เมื่อ อนาถบิณฑิกเศรษฐี ได้พบพระพุทธเจ้าเป็นครั้งแรก
ก่อนที่ อนาถบิณฑิกเศรษฐี จะเลื่อมใสในพระพุทธศาสนานั้น พระวินัยปิฎก จุลวรรค ภาค 2 ได้กล่าวถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งอนาถบิณฑิกเศรษฐีได้พบองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นครั้งแรก นับว่าเป็นเหตุการณ์หนึ่งที่ได้พลิกชีวิตของเศรษฐีหนุ่มคนหนึ่ง ให้กลายเป็นมหาอุบาสกผู้ยิ่งใหญ่ในพระพุทธศาสนา
อนาถบิณฑิกเศรษฐี เดิมทีชื่อว่า “สุทัตตเศรษฐี” เป็นเศรษฐีหนุ่มแห่งกรุงสาวัตถี เมืองที่พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงเป็นผู้ปกครอง เขาได้แต่งงานกับน้องสาวของราชคฤหเศรษฐี เศรษฐีผู้มั่งคั่งแห่งกรุงราชคฤห์ จนขนาดนำชื่อเมืองมาตั้งเป็นชื่อของเศรษฐีท่านนี้เลยทีเดียว
ครอบครัวของราชคฤหเศรษฐีนับถือพระพุทธศาสนาตามพระเจ้าพิมพิสารผู้เป็นพระราชาแห่งกรุงราชคฤห์ ท่านเศรษฐีอยากถวายภัตตาหารพระพุทธเจ้าและพระสาวกก็ให้บ่าวไพร่จัดเตรียมอาหารเป็นอย่างดี
สุทัตตเศรษฐีเพิ่งเข้ามาเป็นเขยขวัญใหม่ ๆ ก็ไม่รู้ว่าครอบครัวของภรรยาทำการอะไรกันอยู่ดูวุ่นวาย เหมือนจะมีงานใหญ่โต สุทัตตะคิดว่าคงมีพิธีมงคลอะไรสักอย่างเกิดขึ้นในครอบครัวของภรรยาแน่นอน เขาคิดจนขนาดที่ว่าพระเจ้าพิมพิสารต้องเสด็จมาเป็นประธานในพิธีด้วยซ้ำ เพราะพี่ชายของภรรยาออกจากจะร่ำรวยและมีชื่อเสียงในกรุงราชคฤห์ถึงเพียงนี้ แต่คำตอบที่อนาถบิณฑิตเศรษฐีได้รับจากราชคฤหเศรษฐีคือ “เราไม่ได้จัดงานมงคล พระเจ้าพิมพิสารผู้ยิ่งใหญ่ก็หาได้เสด็จมาเป็นประธานไม่ แต่เราได้นิมนต์พระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วยพระสาวกมาฉันภัตตาหารที่นี่ในวันพรุ่งนี้”
เขยขวัญถึงกับประหลาดใจเมื่อทราบว่างานเลี้ยงที่ดูใหญ่โตนี้ กลับเป็นงานที่จัดขึ้นเพื่อถวายทานแก่บรรดานักบวช และชื่อหนึ่งที่สุทัตตะติดใจเมื่อพี่ชายของภรรยาเอ่ยถึงคือคำว่า “พระผู้มีพระภาคเจ้า” ราชคฤหเศรษฐีบอกกับน้องเขยใหม่ว่า “แม้เสียงที่เรียกพระองค์ว่า ‘พุทธะ’ ก็หาฟังได้ยากบนโลกนี้” สุทัตตะเริ่มตื่นเต้นที่จะได้พบพระพุทธองค์ในวันพรุ่งนี้ จนทำให้เขานอนไม่หลับเลยทีเดียว เพราะอยากพบพระพุทธองค์มาก
เขาบ่นกับตัวเองว่า“เราอยากเห็นพระบรมศาสดาในตอนนี้จังว่าพระองค์จะเป็นเช่นไร จะเหมือนดังที่ท่านพี่ราชคฤหเศรษฐีกล่าวหรือไม่” เศรษฐีหนุ่มข่มใจตนเองไม่ไหวจึงลุกขึ้นจากเตียง และแล้วแสงสว่างก็ส่องเข้ามาที่หน้าต่าง
สุทัตตะหลงคิดว่าตอนนี้เป็นเวลารุ่งสางแล้ว จึงเดินออกจากคฤหาส์นไปยังประตูเมืองที่มุ่งไปสู่ป่าสีตะวัน อมนุษย์พาช่วยเปิดประตูให้เศรษฐีหนุ่มออกไป ทั้งที่ประตูเมืองนี้ยังปิดอยู่ เมื่อเศรษฐีก้าวไปพ้นประตู แสงสว่างได้หายไปกับตา กลับกลายเป็นความมืดเข้ามาแทนที่ ความกลัวความมืดจึงเข้ามาเยี่ยงเขา
อมนุษย์ตนหนึ่งชื่อว่า “สีวกยักษ์” ได้กล่าวโดยไม่ปรากฏกายให้สุทัตตเศรษฐีเห็นว่า “สมบัติใดใดบนโลกก็ไม่มีค่าเทียบเท่าเท้าที่ท่านจะก้าวไปอีก 16 ก้าว ขอให้ท่านอย่าได้ถอยหลังกลับจนกว่าจะถึงก้าวสุดท้าย” ทุกขณะที่อนาถบิณฑิกเศรษฐีเกิดความกลัวขึ้นใจ สีวกยักษ์จะคอยบอกท่านเศรษฐีด้วยคำพูดเดิมซ้ำ ๆ ว่า “สมบัติใดใดบนโลกก็ไม่มีค่าเทียบเท่าเท้าที่ท่านจะก้าวไป ขอให้ท่านอย่าได้ถอยหลังกลับจนกว่าจะถึงก้าวสุดท้าย”
