังม้วนเดิมก็ย้อนกลับมาฉายใหม่อีกครั้ง นางเอกตั้งท้อง พระเอกไม่พร้อมด้วยเหตุผลเดิม ๆ “ผมยังไม่พร้อม ผมยังต้องมีอนาคตต่อไป” ถึงจะปวดใจแค่ไหน แต่ฉันก็ตัดใจไปจากเขาไม่ได้จริง ๆ ถึงต้องเจ็บต้องเสี่ยงฉันก็ยอม
ทุกอย่างผ่านพ้นไปได้เหมือนครั้งก่อน จะต่างกันก็ตรงที่ว่า ครั้งนี้มดลูกของฉันเกิดอักเสบขึ้นมา โชคดีว่ามีคุณหมอใจดีช่วยดูแลให้เป็นพิเศษ ฉันจึงผ่านช่วงวิกฤตินั้นมาได้อย่างหวุดหวิด แต่ต่อจากนั้นทุกอย่างก็เข้ารอยเดิม ด้วยความกลัวว่าแฟนจะไม่รัก กลัวแฟนไปมีคนอื่น ฉันจึงละเมิดคำเตือนของคุณหมอด้วยการยอมตามใจแฟน…ในที่สุดก็ตั้งท้องอีกครั้งในระยะเวลาที่ห่างกันเพียงแค่เดือนเดียว!
ถึงจะรู้ว่าการทำแท้งติด ๆ กันจะมีความเสี่ยงต่อชีวิตสูงชนิดเป็น–ตายเท่ากัน แต่ฉันก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว เพราะถ้าไม่ทำ ฉันก็ไม่รู้ว่าจะมีปัญญาเลี้ยงเด็กที่เกิดมาได้อย่างไร สุดท้ายคุณหมอท่านเดิมก็ช่วยจัดการเรื่องนี้ให้จนสำเร็จ เหลือทิ้งไว้แต่มดลูกที่บอบช้ำอย่างหนัก…จนฉันรู้ดีว่าต่อไปนี้คงจะมีลูกไม่ได้อีกแล้ว
หลังจากหายดี ฉันก็ได้รับข่าวร้ายว่าครอบครัวของแฟนสั่งให้เราเลิกคบกันอย่างเด็ดขาด ซึ่งแฟนก็ยอมแต่โดยดี คราวนี้เมื่อไม่มีเขาอีกแล้ว ฉันก็ไม่รู้ว่าจะเรียนไปเพื่ออะไร ฉันหันกลับมาหางานทำเลี้ยงตัวเอง แต่ก็ต้องเผชิญทั้งการถูกหลอก ถูกดูถูกต่าง ๆ นานา เพราะฉันมีวุฒิติดตัวแค่ ม.3 เท่านั้น สุดท้าย เมื่อไม่มีทางอื่นให้เลือกอีกแล้วจริง ๆ ฉันจึงตัดสินใจไป “ขายบริการ” ที่หาดใหญ่พร้อมกับเพื่อนที่อยู่ข้างบ้าน
อาชีพนี้ทำให้ฉันขยะแขยงตัวเองไม่น้อย เพราะไหนจะต้องยุ่งเกี่ยวกับคนแปลกหน้า ไหนจะต้องฝืนทำอะไรที่ไม่ใช่ตัวเรา แต่เพื่อ “รายได้” เลี้ยงตัวเองและครอบครัวแล้ว ฉันจำเป็นต้องยอม เชื่อไหมว่า แม้จะทำอาชีพอย่างนี้ก็ยังนับว่าตัวเองโชคดี เพราะลูกค้าส่วนใหญ่มาซื้อบริการในลักษณะ “เพื่อนเที่ยว” ฉันจึงได้ไปกิน ดื่ม เที่ยวมาแล้วเกือบทั่วภาคใต้ และที่ถือว่าโชคดีที่สุดก็คือ ตั้งแต่ทำงานนี้มา ฉันป้องกันตัวเองอย่างดีมาตลอด ได้เจอแขกที่ไม่ใช้ความรุนแรง ไม่อย่างนั้นแล้วฉันอาจจะโชคร้ายเหมือนเพื่อนคนหนึ่งที่เสียชีวิตด้วยโรคเอดส์ตั้งแต่อายุเพียง 28 ปีเท่านั้น
