ไม่เพียง “ก้าวคนละก้าว” จะเป็นโปรเจ็กต์แห่งปีที่สร้างแรงบันดาลใจมหาศาลแก่ผู้คนมากมาย แต่การวิ่งเพื่อผู้อื่นในครั้งนี้ยังทำให้ ก้อย – รัชวิน วงศ์วิริยะ ได้เรียนรู้ว่าเธอสามารถทำอะไรได้มากกว่าที่เคยคิด
สาวตาโตร่างเล็กคนนี้ ไม่เพียงเอาชนะระยะทางกว่าสองพันกิโลเมตร แต่ยังเอาชนะขีดจำกัดของชีวิตแบบเดิม ๆ ได้สำเร็จ
ไม่เคยละทิ้งความฝัน
ก้อยเป็นคนร่าเริงตั้งแต่เด็กมองโลกในแง่ดีมีความสุขกับเรื่องง่าย ๆ ช่างพูดช่างคุย ชอบฟังเพลง ชอบฟังวิทยุ เพราะเรียนหนังสือที่โรงเรียนราชินีบน การเดินทางจากบ้านไปโรงเรียนค่อนข้างไกล ใช้เวลาเดินทางไปกลับเป็นชั่วโมง เราจึงโตมากับวิทยุและอยากเป็นนักจัดรายการวิทยุ ตอนเรียนชั้นประถมก็ชอบเล่นกับเพื่อนด้วยการสมมุติว่าตัวเองเป็นดีเจและให้เพื่อนเล่นเป็นศิลปินโทร.เข้ามาในรายการ (หัวเราะ)
ตอนนั้นเด็กคนอื่นอยากเป็นครู เป็นหมอ เป็นพยาบาล แต่เราอยากเป็นดีเจเท่านั้น จึงตั้งใจเรียนสายที่เกี่ยวข้อง มัธยมปลายก็เลือกศิลป์-ภาษาและสอบเข้าคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก้อยมุ่งมั่นกับความฝันมาตั้งแต่เด็ก และไม่เคยละทิ้งสิ่งที่ตัวเองฝัน
โชคดีที่ระหว่างเรียนปีสาม ป๋าเต็ด (ยุทธนา บุญอ้อม) เรียกเข้าไปทำเดโมที่แฟตเรดิโอ จนได้เข้าไปจัดรายการ ช่วงนั้นเป็นยุคที่คลื่นอินดี้เฟื่องฟู ก้อยจึงได้เป็นดีเจเด็กแนวฟังเพลงอินดี้ ความฝันที่เราคิดไว้ตั้งแต่เด็กมันมาไวมาก ได้เป็นดีเจตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ แต่คนเราไม่ได้มีแค่ฝันเดียวในชีวิต ก้อยมีเป้าหมายต่อไป คืออยากเป็นนักแสดง เพราะย้อนคิดถึงตอน ม.6 ได้เล่นละครเวทีครั้งแรกเป็นอนาสตาเซีย ตอนนั้นรู้สึกว่าการแสดงเป็นเรื่องยาก คิดว่ายังทำได้ไม่ดี พอเข้ามหาวิทยาลัยได้เป็นดีเจแล้วและมีโอกาสแสดงละครเวทีอีก จึงเลือกเรียนสาขาสื่อสารการแสดงเป็นวิชาเอก วิชาโทภาพยนตร์และภาพนิ่ง ตั้งใจเรียนรู้ทุกอย่างให้ครบเพื่อให้แสดงได้ดีขึ้น จนเรารู้สึกอินและอยากเป็นนักแสดงที่มีคุณภาพ
โลกสีเทาที่ไม่เคยเปิดเผย
