เรื่อง กรรณิการ์ ทองคำ ภาพปกและภาพประกอบ วรวุฒิ วิชาธร สไตลิสต์ ยุวดี สุวรรณศักดิ์ชัย ณัฏฐิตา เกษตระชนม์ แต่งหน้า วรธน กฤษณะกลิน ทำผม เพ็ญศรี ประจง
นาทีนี้คงไม่มีใครรู้จัก ปาน - ธนพร แวกประยูร หนึ่งในนักร้องคุณภาพที่ร้องเพลงเสียดสีกิเลสทางโลกได้ถึงอารมณ์ที่สุดแห่งยุค
เส้นทางกว่าจะมาเป็นนักร้องดังอย่างทุกวันนี้ มีความเป็นมาอย่างไรคะ
ตอนเด็ก ๆ โตมาแบบเด็กบ้านนอกเป็นเด็กฝั่งธนฯที่โตมากับธรรมชาติและครอบครัววิถีไทยแท้ ๆ เป็นลูกคนเล็กที่ค่อนข้างอาภัพ ไม่ค่อยมีใครตามใจ โดนตีเยอะพอสมควร แล้วก็โดนจับประกวดร้องเพลงตลอด ตอนนั้นไม่ชอบประกวดไม่ชอบอยู่บนเวที เมื่อได้เข้าเรียนที่นาฏศิลป์จึงดีใจมากที่ไม่ต้องประกวดอีกแล้ว เพราะโรงเรียนห้ามนักเรียนประกวดทุกอย่าง
ตอนเด็ก ฝันอยากเป็นครู เพราะที่บ้านมีครูเป็นตัวอย่างเยอะ ส่วนเส้นทางการเป็นนักร้องจริง ๆ เริ่มตั้งแต่เรียนอยู่ชั้นม. 5 ตอนนั้นได้เข้าห้องอัดร้องเพลงหาเงินสมัยก่อนเป็นมือปืนรับจ้างให้ทุกค่าย เรียกว่าโลดแล่นอยู่เบื้องหลังประมาณ 7 - 8 ปี เมื่อร้องเป็นไกด์ให้ศิลปินหลายคน วันหนึ่งผู้ใหญ่ได้ยินและสนใจเสียงของเราจึงเรียกไปคุยกระทั่งได้กลายเป็นนักร้องสังกัดอาร์เอส
เมื่อมาเป็นคนเบื้องหน้า ลักษณะการทำงานก็เปลี่ยนไปหมด นอกจากต้องทำงานตรงเวลา เคารพซึ่งกันและกัน เข้าใจในหน้าที่และบทบาทของตนเองแล้ว สิ่งที่ต้องมีเพิ่มขึ้นคือเรื่องภาพลักษณ์ การทำงานกับคนจำนวนมาก เราจะทำตัวสบาย ๆ เป็นกันเองเหมือนตอนทำงานกับโปรดิวเซอร์แค่ 2 - 3 คนไม่ได้ ที่สำคัญ ต้องใช้ความอดทนอย่างมาก ต้องปรับตัวเยอะเหมือนกัน
ถามว่าจริง ๆ อยากเป็นนักร้องไหมคำตอบคืออยากเป็น แต่ไม่ได้อยากเป็นนักร้องโด่งดังอะไรมากมาย ไม่เคยคิดมาก่อนว่าวันหนึ่งจะดัง แค่ได้ทำงานเบื้องหลังก็มีความสุขแล้ว การได้มาเป็นนักร้องและมาถึงตรงนี้ได้จึงเกินกว่าที่คิดไว้มาก
ออกอัลบั้มแรกก็ดังเลยคุณปานเคยหลงระเริงไปกับชื่อเสียงเงินทองที่เข้ามาอย่างรวดเร็วไหมคะ
มีค่ะ มีแน่นอน โมเมนต์อย่างนี้เกิดได้กับทุกคน แต่อยู่ที่ว่าใครจะรู้ตัว กลับตัวได้เร็วแค่ไหน จะเท่าทันไหม ความมีชื่อเสียงหลอกเราไปพักหนึ่งเลยแหละว่ามันสนุกนะโอ้โห! ไปไหนมาไหนมีแต่คนห้อมล้อมคอยเอาอกเอาใจ แต่ว่าเป็นบุญของเราอย่างหนึ่งที่มองเห็นค่อนข้างเร็ว จึงไม่ใช้ชีวิตไปกับแสงสีปลอม ๆ คนเอาใจปลอม ๆ เราจะเริ่มเห็นว่าเขาเอาใจเพราะวันนี้เราเป็นนักร้องดังถ้าวันหนึ่งเราไม่ใช่นักร้องดังแล้ว เขาจะทำไปทำไม สิ่งที่ดึงเรากลับมาคือ “ความจริง”ซึ่งเป็นสิ่งเดียวเลยที่เยียวยารักษาคนให้ “ตื่น” ขึ้นมาได้