การจากไปของเพื่อนในครั้งนั้น ทำให้ฉันเริ่มรู้สึกว่าฉันต้องรีบผลักตัวเองออกมาจากอาชีพนี้ให้เร็วที่สุด ฉันจึงตัดสินใจเปลี่ยนงานเพื่อตัวเองและเพื่อแฟนใหม่ (เพราะไม่อยากให้เขารู้ว่าฉันทำงานอะไร) ทว่าไม่นานนัก รักที่เคยหวานก็เริ่มขมลงเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็เลิกรากันไป คราวนี้ฉันเสียใจอย่างหนัก เอาแต่ร้องไห้ เก็บตัวอยู่ในห้อง ไม่กิน ไม่นอน เครียดมากจนอยากฆ่าตัวตาย โชคยังดีที่ฉันมีสติพอที่จะโทรศัพท์กลับไปหาคุณอา ขอให้ท่านมารับกลับบ้าน ก่อนที่ฉันจะตัดสินใจทำอะไรโง่ ๆ ลงไป
หลังกลับมาอยู่กรุงเทพฯ พอฟื้นฟูสภาพจิตใจได้สักพัก ฉันก็กลับไปร้องเพลงในคาเฟ่อีกครั้ง ส่วนหัวใจก็ยังเรียกร้องหาความรักอีกเหมือนเคย คราวนี้เรียกว่าเนื้อหอมที่สุด เพราะมีทั้งแฟน ทั้งกิ๊กวุ่นวาย แต่สุดท้ายก็เลิกรากันไปหมด จนกระทั่งได้มาเจอกับแฟนอีกคน ซึ่งเปลี่ยนชีวิตฉันให้กลับมาเรียนหนังสืออีกครั้ง
คราวนี้ฉันตัดสินใจเลือกเรียนอาชีวะ เพราะอยากได้วุฒิการศึกษาที่สามารถใช้ทำงานได้เลย ฉันตั้งหน้าตั้งตาเรียน ทำกิจกรรมทุกอย่าง ผลปรากฏว่า แค่เทอมแรกฉันก็สามารถคว้าที่หนึ่งมาได้ ไม่ใช่ที่โหล่หรือรองสุดท้ายของห้องอย่างที่เคยได้มาตลอด ความสำเร็จเล็ก ๆ นี้ทำให้ฉันรู้ว่า “คนเราสามารถเปลี่ยนแปลงกันได้ ถ้าตั้งใจจริง ฉันก็เรียนได้ไม่แพ้ใครเหมือนกัน”
ด้วยผลการเรียนที่ดีเยี่ยมตลอดสามปีทำให้ฉันเริ่มคิดจะเรียนให้สูงขึ้นไปอีก แต่ก็ติดขัดว่าสาขาที่ฉันต้องการเรียนนั้นไม่มีเปิดสอน สุดท้ายฉันก็ระหกระเหินกลับไปทำงานคาเฟ่บ้าง เปิดร้านเหล้าบ้าง แม้กระทั่งเปิดคาร์แคร์ แต่สุดท้ายก็ไม่ต่างจากการมีความรักที่ต้องจบลงด้วยความเศร้าและการเลิกราทุกทีไป
ฉันเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่า “ทำไมถึงเจอแต่คนไม่ดีเข้ามาในชีวิต มีแฟนกี่คนก็เลิก” ฉันจึงเริ่มควานหาคำตอบทั้งจากการฟัง การอ่านหนังสือธรรมะ รวมทั้งอ่านหนังสือเรื่อง เข็มทิศชีวิต เขียนโดย ครูอ้อย - ฐิตินาถ ณ พัทลุง ฉันเกิดความคิดว่าอยากไปเรียนกับครูอ้อยดูบ้าง แต่ก็ติดขัดเรื่องเงิน ทว่าในที่สุดธรรมะก็จัดสรรให้ฉันได้เรียนสมใจ เมื่อมีคนเสนอให้ฉันยืมเงินโดยไม่คาดคิด
