หมูป่า

สนทนาธรรมทำกระจ่าง! ทำไม ทีมหมูป่า ทำ “โลกธาตุหวั่นไหว” โดยพระอาจารย์นวลจันทร์ กิตติปัญโญ และคุณเมตตา อุทกะพันธุ์

สนทนาธรรมทำกระจ่าง กรณี ทีมหมูป่า ติดถ้ำหลวง โดยพระอาจารย์นวลจันทร์ กิตติปัญโญ และคุณเมตตา อุทกะพันธุ์

เรื่องที่จะนำเสนอต่อสายตาท่านผู้อ่านต่อไปนี้ เป็นบทสนทนา ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม แก้ความกระจ่าง โดยมีคุณเมตตา อุทกะพันธุ์เป็นตัวแทนฝ่ายฆราวาสผู้ใคร่รู้สงสัยในธรรมะ สอบถามพระอาจารย์นวลจันทร์ กิตติปัญโญ พระอาจารย์ผู้ตอบกระทู้ธรรมให้กระจ่าง

ในสิ่งที่ชาวพุทธสงสัย เรื่อง ทีมหมูป่า ติดถ้ำหลวง

คุณเมตตา : ดิฉันศึกษาและมีความเข้าใจในเรื่องของกฎแห่งกรรมมาพอสมควร ซึ่งพอได้มาฟังพระอาจารย์ในวันนี้ ยิ่งเป็นการตอกย้ำให้เห็นว่า เรื่องของกฎแห่งกรรม เป็นวิทยาศาสตร์ที่สามารถพิสูจน์ได้

หลายคนมีความรู้สึกว่า “ฉันทำดี แต่ทำไมถึงไม่ได้ดี” จึงคิดว่าทำชั่วน่าจะดีกว่า ซึ่งเป็นเพราะเขาไม่ได้เข้าใจเรื่องกฎแห่งกรรมว่า เป็นความสืบเนื่องมาหลายภพชาติที่ส่งผลมาถึงเรา  โดยมีเหตุปัจจัยดังที่พระอาจารย์กล่าวว่าผลกรรมไม่ได้ส่งผลอย่างตรงไปตรงมา ซ้ำยังมีหลายเหตุปัจจัยที่ทำให้ผลเกิด ซึ่งเรื่องกฎแห่งกรรมนี้เป็นเรื่องของเหตุปัจจัยล้วน ๆ

ดิฉันเชื่อว่า คนทั้งหลายพอทราบดังนี้จะมีความรู้สึกว่าต่อไปนี้ต้องทำดีอย่างเดียว และคงไม่กล้าคิดทำความชั่วแน่นอน

พระอาจารย์ : จริงๆ ถ้าเป็นชาวพุทธแท้จะมั่นคงในเรื่องกรรม เพราะเมื่อได้ศึกษาพระพุทธศาสนาอย่างจริงจังก็จะพบว่า พระพุทธเจ้ามีลักษณะเป็นกรรมวาที โปรดตรัสเรื่องกรรมว่าทุกการกระทำย่อมมีผล เช่น กรรมพันธุ์ คือ มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นทายาท ทำกรรมเช่นไรไว้ ก็จะต้องได้รับผลกรรมอย่างนั้น

เพราะฉะนั้นถึงเราจะไม่รู้เรื่องอื่น ขอให้รู้เพียงเรื่องกรรมก็พอ เพราะจะทำให้เรามั่นคงในการทำความดี ละการทำกรรมชั่วได้ รวมทั้งมีความขยันเพียรทำกรรมดีมากขึ้น และถึงแม้บางครั้งจะเผลอไปทำกรรมชั่วอยู่บ้าง เราก็จะยอมรับได้ว่าต้องได้รับผลไม่ดีสนองอย่างแน่นอน

ขอให้นำเรื่องนี้มาเป็นอุทาหรณ์สอนใจ เตือนตนเอง เพื่อที่จะได้มีความเพียรในการทำความดีมากขึ้น

อาตมายกเรื่องของทีมหมูป่าติดถ้ำหลวงมาอธิบาย เพื่อจะช่วยให้เห็นภาพชัดขึ้นว่า ทีมหมูป่าได้รับการช่วยเหลือจากหลายฝ่าย หลายชาติ เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะเขาทำกรรมดีไว้ ผลดีจึงส่งผล ถ้าเขาไม่ทำความดีมา ผลดีอย่างนี้จะมาสนองได้อย่างไร