ชีวิตก้อยเริ่มเปลี่ยนจริง ๆ เมื่อได้เล่นภาพยนตร์ครั้งแรกเรื่อง รัก/สาม/เศร้า ซึ่งไม่คาดคิดว่าหนังเรื่องนี้จะประสบความสำเร็จ และทำให้เราได้รับรางวัล (รางวัลสุพรรณหงส์ สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม) นั่นคือจุดเปลี่ยนของชีวิตที่ค่อนข้างดราม่า เรื่องนี้ก้อยไม่เคยเล่าให้ใครฟังมาก่อน แต่ตอนนี้รู้สึกว่าโตพอที่จะแชร์ได้แล้วว่าที่ผ่านมารู้สึกอย่างไร
ตอนนั้นหลายคนมองว่าเราประสบความสำเร็จ เล่นหนังเรื่องแรกก็ได้รับรางวัลเลย สำหรับก้อยมันเป็นความภูมิใจในแว่บแรก แต่ตามมาด้วยความกดดัน เพราะเด็กคนหนึ่งที่ได้รับโอกาสจากผู้ใหญ่ จาก พี่ต้อม (ยุทธเลิศ สิปปภาค) ผู้กำกับ ได้รับโอกาสจาก GTH ได้ขึ้นไปรับรางวัล เรารู้สึกดีใจมาก แต่หลังจากนั้นสังคมเริ่มตั้งคำถามว่าทำไมเราถึงได้รางวัลทั้งที่เพิ่งเล่นหนังเรื่องแรก ก้อยสมควรได้รางวัลแล้วหรือ คนอื่นเล่นดีกว่าตั้งเยอะ
จำได้เลยว่าให้สัมภาษณ์นิตยสารฉบับหนึ่ง เขาไม่ได้ถามว่าดีใจไหมหรือรู้สึกอย่างไรกับรางวัลนี้ แต่คำถามคือคิดว่าตัวเองคู่ควรหรือไม่คู่ควรกับรางวัล ทำให้ก้อยเกิดคำถามกับตัวเองว่าเราไม่คู่ควรกับรางวัลนี้เหรอ ทำไมคนถึงตั้งคำถามกับเรา
ตั้งแต่วันนั้นคำที่บอกว่าเราไม่คู่ควรเหมือนมีดที่ทิ่มแทงตัวเองตลอดเวลา เราแบกรับความคาดหวังของผู้คน แบกความคิดของคนที่ไม่เชื่อมั่นในตัวเรา ทำให้ก้อยกดดันตัวเองเพื่อพยายามพิสูจน์ความสามารถให้คนอื่นเห็นว่าเราเป็นนักแสดงที่มีคุณภาพ
ชีวิตในช่วงนั้นจึงเป็นก้อยที่พยายามให้คนมาชอบ เป็นสาวเปรี้ยวเท่ ตัดผมสั้น ทาอายแชโดว์ดำ เพราะคิดว่าคนชอบเราแบบนั้น แต่ไม่ว่าจะทำอะไรเรากลับไม่มั่นใจเลยแม้แต่น้อย สมมุติว่ามีคนชมสิบคน แต่เจอคำต่อว่าคำหนึ่ง ก็จะไปยึดกับคำไม่ดีคำนั้นแล้วเอามาทำร้ายตัวเองตลอดเวลาทำให้ไม่กล้าทำอะไรนอกกรอบ อยู่แต่ในคอมฟอร์ตโซนของตัวเอง จากที่เคยเป็นคนมองโลกในแง่ดีมาก กลายเป็นคนมองโลกเป็นสีเทาโดยไม่รู้ตัว
แบกความรู้สึก ถึงจุดที่ต้องวางลง
ก้อยแบกความรู้สึกนั้นมาหลายปี พยายามจนไม่เป็นธรรมชาติเพื่อให้ได้รับการยอมรับ เราแคร์แต่คำพูดด้านลบ โฟกัสผิดที่ แต่ไม่เคยถอดใจ เพราะรักอาชีพการแสดง ก้อยไม่อยากเป็นดาราแค่ข้ามคืน ไม่อยากเดินเฉิดฉายแต่งตัวสวยแล้วหายไป เราอยากทำงานเพื่อพิสูจน์ตัวเองในฐานะนักแสดงที่มีคุณภาพ
