ความตาย

True story : เมื่อ ความตาย อยู่ตรงหน้า

True story : เมื่อ ความตาย อยู่ตรงหน้า

เสียงโหวกเหวกโวยวายแม้ฟังไม่ได้ศัพท์ แต่กลับกระชากผมให้ตื่นขึ้นมาจากภวังค์หลับใหล ยังไม่ทันได้ตั้งสติใดๆ รถที่นั่งก็พุ่งเข้าชนตอสะพานอย่างจัง เสียงดังโครมเพียงแค่อึดใจ แล้วทุกอย่างก็เงียบงัน
1
ผมและ กบ (นิมิตร จิตรานนท์) เพื่อนสนิท เดินทางด้วยเครื่องบินจากกรุงเทพฯมาถึงเมืองกัลกัตตา ประเทศอินเดีย เมื่อคืนนี้ ตามแผนที่วางไว้เราต้องต่อรถไปยังพุทธคยาเพื่อถ่ายทํารายการสารคดีเกี่ยวกับสังเวชนียสถานในอินเดียเป็นเวลา 11 วัน สาเหตุที่ต้องบินมาลงที่นี่ก่อนเพราะเราเลือกเดินทางในวันที่ไม่มีเที่ยวบินตรงไปพุทธคยา
2
เมื่อถึงสนามบินเมืองกัลกัตตาก็เป็นเวลาตีหนึ่งแล้ว รถเช่าที่เอเจนซี่หาไว้ให้ก็มารออยู่แล้วเช่นกัน คนขับรถและผู้ช่วยคนขับบอกว่า ต้องออกเดินทางทันทีเพื่อจะไปถึงพุทธคยาในตอนเช้า คนขับรถยืนยันเป็นมั่นเหมาะว่าเขาพร้อมทํางานเพราะพักผ่อนมาเต็มที่แล้ว เราสองคนจึงตกลงออกเดินทางทันที
3
สองข้างทางที่รถแล่นไปมีแต่ความมืด มองไม่เห็นวิวทิวทัศน์ใด ๆ เราสองคนจึงนั่งแบบหลับ ๆ ตื่น ๆ ไปตลอดทาง รู้สึกตัวครั้งหนึ่งประมาณตีสาม เพราะคนขับรถแวะพักรถที่ปั๊มน้ํามันเก่า ๆ สักพักแล้วก็ออกเดินทางต่อ

ประมาณเจ็ดโมงเช้า ผมสะดุ้งตื่น เพราะได้ยินเสียงของผู้ช่วยคนขับโวยวาย เมื่อลืมตาเต็มตื่นก็เห็นด้านหน้ารถพุ่งชนตอสะพานอย่างจัง