และนอกจากผลดีที่ได้ทำความดีไว้ในอดีตชาติแล้ว ขณะที่ติดถ้ำหลวง พวกเขายังได้ทำสมาธิ ซึ่งการทำสมาธิเป็นการทำความดีอย่างหนึ่งในพระพุทธศาสนา เขาไม่ได้ด่ากัน เขาไม่ได้ตีโพยตีพาย ไม่ได้ด่าว่าใคร เขาจึงไม่ได้สร้างวจีกรรม (กรรมทางการพูด) กรรมดีนี้แหละที่มีส่วนส่งผลให้โลกธาตุหวั่นไหว ปัจจัยทานจึงหลั่งไหลมาเกื้อกูลดังที่เห็นในข่าว

ดังนั้นหากรู้จักนำเรื่องนี้มาเป็นแบบอย่าง ก็จะไม่ท้อแท้ หมดกำลังใจต่อการทำความดี เพราะอย่างไรเสีย ผลดีย่อมสนองเราอย่างแน่นอน

คุณเมตตา : พระอาจารย์พูดถึง “โลกธาตุหวั่นไหว” ทำให้ดิฉันนึกถึงเหตุการณ์ร้ายๆ ที่เกิดขึ้นในโลก ซึ่งเข้าขั้นเป็นวิกฤตภัยร้ายแรงเหลือเกิน แต่กลายเป็นว่าเหตุการณ์เหล่านั้นผู้คนให้ความสนใจไม่เท่ากับเหตุการณ์หมูป่าติดถ้ำหลวง คำว่า “โลกธาตุหวั่นไหว” จึงเป็นคำที่ทำให้เห็นได้ชัดเลยว่า มาจากกรรมดีที่เขาทำไว้อดีตชาติส่งผล และผลแห่งการทำสมาธิของพวกเขา

พระอาจารย์ : อธิบายให้เห็นภาพ การนั่งสมาธิของทีมหมูป่าในระยะเวลา 8-9 วัน ก็ไม่ต่างจากการปฏิบัติธรรมคอร์สเข้มข้น ลองนึกพิจารณาดี ๆ สิ ห้วงเวลานั้น จิตที่สงบ ปราศจากนิวรณ์ (ห้ามจิตไม่ให้บรรลุธรรม) นี่คือความบริสุทธิ์ผ่องใสได้เกิดขึ้นในจิตของพวกเขาแล้ว

ณ ขณะนั้น เรียกว่าทีมหมูป่าบังเกิดความเป็นเนื้อนาบุญขึ้น พวกเขาก็ไม่ต่างจากสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า คือเป็นพระสงฆ์ที่เกิดจากพระสัทธรรม จึงทำให้มีผู้คนหลั่งไหลเข้ามาให้ความช่วยเหลือ

ลองตัดฉากมาที่กลุ่มคนที่ประสบชะตากรรมมีความลำบากเหมือนกันหรือยิ่งกว่า ทำไมคนที่ลำบากเหล่านั้นถึงไม่ได้รับความช่วยเหลือ นั่นเป็นพราะบางคนมีจิตใจที่ไม่สงบ มีความเกรี้ยวกราด วู่วาม หุนหันพลันแล่น  ถ้าเป็นเช่นนี้จะเรียกว่าประพฤติดีในปัจจุบันได้หรือ

เมื่อเรียกไม่ได้ ดังนั้นจึงไม่เกิดแรงบันดาลใจ หรือความรู้สึกอยากช่วยเหลือเกื้อกูลเกิดขึ้นกับชาวโลก เพราะฉะนั้นหากจะพูดเรื่องกรรมให้คนยุคปัจจุบันเข้าใจ ก็ต้องพูดอธิบายด้วยการทำกรรมดีในปัจจุบัน ซึ่งก็คือการนั่งสมาธิของทีมหมูป่า เห็นได้ชัดเจนเลยว่าเป็นพลังงานที่บริสุทธิ์ จนเทวดาทนไม่ไหว ต้องไปประกาศบอกคนให้มาช่วยเหลือ  และสุดท้ายโลกธาตุก็หวั่นไหว จนทำให้มีผู้คนเข้ามาช่วยเหลือกันมากมาย

คุณเมตตา : ถ้าอย่างนั้นด้วยเหตุการณ์นี้จะทำให้คนหันมาสนใจทำสมาธิวิปัสสนากันมากขึ้นหรือไม่คะ