ระหว่างนั้นเป็นช่วงเดียวกับที่ครอบครัวเจอปัญหา ก้อยเพิ่งรู้ว่าคุณพ่อคุณแม่มีภาระหนี้สินจากการลงทุนทำธุรกิจเยอะมาก ซึ่งเราไม่เคยรู้เลย เพราะตลอดชีวิตที่ผ่านมาไม่เคยรู้สึกว่าชีวิตลำบาก อยากทำอะไรก็ได้ทำ อยากเรียนก็ได้เรียน แต่ความสุขสบายนั้นมาจากความลำบากที่พ่อแม่ต้องแลก ก้อยจึงทุ่มเททำงานหนักเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระทางบ้านและดูแลคุณพ่อคุณแม่ด้วย ต้องทำตัวเองให้เข้มแข็ง ก้อยรับงานต่อเนื่อง ทำแต่งาน และกลัวว่าถ้าหายไปนานคนจะลืม แล้วจะกลับมาทำงานไม่ได้
จนวันหนึ่งตื่นเช้ามาด้วยความรู้สึกว่าชีวิตเราเหมือนแผ่นเสียงที่เล่นเพลงวนซ้ำ ๆ ทำงานจนกลายเป็นกิจวัตร เป็นหุ่นยนต์ที่ออกไปทำอะไรเดิม ๆ ไม่มีอะไรให้ตื่นเต้นท้าทาย จึงกลับมานั่งถามตัวเองว่า เพราะอะไรทำไมเราถึงรู้สึกหมดไฟ ไม่กระตือรือร้นเหมือนเมื่อก่อน
ในที่สุดก็ได้คำตอบว่า เรากำลังยึดติดกับอะไรบางอย่าง ยึดติดกับคำพูดคน ยึดติดกับความพยายามที่จะทำให้คนรักจนไม่กล้าทำอะไรอย่างอื่น ชีวิตเลยย่ำอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน เมื่อเริ่มรู้ตัวและมีโอกาสศึกษาธรรมะนั่งวิปัสสนา ก็เริ่มเข้าใจว่าที่ผ่านมาเราไม่ได้มีความสุขอย่างแท้จริง และคงเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว จึงเปลี่ยนวิธีคิดของตัวเอง เปลี่ยนโฟกัสไปหาคนที่รักเราและเรารัก และได้เห็นความโชคดีของตัวเองที่มีคุณพ่อคุณแม่สนับสนุนและยอมเสียสละเพื่อตัวเรามาตลอด พอเปลี่ยนความคิด ชีวิตเราก็เปลี่ยนไปอยู่ในโลกอีกใบ
พลังรักขับเคลื่อนชีวิต
การเปลี่ยนความคิดทำให้มองเห็นว่า ความรักที่ดีจากครอบครัว จากคนรอบข้างเป็นแรงผลักดันที่ทำให้เราทำทุกอย่างได้อย่างมีความสุข สูบฉีดให้หัวใจเราเต้นแรงมีพลังไปเผชิญกับโลกใบนี้ และทำให้เรารู้สึกมีชีวิตชีวาในทุกวัน แต่ต้องเป็นความรักที่ดี เป็นพลังบวก จึงจะแปรเปลี่ยนเป็นพลังในการใช้ชีวิตได้
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ความรักในสิ่งที่ทำ ก้อยหันมาโฟกัสกับงานด้วยความคิดใหม่ว่าจะเริ่มลองบทบาทใหม่ ๆ ไม่จำเป็นต้องเป็นนางเอก ไม่ต้องดราม่าก็ได้ ลองไปเล่นคอมเมดี้บ้าง เป็นตัวร้ายบ้าง ลองไปทำอะไรในทิศทางอื่น ๆ ที่ไม่เคยทำบ้าง ทำให้สนุกกับงานมากขึ้น ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ และพัฒนาตัวเองไปเรื่อย ๆ