วันแรก ๆ ที่ไปเรียน ฉันรู้สึกเศร้าเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง จนกระทั่งเวลาผ่านไปราวหนึ่งสัปดาห์ ฉันก็เริ่มสัมผัสได้ว่าตัวเองเปลี่ยนไป ฉันกลายเป็นคนนิ่ง ๆ ถามคำตอบคำ หัวร่อต่อกระซิกกับแขกที่มาเที่ยวคาเฟ่ไม่เป็น แถมยังเริ่ม “กล้าปฏิเสธ” ไม่ออกไปกับแขก (เป็นครั้งแรกในชีวิตที่กล้าปฏิเสธคน) เพราะรู้สึกว่าสิ่งที่ทำอยู่นี้ไม่ใช่ตัวเอง ไม่ใช่สิ่งที่ชอบ จนในที่สุดเพื่อน ๆ ร่วมอาชีพก็ลงความเห็นว่า ฉันคงทำงานนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว ฉันจึงลาออกจากคาเฟ่ตั้งแต่วันนั้น ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับฉันเป็นเพราะฉันเข้าใจแล้วว่า ความผิดพลาดในชีวิตที่ผ่านมาเกิดจากปมในใจที่รู้สึกว่าถูกพ่อทอดทิ้งตั้งแต่เล็ก ๆ ไม่มีใครรัก ไม่มีใครเข้าใจ
พอโตขึ้นมา ฉันจึงโหยหาความรักและไขว่คว้า “สัมผัส” จากเพศตรงข้าม เพื่อมาเติมเต็มส่วนที่ขาดหาย โดยที่ไม่ได้คิดถึงเรื่องเซ็กซ์อะไรแบบนั้นเลย แค่เพียงกอดกันจับมือกันเฉย ๆ ฉันก็รู้สึกดีแล้ว แต่ที่ทุกอย่างมักจะเลยเถิดไป ก็เนื่องจากว่าผู้ชายมองโลกอีกอย่าง และไม่เข้าใจว่าผู้หญิงอย่างฉันต้องการอะไรกันแน่ ความหวาดกลัวต่าง ๆ ที่มีมาแต่เด็กเมื่อผสมกับการโหยหาความรักอย่างรุนแรง จึงทำให้ฉันไม่กล้าปฏิเสธผู้ชายทุกคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิต จะให้ทำอะไรก็ยอมทั้งนั้น ขอเพียงแค่คุณอยู่กับฉัน ให้ความอบอุ่นกับฉันก็พอ ไม่ต้องการอะไรมากกว่านี้ นี่จึงเป็นที่มาของความเจ็บปวดแบบซ้ำซากที่ฉันต้องเผชิญมากว่า 10 ปี
โชคดีที่ฉันนึกเอะใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ไม่ปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปเหมือนแต่ก่อนอีก ฉันจึงค้นพบว่า “ที่จริงแล้วความสุขนั้นสำคัญกว่าความรัก สำคัญกว่าสัมผัสใด ๆ ที่เคยต้องการเสียอีก สุขจากการที่ได้สัมผัสหลาย ๆ อย่างรอบ ๆ ตัวเรา ไม่ต้องขวนขวายมากมาย แค่เห็นลมพัดดอกหญ้าเล็ก ๆ แล้วยิ้มได้ก็พอแล้ว”
หลังตัดสินใจลาออกจากคาเฟ่ รายได้ก็หดหาย แต่ถึงแม้จะมีคนแนะนำให้ไปทำงานง่าย ๆ รายได้ดี ๆ อีก ฉันก็ “ไม่ทำแล้วค่ะ” ฉันกล้าปฏิเสธทุกคนกลับไปอย่างหนักแน่น และพยายามใช้ชีวิตด้วยเงินเก็บก้อนสุดท้ายที่มี ซึ่งกว่าจะรู้ตัวอีกที ฉันก็เหลือเงินติดก้นกระเป๋าอยู่แค่ 21 บาทเท่านั้น!
