ครูทั้ง 6 ลัทธินอกศาสนาร่วมสมัยกับพระพุทธเจ้า
ในสมัยพุทธกาลนอกจากศาสนาพราหมณ์-ฮินดูจะขัดแย้งหรือคอยปะทะกับคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ยังมีอีก 6 ลัทธิ หรือที่นิยมเรียกว่า ” ครูทั้ง 6 ” เป็นลัทธิที่มีคำสอนตรงข้ามกับพระพุทธศาสนา และคอยปะทะกับพระพุทธเจ้าอยู่เสมอ พระพุทธเจ้าตรัสว่าลัทธิเหล่านี้เป็นมิจฉาทิฐิ และหากยึดปฏิบัติหรือเชื่อตามแล้วจะเป็นอันตราย
ลัทธิทั้ง 6 หรือ ครูทั้ง 6 มีดังนี้
1. บูรณะ, กัสสปะ ศาสดาแห่งลัทธินี้ประกาศคำสอนว่า การทำความดี-ความชั่วไม่มีผล ไม่มีอะไรเลย บุญและบาปไม่มี เช่น ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตไม่บาป การทำบุญก็ไม่ได้บุญ คำสอนนี้จัดเป็น “อกิริยาวาที” หมายถึง กรรม (การกระทำ) ไม่มีผล
2. อชิตะ เกสกัมพล ศาสดาแห่งลัทธินี้ประกาศคำสอนว่า สรรพสิ่งทั้งปวงเป็นส่วนประกอบของธาตุทั้ง 4 ได้แก่ ดิน น้ำ ลม และไฟ เมื่อจบชีวิตลง ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายที่มาจากธาตุใดก็ตาม ย่อมกลับคืนสู่ธาตุนั้น เช่น ผิวสลายคืนสู่ธาตุดิน เลือดสลายคืนสู่ธาตุน้ำ ลมหายใจสลายคืนสู่ธาตุลม ชีวิตสลายคืนสู่ธาตุไฟ เป็นต้น หมายความว่าตายแล้วไม่มีเกิดอีก ตายแล้วดับสูญแม้กระทั่งจิต คำสอนนี้จัดเป็น “อุจเฉทวาที” หมายถึง เชื่อว่าหลังจากตายแล้ว อัตตาดับสูญ
3. ปกุทธะ ศาสดาแห่งลัทธินี้ประกาศคำสอนว่า สรรพสิ่งมีความเที่ยงจาก ธาตุทั้ง 7 ได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ สุข ทุกข์ และชีวะ (ชีวิต) ธาตุทั้ง 7 เป็นธาตุที่มีสภาพเที่ยงแท้ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง มีความเป็นนิรันดร์ คำสอนนี้จัดเป็น “สัสตวาที” หมายถึง เชื่อว่าอัตตาและโลกเที่ยง
4. มักขลิ โคศาล ศาสดาแห่งลัทธินี้ประกาศคำสอนว่า สรรพสิ่งทั้งหลายปราศจากเหตุและผล ไม่มีเหตุแห่งทุกข์และสุข จะเกิดขึ้นก็เกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุ คำสอนนี้จัดเป็น “อเหตุวาที” หมายถึง อัตตาและโลกเกิดขึ้นเอง โดยไม่มีเหตุและปัจจัย
5. สัญชัย ศาสดาแห่งลัทธินี้ประกาศคำสอนว่าด้วยความสงสัย ซึ่งหากศาสดาสัญชัยถูกถามเรื่องชาติหน้า หรือการเวียนว่ายตายเกิด ศาสดาผู้นี้จะตอบไม่ได้ พระเจ้าอชาตศัตรูทรงเคยตรัสว่า ศาสดาท่านนี้โง่เขลาที่สุด
6. นิครนถ์ นาฏบุตร สันนิษฐานว่าคือพระมหาวีระแห่งศาสนาเชน ศาสดาแห่งลัทธินี้ประกาศคำสอนว่า ผู้ที่จะไปสู่ความหลุดพ้น (วิโมกข์) ต้องละเว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักขโมย เสพกาม และดื่มน้ำที่มีสัตว์เจือปน
พระพุทธเจ้าตรัสถึงลัทธิครูทั้ง 6 ที่มีคำสอนไม่สอดคล้องกับพระพุทธศาสนาไว้ในพรหมชาลสูตร โดยสรุปใจความมาได้ว่า ผู้ใดยึดติดในทิฏฐิตามคำสอนของครูทั้ง 6 นี้ จะกลายเป็นผู้ทะยานอยาก (ตัณหา) เกิดหลงใหลในอายตนะทั้ง 6 ทำให้ต้องติดในภพ เข้าสู่วงจรปฏิจจสมุปบาท เวียนว่ายตายเกิดสืบต่อไป แต่พระพุทธศาสนาสอนตัดทางแห่งการเกิดคือการไม่ยึดติด (อุปทาน) รู้ก็สักแต่ว่ารู้ เห็นก็สักแต่ว่าเห็น ระงับตัณหา (ความอยาก) เพื่อไม่ให้จิตไปสู่ภพ กลายเป็นการเกิดต่อไป
ที่มา :
ทรรศนะของเดียรถีย์ทั้ง 6 โดย ธรรมรักขิต ใน พระพุทธศาสนา : ศาสนาแห่งปัญญา
ทิฏฐิ 62 โดย อดิศักดิ์ ทองบุญ ใน ปรัชญาอินเดีย
บทความน่าสนใจ
ศาสนาพุทธจะคงอยู่ได้หรือไม่ หากไม่มี พิธีกรรมแบบพราหมณ์?
3 ลัทธิ ที่ชาวพุทธพึงทราบว่า “ไม่ใช่พระพุทธศาสนา” – ว.วชิรเมธี
ใครว่า พระพุทธเจ้าไม่ทรงสอน วิธีแก้กรรม
เหนือกว่าศีล 5 คือ กุศลกรรมบถ 10 โดย พระอาจารย์นวลจันทร์ กิตติปัญโญ