แนวเพลงที่คุณปานร้องส่วนใหญ่มีเนื้อหาเชือดเฉือนอารมณ์ การร้องเพลงแบบนี้มีแรงบันดาลใจและเทคนิคในการร้องอย่างไรบ้างคะ
แรก ๆ ก็งงเหมือนกันค่ะ เพราะว่าเนื้อหาเพลงพูดถึงชีวิตใครไม่รู้ เราก็ไม่ได้มีประสบการณ์รันทดหดหู่ขนาดนั้น แต่เชื่อว่าสังคมมีเรื่องแบบนี้จริง และสิ่งที่นักร้องทุกคนต้องเจอคือ พอเห็นเพลงแล้วมีบางเพลงที่ชอบและบางเพลงที่ไม่ชอบ แล้วจะทำอย่างไรกับสิ่งที่ไม่ชอบล่ะ ก็ต้องเล็งไปที่คำว่า “หน้าที่” วันนี้เรามีหน้าที่อะไร มีหน้าที่เป็นนักเล่าเรื่องก็ต้องเล็งไปตรงจุดนั้น ต้องไม่เอาตัวตนของเราเข้าไปจับ เขาไม่ใช่เราเราไม่ใช่เขา เราแค่มีหน้าที่เล่าเรื่องเพลงนั้นออกมาให้เสมือนจริงมากที่สุด
เวลาร้องเพลงค่อนข้างใช้จินตนาการสูงค่ะ ในยุคหนึ่งจะดูหนังทุกเรื่อง ต้องใช้ชีวิตอยู่กับการเสพอารมณ์ทั้งหลายแหล่ ทั้งอ่านหนังสือ ดูหนัง ฟังเพลง เที่ยวกลางคืนต้องออกไปดู ต้องเข้าไปอยู่ ต้องเข้าถึงไม่อย่างนั้นเราจะไม่เข้าใจ เพราะปานเป็นคนค่อนข้างคิดอะไรสวนทางกับทุกเพลงที่ถ่ายทอดออกไป จะไม่ค่อยมีมุมแบบนั้นสักเท่าไหร่ ฉะนั้นต้องเล็งที่คำว่าหน้าที่แล้วทำการบ้านด้วยการเอาตัวเองออกไปหาประสบการณ์ทางอารมณ์หลาย ๆ ด้าน
นอกจากการร้องเพลงทางโลกแล้ว คุณปานยังมีโอกาสได้ร้องเพลงทางธรรมด้วย ซึ่งตรงข้ามกันเลยอยากทราบว่าเทคนิคในการร้องเพลงทางธรรมคืออะไรแตกต่างจากการร้องเพลงทางโลกอย่างไรคะ
เพลงทางธรรมต้องมาจากข้างในของเราเอง ถามว่าถ้าได้รับทำงานเพลงทางธรรมเมื่อประมาณสิบปีที่แล้วก็คงทำไม่ได้นะ เพราะยังไม่เข้าใจ ข้างในยังขุ่นมัวค่อนข้างมาก ถึงวันนี้ก็ไม่ได้ใสขึ้นมากมายอะไร เพียงแต่ว่าเริ่มเข้าใจ เริ่มเห็นว่า อ๋อ อันนี้ดำ อันนี้ขาวมันเป็นอย่างนี้เอง จริง ๆ แล้วเป็นคนสนใจธรรมะตั้งแต่เด็ก เพราะที่บ้านก็พาเข้าวัดทำบุญ แต่ไม่ได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าแก่นแท้ของธรรมะคืออะไร เราทำเพื่ออะไร พระพุทธเจ้าสอนอะไร
เมื่อได้ทำงานมาก ๆ เหนื่อยมาก ๆจากการได้เรียนรู้มาสิบกว่าปีก็เริ่มมีคำถามว่า “เราทำไปทำไม เราทำเพื่ออะไร” เรามีเงิน มีสมบัตินอกกายทุกอย่างที่มนุษย์ต้องการ “แล้วมันยังไงต่อล่ะ”
ช่วงที่คุณแม่ (คุณดวงพร แวกประยูร)ป่วยเป็นเส้นเลือดตีบ ครอบครัวเราพยายามหาหนทางรักษา หมอที่ไหนว่าดีว่าเก่งไปหาหมด หาเงินได้เท่าไหร่ก็นำมารักษาคุณแม่แต่สุดท้ายก็ทำอะไรไม่ได้ ทุกวันนี้ได้แต่ยื้อสังขารกันเท่านั้นเอง จึงคิดว่าเป็นเรื่องของกรรมซึ่งแบกรับแทนกันไม่ได้ อย่างมากที่สุดเราก็แค่มีกรรมร่วม