จากนั้นท่านเศรษฐีก็ได้เห็นรัศมีอันเรืองรอง และบุรุษผู้หนึ่งกำลังก้าวย่างอย่างช้า ๆ ผิดวิสัยมนุษย์ที่เขาเคยพบเจอมา ช่างเป็นบุคคลที่มีความสำรวมอย่างยิ่ง สุทัตตเศรษฐีเกิดความปีติขึ้นในใจ และแล้วบุรุษผู้นั้นก็นั่งลงบนผ้าที่ปูลาดไว้เป็นอย่างดีพร้อมกล่าวขึ้นว่า “มาเถิดสุทัตตะ” บุรุษผู้นั้นทราบชื่อของเศรษฐีหนุ่มทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
อนาถบิณฑิตเศรษฐีมั่นใจแล้วว่าเสียงปริศนานั้นที่ตนได้ยินมาตลอดทาง ได้นำพาให้เขามาพบกับพระพุทธเจ้า เศรษฐีก้มแล้วกราบที่พระบาทพร้อมกับซบศีรษะไปบนพระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้า และเขาก็ตอบพระองค์ว่า
“พระองค์ทรงสบายดีนะพระเจ้าข้า” เขาถามพระองค์ไม่ต่างจากญาติที่ไม่ได้เจอกันมานานแสนนาน
พระพุทธองค์ตรัสตอบเขาว่า “ผู้ดับทุกข์ให้แก่ผู้อื่น ย่อมมีความสุขทุกเวลา ผู้ใดที่ไม่ติดในกาม มีใจที่เย็น ไม่มีอุปริ ตัดความเกี่ยวข้องออกจากทุกอย่างได้แล้ว ไม่มีความกระวนกระจาย เข้าถึงความสงบแห่งจิต ผู้นั้นย่อมเป็นผู้ที่มีความสุข”
ในค่ำคืนนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าได้แสดงธรรมมากมายหลายเรื่องแก่สุทัตตเศรษฐี เช่น เรื่องอานิสงส์แห่งการทำทาน การไม่ยึดติดในกาม เป็นต้น ทำให้เศรษฐีหนุ่มได้มีดวงตาเห็นธรรม สำเร็จเป็นพระโสดาบัน ท่านเศรษฐีได้นิมนต์พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสาวกทั้งหลายไปฉันภัตตาหารที่บ้านของตนในวันรุ่งขึ้น พระพุทธเจ้าทรงรับนิมนต์
ราชคฤหเศรษฐีทราบว่าน้องเขยนิมนต์พระพุทธเจ้าและพระสาวกมาฉันภัตตาหารที่บ้าน ก็ตกใจแล้วถามไถ่ด้วยความเป็นห่วงว่า “พี่ขอช่วยเจ้าออกค่าอาหารที่จะจัดถวายพระพุทธเจ้าและพระสาวกทั้งหลาย” สุทัตตเศรษฐีปฏิเสธ เมื่อพระเจ้าพิมพิสารทรงทราบก็มีพระราชโองการลงมาว่า พระองค์ขอออกพระราชทรัพย์ช่วยเป็นค่าอาหารถวายพระพุทธเจ้าและพระสาวกทั้งหลาย สุทัตตเศรษฐีก็ปฏิเสธ
เมื่อเศรษฐีได้ถวายภัตตาหารแด่พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสาวกในครั้งนั้นแล้ว ยังสร้างพระเชตวันถวายให้เป็นวัดในพระพุทธศาสนาอีกด้วย อย่างไรก็ตามต้องขอบคุณสีวกยักษ์และบริวารอมนุษย์ในครั้งนั้น เพราะพวกเขาได้ส่งเสริมให้สุทัตตเศรษฐี กลายเป็นเศรษฐีผู้ชอบทำทาน สมดังชื่อของท่านในภายหลังที่ว่า “อนาถบิณฑิกเศรษฐี” มีความหมายว่า “เศรษฐีผู้มีก้อนข้าวให้กับคนยากจน“
ที่มา : วินัยปิฎก จุลวรรค ภาค 2
ภาพ : www.pexels.com
บทความน่าสนใจ
บุตรเศรษฐีสิ้นเนื้อประดาตัวและไปไม่ถึงพระนิพพานเพราะน้ำเมา
อานนทเศรษฐี คนรวยผู้กลับชาติมา เกิดเป็นขอทาน
เศรษฐีตระหนี่ ทำบุญแล้วเสียดายทรัพย์ โดย ส.เขมรังสี (หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรํสี)
ปุณณะ ทาสหนุ่มผู้จนกลายเป็นมหาเศรษฐีด้วย อานิสงส์แห่งการใส่บาตร