จากนั้นโลกของก้อยหมุนไปด้วยความรักตลอดเวลา ถ้าร่างกายเราคือเครื่องยนต์ ความรักก็คือแบตเตอรี่รถยนต์ที่ทำให้รถคันนี้มีแรงแล่นต่อไปได้ คนอื่นอาจมีแรงขับในรูปแบบต่าง ๆ ความสำเร็จของบางคนอาจหมายถึงมีคนยอมรับ มีหน้ามีตาในสังคม มีเงินเป็นร้อยเป็นพันล้าน แต่สุดท้ายรากฐานของความสำเร็จต้องมาจากความรัก ถ้าไม่รักในสิ่งที่ทำก็จะไม่ประสบความสำเร็จ
จากที่เคยโฟกัสคนที่เราไม่รู้จัก คนที่ไม่ชอบเรา พอเปลี่ยนมาโฟกัสความสัมพันธ์ที่ดีของคนรอบข้าง โฟกัสกับงาน ทุกอย่างก็ดีขึ้น โลกสีเทาของก้อยก็เริ่มสว่างขึ้นจนกลับมาเป็นตัวของตัวเอง
โลกอีกใบที่ต้องเรียนรู้
ก้อยพบกับ พี่ตูน (อาทิวราห์ คงมาลัย) ในช่วงอายุที่โตขึ้น มีวุฒิภาวะมากขึ้น มองโลกอย่างเข้าใจมากขึ้น จากเด็กน้อยที่มีโลกเป็นสีชมพูผ่านช่วงที่เป็นสีเทาจนเริ่มสว่างขึ้นก็กลับมาเป็นก้อยที่มีโลกเป็นสีชมพูอีกครั้ง แต่ไม่ใช่สีชมพูช็อกกิ้งพิ้งค์ในวัยเด็ก เป็นสีชมพูพาสเทลที่มองแล้วสบายตาผ่อนคลาย โลกของเราไม่ได้อยู่กับเขาร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่มันเป็นอินเตอร์เซกกัน คือมีจุดที่เชื่อมโยงกันและกัน ในขณะเดียวกันเรายังต่างมีโลกของตัวเองอยู่
จำได้ว่าวันแรกที่เดตกัน ก้อยพาพี่ตูนไปดูละครใบ้พี่ตูนก็เป็นใบ้ไปเลย (หัวเราะ) เพราะไม่เคยเข้าโรงละคร แต่เราอยากให้เขารู้ว่าเราเป็นแบบนี้ เราชอบละครเวทีมาก ยังโชคดีที่เราชอบดนตรีทั้งคู่ ในทางกลับกันพี่ตูนก็พาก้อยเข้าไปในโลกการออกกำลังกายของเขา เป็นสิ่งใหม่สำหรับก้อยมาก เพราะเป็นคนไม่ชอบออกกำลังกายเลย
ช่วงแรก ๆ ที่ก้อยวิ่งกับพี่ตูน คิดแค่สนุก ๆ ไม่ได้ซักซ้อมจริงจัง ไม่มีวินัย ให้วิ่งก็วิ่งได้ แต่ไม่อิน เพราะก้อยไม่ชอบเข้าฟิตเนส ไม่ชอบวิ่งบนลู่ ไม่ชอบอยู่กับที่ รายการแรกที่ไปวิ่งด้วยกัน พอถึงจุดยูเทิร์นเราอยากจะหมุนตัวกลับมาก แต่บอกตัวเองว่า เฮ้ย ไม่ได้ ต้องวิ่งให้จบ พอถึงเส้นชัย เราก็เฮ มีความสุขที่ทำได้ แต่ยังไม่อินคิดแค่วิ่งผ่าน ๆ วิ่งเอาภาพ ขณะที่พี่ตูนอินมาก ไปฮาล์ฟมาราธอนจนไปไตรกีฬา ตีปิงปอง วิ่ง ปั่นจักรยาน ส่วนเราก็เลือกที่จะไปรอที่เส้นชัยให้กำลังใจอย่างเดียว (หัวเราะ)