นั่นทำให้เริ่มรู้แล้วว่าสมบัตินอกกายทุกอย่างไม่ใช่สุขแท้ เวลาที่สุขแท้คือตอนที่อยู่คนเดียวเงียบ ๆ อยู่กับสิ่งที่เรียกว่าเงียบสงบ รู้สึกว่ามันสบายใจ ได้ล้างใจปานชอบโมเมนต์แบบนี้ จึงหันมาสนใจทางธรรมมากขึ้น จังหวะชีวิตมันดีตรงที่ว่าเราได้เรียนรู้ธรรมะไปประมาณหนึ่ง แล้วทำให้พอเข้าใจว่า อ๋อ เวลาโลกมันเหวี่ยงจากดำไปขาวเป็นแบบนี้เลยนะ เพราะเราลุยทางโลกมาไม่รู้เท่าไหร่ ร้องเพลงมาทุกประเภทวันหนึ่งมาร้องเพลงทางธรรมที่แทบจะไม่ต้องใช้อะไรเลย แต่ยากกว่าเพลงทางโลกมากเพราะต้องมาจากใจที่ศรัทธาก่อน
แล้วธรรมะนำมาใช้กับการร้องเพลงได้หรือไม่คะ
สำหรับปาน ธรรมะนำมาใช้กับการร้องเพลงได้นะคะ การร้องเพลงไม่ควรต้องมีการเอาชนะ เวลาฟังเราจะรู้ ถ้าเด็กหรือใครก็ตามที่ร้องแบบฟาดฟัน ต้องการเอาชนะ เสียงจะหนัก ไม่ไพเราะ ไม่มีความเมตตา เวลาที่คุณร้องเพลง คุณต้องให้ไปเลย ให้ไปทั้งหมด คุณไม่ต้องหวังว่าจะได้อะไรกลับคืนมา นี่คือหน้าที่ของนักร้องไม่ต้องสนใจว่าคนฟังจะชอบหรือไม่ จะโหวตหรือไม่ ต้องไม่คิดอย่างนั้น ถ้าคิดแบบนั้นเสียงของคุณจะหม่นทันที เพราะเป็นเสียงแห่งกิเลส แต่ถ้าคุณมีความสุขกับการร้องเพลง ฉันได้ทำหน้าที่ตรงนั้นดีแล้วเสียงจะออกมาสว่างมาก ดนตรีคือสุนทรีย-ศาสตร์ เพราะฉะนั้นถ้าถูกครอบงำด้วยการเอาชนะก็จะไม่ใช่ดนตรีที่เป็นสุนทรียศาสตร์
ในขณะเดียวกันการร้องเพลงทำให้ตั้งคำถามว่า เราเป็นเจ้าของเสียงนี้จริงไหม ถ้าเป็นของเราจริง ๆ ต้องบังคับมันได้ แต่ทำไมวันนี้ร้องดี พอวันพรุ่งนี้อาจไม่ดีเท่าวันนี้วันไหนป่วยก็ร้องไม่ได้ เสียงนี้จะอยู่กับเราจนแก่จริงไหม หากวันหนึ่งแก่ลงจะร้องได้เท่านี้หรือไม่ มันไม่มีความแน่นอน เพราะมันเป็นแค่กล้ามเนื้อชนิดหนึ่งที่เสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา ถ้ามันเป็นของเราจริง ๆต้องบังคับมันได้สิ ต้องดูแลมันได้ตลอดเวลาสิ ทำไมเราบังคับมันไม่ได้ล่ะ นั่นเป็นไปตามที่พุทธศาสนาสอนไว้ว่า ไม่มีอะไรเป็นของเราจริง ๆ
การมีเสียงดี เป็นบุญที่ทำมาแต่ชาติก่อนหรือเปล่าคะ