พระอาจารย์ : คงแล้วแต่บุญกรรมของแต่ละคน แต่สิ่งจริงแท้ที่ไม่มีใครปฏิเสธได้คือการทำสมาธิเป็นสิ่งดีที่สุด ทำให้จิตปราศจากนิวรณ์ (ห้ามจิตไม่ให้บรรลุธรรม) ปราศจากอารมณ์ ว่างจากกิเลส ถึงแม้จิตจะว่างจากกิเลสเพียงช่วงแวบหนึ่ง อุปมาเท่าช้างกระดิกหู งูแลบลิ้น แต่ถ้า ณ ตอนนั้นจิตว่างจริง ๆ  นั่นก็หมายถึงมีความบริสุทธิ์ผุดผ่องเกิดขึ้นแล้วในขณะนั้น

แล้วความบริสุทธิ์ผุดผ่องนี้แหละที่เป็นอะไรที่มหัศจรรย์มาก ๆ อะเมซิ่งตรงที่จิตสะอาดผ่องใสเป็นวิสุทธิ์  การที่จิตเป็นวิสุทธิ๋ตรงนี้แหละที่ชาวพุทธทั้งหลายน่าลองพิสูจน์ยิ่งนัก

คุณเมตตา : มีอีกประเด็นหนึ่งที่พระอาจารย์พูดถึงว่า ในช่วงเวลาที่เราเจอวิบากกรรมที่เป็นอกุศลกรรม แล้วถ้าในช่วงนั้นเราไม่เกิดนิวรณ์ (ห้ามจิตไม่ให้บรรลุธรรม) จิตเราสงบ ยอมรับในผลกรรมที่เกิดขึ้น จิตที่มีสภาวะมั่นคงเป็นสมาธิเหมือนเช่นที่ทีมหมูป่าได้ทำ เพราะฉะนั้นวิบากกรรมนั้น แทนที่จะส่งผลยาวต่อไป มันก็อาจจะ…

พระอาจารย์ : จบแค่ตรงนั้น ตอนเดียว ให้ผลเสร็จก็จบไปเลย หลังจากนั้นก็คือผลจากกรรมใหม่ที่เขาสร้าง ซึ่งจะมาสลับคิวกันให้ผล เช่น ถ้าเป็นวาระถึงคิวของผลกรรมที่ทำไว้ไม่ดีในอดีตมาส่งผล แล้วปัจจุบันตอนนี้มีจิตใจที่ไม่ดีอีก คือมีกิเลส มีนิวรณ์ (ห้ามจิตไม่ให้บรรลุธรรม) รบกวนจิตใจ เมื่อกรรมชั่วมาส่งผล แล้วปัจจุบันยังทำไม่ดีอีก มันก็จะมีแรงโน้มเหนี่ยวที่จะดึงกรรมเก่าที่ไม่ดีในอดีตที่สร้างไว้มาให้ผลต่อ เป็นขณะที่สอง ขณะที่สาม และขณะต่อไปเรื่อยๆ ทำให้พบแต่เหตุการณ์ที่ไม่ดี หรือที่หลายคนเรียกว่า “ความซวย”

เช่นเดียวกับคนที่สร้างกรรมชั่วไว้ในอดีต แล้วผลกรรมไม่ดีมาส่งผล แต่ในปัจจุบันเราเกิดมีความเข้าใจ พยายามทำให้จิตผ่องใสเป็นกุศล ด้วยการนั่งสมาธิ จิตอยู่กับลมหายใจ จิตใจสงบ มันก็จบไปแค่นั้น เพราะจิตที่เป็นกุศลจะดึงเหนี่ยวโน้มผลกรรมดีที่ทำไว้ในอดีตเข้ามา เรียกว่า “กุศลดึงกุศล”

แล้วคิดดูสิว่าหากทำเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ คือปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน จนหลุดพ้นข้ามฝั่งไปเป็นโลกุตตระ เป็นวิมุตติหลุดพ้น เมื่อนั้นกรรมชั่วในอดีตชาติก็จะไม่สามารถส่งผลอีกต่อไป ท่านเรียกว่า “อโหสิกรรม” เหมือนสุนัขล่าเนื้อที่ไม่สามารถไล่ตามเราทัน เพราะเราข้ามฝั่งไปเป็นโลกุตตรธรรมแล้ว

เปรียบดังเช่น พระองคุลิมาลเถระ ท่านเป็นโจรฆ่าผู้คนจำนวนมาก แต่เมื่อบรรลุอรหันต์แล้ว ผลกรรมที่ตามสนองด้วยการถูกฆ่าตอบ กลับกลายเป็นเพียงการถูกหินปาเท่านั้น เพราะฉะนั้นถ้าเราหมั่นพัฒนาคุณภาพของจิตอยู่เป็นนิจ เพดานบินของจิตเราก็จะสูงขึ้น