จนถึงโครงการวิ่งที่บางสะพาน โปรเจ็กต์นี้เร็วมากเพราะพี่ตูนเป็นคนคิดแล้วทำเลย เราก็มีเวลาซ้อมวิ่งแค่ 1 เดือน วันแรกที่วิ่ง ก้อยรู้สึกเจ็บจึงหยุดยืดขา พอเงยหน้าขึ้นมาอีกทีหางแถวอยู่ตรงไหนไม่รู้ เขาวิ่งกันไปไกลแล้ว และตอนนั้นก็มืดมาก พี่ที่ประกบก้อยอยู่ต้องเปิด GPS พาก้อยวิ่งไปที่จุดหมาย ทุกคนก็เป็นห่วง กลายเป็นสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น เราไม่ภูมิใจเลย เพราะนอกจากวิ่งช้ากว่าเขา เรายังเป็นภาระอีกด้วย
ก้อยจึงหันไปทำประโยชน์ที่ตัวเองถนัดแทน นั่นคือไปยืนรับบริจาค ยิ้มถ่ายรูปกับทุกคน ช่วงไหนเส้นทางไม่ยากมากก้อยก็วิ่งกับพี่ตูนด้วย เราได้แต่วิ่งตามเงาเขาไปเรื่อย ๆ สุดท้ายก็เรียกมอเตอร์ไซค์ไปรอปลายทาง เป็นอย่างนี้ตลอดจนจบงาน
พบขีดจำกัดที่แท้จริง
หลังจบงานที่บางสะพานก้อยบอกตัวเองว่า ต้องจริงจังเพื่อวิ่งฮาล์ฟมาราธอนให้ได้ ตอนนั้นรู้แล้วว่าปลายปีพี่ตูนต้องวิ่งโปรเจ็กต์ก้าวคนละก้าว ก้อยตัดสินใจจ้างเทรนเนอร์เข้าฟิตเนสเลย เพื่อเป้าหมายที่สำคัญคือ ต้องวิ่งกับพี่ตูนในโปรเจ็กต์นี้ให้ได้ ต้องไปอยู่ตรงนั้นให้ได้ นับเป็นแรงขับที่แรงมาก ตื่นมาซ้อมวิ่ง เข้าฟิตเนสเพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อม ไม่เป็นภาระใครอีก
พี่ตูนบอกเสมอว่า อยากทำอะไรทำเลย ไม่ต้องรออะไร พอคิดว่าจะทำก็ต้องทำทันที เราตื่นตี 4 ไปซ้อมวิ่งทุกวัน จาก 10 กิโลเมตรเป็น 15 กิโลเมตร จนสามารถวิ่งฮาล์ฟมาราธอน 21 กิโลเมตรได้ ทำให้เรามีกำลังใจว่าเราทำได้อย่างน้อยก็แข็งแรงขึ้นและอึดพอที่จะอยู่บนถนนได้นานขึ้น
ก้อยไม่รู้ว่าตัวเองทำได้ จนวันที่เราทำได้ วันที่วิ่งถึง 40 กิโลเมตร พูดเลยว่า “เฮ้ย เราวิ่งได้เหรอ เราทำได้เหรอ” เราสามารถวิ่งขึ้นเนินเขา วิ่งข้าง ๆ กับพี่ ๆ ทีมชาติ “เฮ้ย วิ่งได้ไง” เราพูดกับตัวเองตลอดเวลา วินาทีนั้นมีความสุขมาก ทำให้ก้อยเข้าใจว่า จริง ๆ ร่างกายคนเรามีหลายสิ่งหลายอย่างที่เราทำได้โดยไม่รู้ตัว เราเองที่เป็นคนจำกัดตัวเองเอาไว้ เอาความคิดขีดคั่นความสามารถของตัวเองไว้ตลอดเวลา ด้วยคำว่า “เราทำไม่ได้”
พอเราไม่คิดถึงมัน แล้วก็แค่ทำ จะรู้ว่าเรายังทำอะไรได้อีกหลายอย่าง ไม่ใช่แค่เรื่องวิ่ง แต่หมายถึงทุกอย่างในชีวิต เรื่องนี้สอนก้อยว่า ต่อไปนี้เราจะไม่จำกัดตัวเองด้วยความคิดที่ว่า เราทำไม่ได้ เราคู่ควรหรือไม่คู่ควร คำเหล่านี้ต้องเอาออกไปจากหัว แล้วบอกตัวเองว่าเราทำได้