เป็นไปได้ค่ะ เราคงต้องเคยทำอะไรเกี่ยวกับเสียงมา ทำให้ชาตินี้เรามีสมบัติข้างในที่เรียกว่า “เสียง” ซึ่งหลายคนไม่มีความโชคดีอีกขั้นหนึ่งคือ เขาให้เราทำหน้าที่ให้มาทำประโยชน์ และโชคดีที่มีโอกาสมากมายในชีวิตในการใช้เสียงให้เกิดประโยชน์ทั้งการร้องเพลงทางโลกและเพลงทางธรรมเพลงทางโลกเราดีใจที่ได้ร้องนะ จากวันนั้นที่รู้สึกเครียดว่าเพลงทางโลกทำไมมันดาร์กจังแต่ถ้าเราไม่รู้จักสีดำ เราก็จะไม่รู้จักสีขาวมันต้องเรียนรู้ทั้งหมด ซึ่งกว่าจะเข้าใจก็ต้องแก่ ต้องโลดโผนมาประมาณหนึ่งแล้ว จะบอกกับน้อง ๆ ที่เข้ามาขอคำแนะนำบ่อย ๆ ว่าอย่าทำอะไรข้ามขั้นตอน ทุกอย่างมันมีวิถีของมัน มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ชีวิตมีขึ้นมีลง
หลักธรรมของพระพุทธเจ้าที่คุณปานยึดอยู่ในใจคืออะไรคะและได้นำมาใช้ในชีวิตประจำวันอย่างไรบ้าง
หลักธรรมของพระพุทธเจ้าสำหรับปานคือ “ปัจจุบันขณะ” แค่นั้นจริง ๆ ถ้าเราอยู่กับลมหายใจของเราได้ คุณจะเอาเวลาที่ไหนไปทำบาปทำกรรม กระทั่งความคิดยังคิดชั่วไม่ได้เลย บาปทางมโนกรรมเป็นสิ่งที่คนทำเยอะที่สุด พลาดพลั้งเยอะที่สุด ถ้าหากปัจจุบันขณะของท่านอยู่ที่ดั้งจมูก คือดูอย่างเดียว ไม่ต้องคิดอย่างอื่น เอาพุทโธเป็นสรณะ ท่านไม่มีโอกาสทำบาปเลย “มันไม่หนีไปไหน ถ้าใจอยู่กับพุทโธเสียอย่าง”ปานว่าเรื่องนี้สำคัญ ฟังดูเหมือนง่ายนะ แต่ทำยาก ทว่าไม่ได้ยากเกินความสามารถของมนุษย์ ไม่อย่างนั้นคงไม่มีพระอรหันต์ให้เราเห็น
หลักธรรมข้อนี้ใช้ได้ตลอดเวลา ใช้ได้ทุกลมหายใจ อยู่ที่ว่าเราจะมีความเพียรแค่ไหน สิ่งหนึ่งที่คิดว่ายากมาก ๆ เลยคือ “การรู้เท่าทันจิต” ทำให้ค้นพบและเข้าใจว่าจริง ๆ แล้วธรรมะอยู่ในเรา ไม่ใช่อยู่ข้างนอกจิตดวงนี้อย่าได้ไปบังคับมันเชียว มันลำบากหากตอนนี้ยังทำอะไรไม่ได้ก็ตามดูมันไป ดูว่าวัน ๆ มันคิดอะไร ไปไหนบ้าง เหมือนแมวไล่จับหนูไปเรื่อย ๆ จับทันบ้างไม่ทันบ้าง แต่ก็ดีกว่าปล่อยให้จิตวิ่งไปเรื่อย ๆสิ่งที่อ่านมาเยอะ ๆ เป็นแค่ธรรมะจากการอ่าน รู้แค่ทฤษฎี แต่ว่าสุดท้ายแล้ว “ธรรมะต้องลงมือทำ” บางทีไม่ต้องรู้อะไรเลยก็ได้แต่ต้องรู้ตัวเองก่อน ตอนนี้หายใจเข้าหรือหายใจออก ดูให้ทันก่อน แค่นี้ก็ยากแล้วสำหรับคนธรรมดาอย่างเรา
คุณปานสนใจเรื่อง “นิพพาน”มากน้อยแค่ไหนคะ
สนใจมากค่ะ แต่รู้ว่าไกล เราไม่ได้กลัวตายนะคะ กลัวเกิด เพราะการเกิดมันเป็นทุกข์มากกว่าจริง ๆ เราเริ่มรู้แล้วว่าทำอย่างไรถึงจะหยุดเกิด พระพุทธเจ้าบอกนิพพานมีจริง “นิพพานคืออะไร” ต้องสนใจว่าทำอย่างไรให้ไม่เกิด ไม่อยากเกิดแล้ว หากพระนิพพานมีจริงก็ปรารถนามากเพราะรู้แล้วว่าวัฏสงสารน่ากลัว ไม่รู้ว่าเราประมาทมากี่กัปกี่กัลป์แล้ว ถ้าเชื่อว่าชาติหน้ามีจริง เราต้องไม่ประมาท เพราะไม่รู้ว่าเราจะเกิดที่ไหน กรรมจะเหวี่ยงเราไปตรงไหนจะเกิดกับพ่อแม่นี้ไหม เวลาอ่านพระไตรปิฎกรู้สึกว่าน่ากลัว ชาตินี้คนนี้เขาเป็นพ่อเราแต่ชาติที่แล้วเขาอาจเคยเป็นสามีเราก็ได้นะเรื่องนรก - สวรรค์มีจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่อย่างน้อยมันเป็นกุศโลบายทางใจที่ทำให้เรารู้สึกเกรงกลัวต่อบาป ไม่อยากทำบาป ไม่อยากทำกรรม