แต่ชีวิตยังต้องดิ้นรนต่อไป ฉันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกวาดตามองดูของในห้องว่าพอจะมีอะไรเปลี่ยนเป็นเงินได้บ้าง และแล้วฉันก็ลองเปิดดูในตู้เย็น โชคดีที่ฉันชอบทำซูชิกินเอง ในตู้เย็นจึงยังพอมีวัตถุดิบพวกไข่กุ้ง ปูอัดเหลืออยู่ ฉันไม่รอช้า รีบหุงข้าวญี่ปุ่นตามสูตรที่เคยร่ำเรียนสมัยเรียนพาณิชย์ วันนั้นฉันปั้นซูชิออกมาได้ราว 20 - 30 ชิ้น ไปตระเวนขายเพื่อน ๆ ในคอนโดจนหมด ได้เงินกลับมาถึง 200 บาท
ถึงจะเป็นเงินจำนวนไม่มาก แต่ก็ทำเอาฉันยิ้มจนแก้มปริ เพราะเริ่มมองเห็นทางออกของชีวิตชัดขึ้นเรื่อย ๆ ต่อไปนี้ฉันจะทำซูชิขาย ทำแค่พอกินพอใช้ เก็บเล็กผสมน้อยไปเรื่อย ๆ ก้าวน้อย ๆ แต่มั่นคงและเต็มไปด้วยความสุขก็พอ ไม่ต้องดิ้นรนขวนขวายอะไรให้มากมายแล้ว
ถึงชีวิตของฉันจะผ่านอะไรมามากมาย ได้รับบทเรียนหนัก ๆ มาหลายอย่าง แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ฉันกลับมามีวันนี้ได้อีกครั้งคือ “การคิดบวก” ซึ่งประโยคที่ฉันมักจะบอกตัวเองเสมอ ๆ คือ “ฉันโชคดี” ขอเพียงมองเห็นความโชคดีในความโชคร้ายให้ได้ ทุกอย่างก็จะดีขึ้นเอง
พระอาจารย์ ดร.พระมหาบวรวิทย์ รตนโชโต
อดีตกรรมไม่ใช่ว่าจะไม่สามารถลบล้างบั่นทอนได้ และต้องชดใช้ให้หมดสิ้นไป ชีวิตเปรียบเหมือนสีดำกับสีขาว หากเต็มใจที่จะให้ชีวิตเป็นสีดำ ก็เติมแต่สีดำ หากต้องการให้เป็นสีขาว ก็เติมสีขาวลงไป หรือจะให้เป็นสีอื่น ๆ ก็ย่อมได้ทั้งนั้น ชีวิตเราเลือกเองได้ ไม่มีใครทราบว่าในอดีตเราไปทำกรรมดีกรรมชั่วอะไรไว้ หรือแม้จะรู้ ก็ไม่ควรใส่ใจเพราะมันผ่านไปแล้ว เราไม่ควรก้มหัวให้กับโชคชะตา สิ่งสำคัญที่สุดคือกรรมในปัจจุบัน เพราะพฤติกรรมที่เป็นอยู่ในปัจจุบันสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราให้ดีขึ้นหรือแย่ลงได้ จริง ๆ แล้วคนเรามีความทุกข์ความสุขเฉพาะตน การจะหวังจากคนอื่นนั้นเป็นไปไม่ได้เลย เพราะในที่สุดแล้วไม่มีใครเป็นที่พึ่งใครได้ และไม่มีใครรักใครได้ตลอดไป เมื่อมีการพบกันแล้ว ถึงเวลาก็ย่อมจากกันไปตามวิถีใครวิถีมัน ฉะนั้นจงสร้างพลังใจให้ตนเองอย่างแกล้วกล้าเด็ดเดี่ยว อย่าให้ความเศร้าหมองมาครอบครองใจ และทำหน้าที่ของตนให้สมบูรณ์ เติมแต่งสีแห่งความสุขสงบตามอัตภาพแห่งตน ให้คิดอยู่เสมอว่า “ชีวิตเรา เราจะเลือกเอง”
ที่มา : นิตยสารซีเคร็ต
บทความน่าสนใจ
บทเรียนชีวิต หลังกำแพงคุก ตอน เสียงสะอื้นของมือปืนรับจ้าง
เปลี่ยนความผิดพลาดให้เป็นบทเรียนสู่ความสำเร็จด้วยหลัก คิดทบทวนตัวเอง เสมอ
ก้าวที่พลาด บทเรียนครั้งใหญ่ของเด็กชายในสถานพินิจ