ก้อยไม่คิดมาก่อนว่าตัวเองจะสร้างแรงบันดาลใจให้ใครได้ เพราะคนที่สร้างแรงบันดาลใจที่แท้จริงคือพี่ตูน เขาเป็นแรงบันดาลใจให้ก้อยออกมาวิ่ง แต่ก้อยอาจเป็นตัวแทนของผู้หญิงที่ไม่คิดออกกำลังกายมาก่อน อยากให้ทุกคนเห็นว่า ก้อยทำได้ ทุกคนก็ทำได้เช่นเดียวกัน
คนส่วนใหญ่อาจเป็นเหมือนก้อย คือคิดว่าทำไม่ได้จึงไม่ได้ทำ แต่ตอนนี้บอกได้เลยว่า อะไรที่คิดว่าทำไม่ได้นั่นคือสิ่งที่เรายังไม่ได้ทำ การบอกตัวเองว่าทำไม่ได้ตั้งแต่ต้นจึงไม่มีทางที่สิ่งนั้นจะเป็นไปได้
เนื้อแท้ของคำว่า “โลกสวย”
การวิ่งในโปรเจ็กต์ก้าวคนละก้าว ตอนแรกเรามีเป้าหมายแค่ซัพพอร์ตผู้ชายคนหนึ่ง อยากช่วยให้เขาไปถึงเป้าหมายที่ต้องการ ให้เขาได้วิ่งอย่างมีความสุขที่ได้ช่วยคน ก็เหมือนเราได้เข้าเส้นชัยไปกับเขาแล้ว แต่สุดท้ายไม่ใช่แค่จำนวนเงินที่ได้รับบริจาค การไปอยู่ตรงนั้นทำให้ก้อยเรียนรู้ว่า ผู้หญิงคนนี้ทำได้นะ แค่ได้ร่วมเป็นส่วนเล็ก ๆ ที่มีโอกาสช่วยคนที่เราไม่รู้จัก ไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อน ยิ่งทำให้รู้สึกว่าชีวิตนี้มีคุณค่ามาก และสามารถทำเพื่อใครได้อีกมากมายมหาศาล
ไม่ใช่แค่ก้อย แต่ทุกอย่างขับเคลื่อนโดยทีมเวิร์ค เราทุกคนเป็นฟันเฟืองที่พาพี่ตูนไปถึงเส้นชัยได้อย่างราบรื่น เป็นความสุขที่แท้จริงที่ทำให้โลกสวยงาม มีคนเคยบอกว่าโลกของก้อยเป็นโลกในอุดมคติ ขณะที่โลกแห่งความจริงแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง แต่งานนี้ทำให้ก้อยรู้สึกว่า นี่คือโลกที่แท้จริง โลกที่ไม่มีใครใส่หน้ากากเข้าหากัน ทุกคนออกมาช่วยกัน รวมตัวกันโดยที่ไม่มีกำแพงเลย นักแสดงทุกค่ายทุกสังกัด เด็ก ผู้ใหญ่ ทุกเพศ ทุกวัย ทุกเชื้อชาติ ทุกศาสนา ออกมายื่นสตางค์ให้พี่ตูน หรือแค่ขอให้ได้เจอพี่ตูน สุดท้ายความรักที่พวกเขามอบให้พี่ตูน ก็เผื่อแผ่มาถึงก้อยถึงคุณหมอ และทีมงานทุกคนด้วย
คนมักใช้คำว่าโลกสวยในทางลบ เช่น อย่ามาโลกสวยน่า แต่โลกวันนี้มันสวยขึ้นมาจริง ๆ แล้วเราจะไม่ยอมรับมันเหรอถ้าสุดท้ายโลกนี้จะสวยงามด้วยพวกเราทุกคน วันที่สังคมเต็มไปด้วยการช่วยเหลือ มีแต่พลังงานดี ๆ มีแต่ความสุข ก้อยวิ่งไปยิ้มไปได้ ไม่ใช่เป็นเพราะเราเป็นนักแสดงจึงต้องยิ้ม หรือต้องสร้างภาพว่าเรากำลังทำดี แต่ก้อยมองผู้คนข้างทาง ทุกคนที่มายืนรอพี่ตูนมีแต่รอยยิ้ม ทุกคนมีแววตาที่มีความสุข มีความหวัง จึงทำให้เรายิ้มโดยอัตโนมัติ ทุกอย่างออกมาจากความบริสุทธิ์ใจจริง ๆ