เป้าหมายของชีวิตนับจากนี้ไปของคุณปานคืออะไรคะ
ถ้าชีวิตนี้ผ่านพ้นเรื่องคู่ไปได้ก็จะทำงานรับใช้ศาสนา นี่คือเป้าหมายสุดท้าย เพราะค้นพบแล้วว่าเป็นสิ่งที่ทำให้มีความสุข เป็นอาหารใจ ถ้าไม่มีคู่ก็ไม่มีอะไรต้องห่วงพี่น้องก็สบายหมดแล้ว พ่อแม่ท่านแก่แล้ววันหนึ่งก็ต้องจากไป ไม่เขาก่อนก็เราก่อนอาจบวช อาจไปอยู่วัด มองไว้แล้วว่าชีวิตบั้นปลายเราอาจไปปฏิบัติจริงจัง อยู่กับตัวเองอยู่กับครูบาอาจารย์ ชนิดเก็บตัวไปเลย อาจออกจากวงการบันเทิงไปเลย นั่นคือเป้าหมายไม่ใช่ว่าเราบ้าคลั่งศาสนา เราทำภายใต้ความสามารถที่เราทำได้หรือจนกว่าเส้นเสียงจะใช้งานไม่ได้ หลังจากนี้คงพอแล้วสำหรับงานทางโลก งานที่รับอาจไม่หวือหวา ไม่โลดโผนเหมือนเมื่อก่อนแล้ว อะไรที่ออกจากปากเราวันนี้ต้องผ่านการไตร่ตรองมากขึ้นก่อนที่เราจะร้องไม่ได้จึงอยากเลือกงานที่รู้สึกพอใจ ทำแล้วมีความสุข
เคล็ดลับความสำเร็จของคุณปานคืออะไร
สำหรับปานคือ “ความจริงใจในการทำงาน” แต่ความจริงใจของเราอาจไปทำร้ายคนบ้างก็มีนะคะ เพราะมันจริงเกินไป ตรงเกินไป บางทีเราจริงมาก จริงทั้งหมดก็ไม่ได้ ก็ต้องเรียนรู้เพราะคนอื่นไม่ได้คิดเหมือนเรา ใจเขาไม่ได้หนาเหมือนเรา ก็ต้องเรียนรู้กันไป ปานยึดหลักว่าความจริงใจอาจไม่ถูกใจคนมากนัก แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปคนเราเติบโตขึ้น เขาจะนึกขอบใจเราเองแหละ เรื่องบางเรื่องต้องไม่กลัวคนเกลียดมันมีอยู่แล้วที่ว่าคนรักเป็นร้อย คนเกลียดเป็นล้าน แต่ต้องไตร่ตรองดูว่าสิ่งที่เราทำเกิดประโยชน์กับเขาอย่างไร เขาอาจเกลียดเรา แต่ถ้าเกลียดแล้วได้พัฒนาตัวเอง ปานว่าคุ้ม เราเป็นคนทำงานแบบนี้ ถ้าบอกไปอาจไม่ถูกใจบางกลุ่ม แต่ก็ไม่กลัว รู้สึกว่าการถูกเกลียดเป็นเรื่องธรรมดาของคนของสัตว์โลก
ถ้าเราเปรียบเทียบว่าเราเป็นสัตว์โลกเหมือนกัน เป็นสิ่งมีชีวิตเหมือนกัน ไม่มีแก่นสารอะไรให้ยึดสักอย่าง พอคิดได้แบบนี้ก็ทำให้ใจคลายความยึดติดและทำงานกับคนอื่นได้ง่ายขึ้น
Secret Box
นักร้องที่ดีจะไม่ฆ่าใครบนเวที เวลาร้องเพลงต้องทุ่มใจให้ไปทั้งหมด
โดยไม่หวังจะได้อะไรกลับคืนมา
ปาน – ธนพร