ขอยกตัวอย่างเปรียบเทียบให้เข้าใจ การบรรลุโลกุตรธรรม เหมือนกับการที่เราบินอยู่นอกโลก เมื่อเราบินอยู่นอกโลก ก็จะไม่มีใครได้เห็นเรา พระพุทธศาสนาต้องการพัฒนาโคตรปุถุชนให้เป็นอริยโคตร พระพุทธเจ้าทรงสอนเรื่อง “กัมมนิโรธคามินีปฏิปทา” และ  “มรรคปฏิปทา” เพื่อความหมดสิ้นไปแห่งกรรม

นั่นหมายถึงว่าหากเรายังทำกรรมอยู่ ก็ย่อมต้องรับผลของกรรมวนเวียนต่อไป อย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น

พระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นเพื่อตรัสสอนเส้นทางให้พ้นไปจากกรรม ให้อยู่เหนือกรรมด้วยการปฏิบัติกรรมฐาน กรรมฐานจึงเป็นของดีที่พระองค์ทรงมอบไว้ให้  และกรณีทีมหมูป่าติดถ้ำหลวงก็ถือเป็นแบบอย่างชั้นเยี่ยม

นั่นคือ ถึงในถ้ำจะมืดสนิท แต่ในใจกลับสว่างไสวเพราะสมาธิ คนเราเมื่อมีอนุสติ จิตสามารถระลึกย้อนหลังไปในอดีตได้ จะเกิดจิตหวาดกลัวในการทำบาป เป็นหิริ-โอตัปปะ คือมีความละอายใจต่อบาปขึ้น เมื่อเป็นเช่นนี้จึงยิ่งทำให้ไม่กล้าล้ำไปสู่การทำกรรมชั่วอีก

การกระทำ คือกิริยาที่แสดงออกด้วยเจตนา ล้วนเป็นสิ่งระบุถึงกรรม การนั่งสมาธิหรือปฏิบัติธรรมกรรมฐาน จัดเป็นกรรมดีอย่างหนึ่งในพระพุทธศาสนา เป็นการทำความดีต่อตนเอง สามารถพาไปสู่ฝั่งพระนิพพาน

กรรมดีตัวนี้ย่อมช่วยสกัดกั้นไม่ให้กรรมชั่วส่งผล เพราะผลแห่งกรรมฐานได้ตัดขาดสิ้นซึ่งกรรม ไม่ต่างจากเราที่ข้ามห้วงน้ำลึกไปถึงอีกฝั่ง ซึ่งกรรมชั่วไม่สามารถแหวกว่ายตามเราไปถึง

 

เรื่อง :

พระอาจารย์นวลจันทร์ กิตติปัญโญ

คุณเมตตา อุทกะพันธุ์

เรียบเรียง : ชนินทร์ ผ่องสวัสดิ์

ภาพ : ฝ่ายภาพอมรินทร์พริ้นติ้งฯ

Secret Magazine (Thailand)


บทความน่าสนใจ

ขอร่วมอนุโมทนากับทีมหมูป่าที่ บรรพชาอุปสมบท ในวันนี้ ที่วัดพระธาตุดอยตุง เชียงราย

ประมวล เพ็งจันทร์ แชร์มุมมอง เสียงบ่นช่วยทีมหมูป่า “เปลืองงบแผ่นดิน” อ่านนะ

ใจกว้างกว่าแผ่นฟ้า! จากปากชาวนาฮีโร่ ยอมเสียข้าวเพื่อช่วย ทีมหมูป่า

รวมมิตรจิตมิตรใจ ฮีโร่ที่มาช่วยทีมหมูป่า และกลุ่มผู้สนับสนุนภารกิจนี้ให้ลุล่วง

สวดพระปริตรส่งผลบุญให้พบโค้ชและนักเตะทีมหมูป่าอะคาเดมีแม่สาย

ตอบประเด็นเรื่อง ถ้ำหลวง ในมุมมองของซีเคร็ต โดยพระอาจารย์นวลจันทร์ กิตติปัญโญ

ก่อนการเดินทางสุดท้าย จ่าแซม-สมาน กุนัน วีรบุรุษถ้ำหลวงฯ ความดีไม่มีวันตาย

เปิดประวัติอีกหนึ่ง ฮีโร่ถ้ำหลวง Tim Acton นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาช่วยคนไทย

อีลอน มัสก์ คนจริง คิดจริง ทำจริง ไม่พูดเล่น ลงพื้นที่ถ้ำหลวงแล้ว

 

© COPYRIGHT 2024 Amarin Corporations Public Company Limited.