ทุกวันนี้เวลาที่ก้อยซ้อมวิ่งคนเดียว พอรู้สึกเหนื่อยจะนึกภาพกองเชียร์ที่อยู่ข้างทางเหล่านั้น แทนที่เราจะก้มมองเท้าตัวเอง ก้อยจะเงยหน้าจินตนาการว่าตรงนี้มีคุณยายถือร่มเชียร์ ตรงนี้มีเด็กน้อยที่ถือป้ายว่าสู้ ๆ ตรงนี้ก็มีพี่อ้วน ๆ ถือพู่เต้นไปมาแล้วตะโกนว่าสู้ ๆ คิดแล้วก้อยก็เผลอยิ้มออกมา ทำให้ลืมความเหนื่อย ลืมความเจ็บ มีแรงวิ่งต่อไปได้ สิ่งเหล่านี้เป็นภาพที่อยู่ในใจก้อยตลอดเวลา
เป้าหมายใหม่ที่มีเพียง “ใจ” ที่ไปถึง
การวิ่งครั้งนี้ทำให้ก้อยค้นพบความสุขใจที่ต่างจากความสุขอื่น ๆ ที่เคยได้รับ เป็นความสุขที่อิ่มเอม ทำให้ชีวิตมีความหมาย วันนี้เป้าหมายในชีวิตของก้อยเปลี่ยนไป อาจไม่ใช่การยอมรับในฐานะนักแสดง ไม่ใช่การที่เราได้เดินขึ้นไปรับรางวัลอีกครั้ง หรือการได้แต่งตัวสวย ๆ แต่กลับเป็นเรื่องของการที่ได้ทำเพื่อใคร ได้ช่วยอะไรสังคม ได้ช่วยทำอะไรบ้างเพื่อโลกใบนี้
ก้อยไม่คิดเรื่องความสำเร็จ ชื่อเสียงเงินทองอีกแล้ว สิ่งที่มีอยู่ก็ยังคงอยู่ ชีวิตเรามีแค่ปัจจุบัน แค่วันนี้ก้อยอยากทำวันนี้ให้ดีที่สุด หากจะเกิดอะไรขึ้นก็ให้เป็นเรื่องของวันต่อ ๆ ไป การวิ่งทำให้ก้อยได้เรียนรู้ว่า ต่อไปถ้าต้องเจอความทุกข์ เราจะสามารถจัดการกับมันได้ดีขึ้น สามารถปล่อยวางได้เร็วขึ้น โฟกัสไปที่ความสุข เสียงหัวเราะ เรื่องราวดี ๆ และคนดี ๆ ที่เข้ามาในชีวิต อะไรที่ไม่ดีก็วางมันลง แล้วไม่ต้องหันกลับไปมองมันอีก วิ่งต่อไปข้างหน้า ก้าวต่อไปข้างหน้า
เพื่อนสนิทก้อยที่คบกันตั้งแต่เด็ก ๆ ทำงานราชการ เรามีโลกที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่พอได้เห็นก้อยในช่วงที่วิ่ง เพื่อนบอกว่านี่แหละคือก้อยที่รู้จักมาตั้งแต่เด็ก ๆ เป็นก้อยที่ไม่ถูกปรุงแต่งใด ๆ ไม่เป็นตัวละคร เป็นตัวตนของก้อยจริง ๆ
สิ่งที่พี่ตูนทำครั้งนี้ไม่ใช่แค่ทำให้คนได้เห็นก้อยที่เป็นก้อย แต่ยังทำให้ก้อยได้เห็นตัวเองอีกด้วย
ที่มา : นิตยสาร Secret ฉบับที่ 231
เรื่อง : อุราณี ทับทอง
ภาพ : สุเมธ วิวัฒน์วิชา