ในเสี้ยววินาทีนั้น ร่างของผมเหมือนถูกผลักให้หลุดออกจากเบาะ แต่แล้วก็โดนกระชากกลับมาอยู่ที่เดิม เพราะเข็มขัดนิรภัยที่คาดไว้ดึงรั้งกลับมา ผมเจ็บแปลบบริเวณท้องที่รัดเข็มขัดนิรภัยไว้ หันไปมองข้าง ๆ ก็เห็นเพื่อนท่าทางจะได้รับบาดเจ็บเหมือนกัน
4
เมื่อรถนิ่งค้างอยู่ที่ตอสะพาน ผู้ช่วยคนขับเปิดประตูออกไปอยู่นอกตัวรถทันที เขาดูไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ แต่คนขับยังติดอยู่กับที่นั่งออกมาไม่ได้ ดูเหมือนว่าขาของเขาหักทั้งสองข้างจากการที่รถฝั่งที่เขานั่งกระแทกเข้ากับตอสะพานเต็ม ๆ
5
ผมถอดเข็มขัดนิรภัยออก เปิดประตูรถแล้วค่อย ๆ ออกมายืนบนถนน แต่ยืนได้ไม่กี่นาทีก็เจ็บท้องมากจนต้องทรุดตัวลงนอนกับพื้น ในขณะเดียวกันผู้ช่วยคนขับรถก็ไปดึงกบออกมาจากรถ และลากเขามาอยู่ข้าง ๆ กัน
6
“เป็นไรมากไหม”
7
ผมถามอย่างเป็นห่วง เขาพยักหน้า คล้ายจะบอกว่ายังไหวอยู่
8
เราอยู่ตรงนั้นสักพักก็มีรถขนฟางขับผ่านมา ผู้ช่วยคนขับรถรีบวิ่งไปโบกรถคันนั้น เขาคุยกับคนขับสองสามคําแล้วก็ให้เราสองคนหิ้วกระเป๋าขึ้นไปนอนบนกองฟางหลังรถคันนั้น พร้อมกับบอกว่า คนขับรถคันนี้จะพาเราไปโรงพยาบาล
9
หนึ่งชั่วโมงที่นอนอยู่บนรถ ผมยังงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ได้แต่คิดว่าเกิดอะไรขึ้นกันนะ นี่เราเป็นอะไรหนักหรือเปล่า แล้วงานที่วางแผนกันมาจะทําอย่างไร อุปกรณ์ที่ขนมาด้วยจะเสียหายหรือไม่ ผมคิดวนไปวนมาตลอดทาง
10
สุดท้ายรถขนฟางก็พาเรามาถึงที่แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นเหมือนศาลาโล่ง ๆ คนขับรถพาเรามานอนบนเตียงคนละเตียง หลังจากนั้นก็มีชายคนหนึ่งเดินเข้ามาขอดูพาสปอร์ต แล้วพูดกับคนขับรถซึ่งพอเดาความหมายได้ว่า ผมกับกบยังไม่ตาย ให้เรียกรถพยาบาลมารับไปส่งโรงพยาบาลใกล้ ๆ
11
ไม่นานนักก็มีรถซูบารุคันเล็ก ๆ มารับเราขึ้นไปนอนท้ายรถคนละฝั่งเราไม่ได้พูดอะไรกันเลย แต่จับมือเพื่อให้กําลังใจกันไปตลอดทาง รถแล่นไปตามทางขรุขระ ผมก็ไม่รู้ว่าตอนนี้เราอยู่ส่วนไหนของอินเดีย อาการปวดของผมกําเริบหนักขึ้น เรียกได้ว่าปวดที่สุดในชีวิต กบก็คงบาดเจ็บไม่น้อยกว่ากัน เพราะหลายครั้งผมได้ยินเสียงเขาครางออกมาด้วยความเจ็บปวด
12
เป็นเวลานานแค่ไหนไม่รู้ รถคันนี้พาเราสองคนมาส่งที่โรงพยาบาลเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง บุรุษพยาบาลเข็นเตียงของกบแยกออกไปอีกห้องหนึ่ง ส่วนผมก็มีหมอผู้หญิงมาดูแผลให้ เธอมีสีหน้าตกใจ เพราะตอนนั้นรอบท้องผมกลายเป็นสีดําไปหมดแล้ว คาดว่าหมอคงฉีดมอร์ฟีนให้ อาการปวดจึงทุเลา หลังจากนั้นหมอก็เดินจากไป ปล่อยให้ผมนอนรออยู่คนเดียวในห้องนั้น
13
ระหว่างนอนรอการรักษา โทรศัพท์มือถือของผมก็ดังขึ้น ดูหน้าจอแล้วก็เห็นว่าภรรยาโทร.เข้ามา
14
“ไปถึงหรือยัง ทําไมไม่โทร.มาบอกกันเลย”
15
เธอถามด้วยความเป็นห่วง
16
“เรารถคว่ํ่า ตอนนี้ไม่รู้เหมือนกันว่าอยู่ที่ไหน”
17
คําตอบของผมทําให้เธอตกใจมาก หลังจากวางสายไป เธอจึงโทร.ไปหาภรรยาของกบ โทร.ปรึกษาครอบครัวและติดต่อกับบริษัทรถเช่า จนสุดท้ายก็รู้ว่าผมอยู่ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งที่เมืองดันบัด (Dhanbad) เมืองเล็กๆ ระหว่างทางจากกัลกัตตาไปพุทธคยาระหว่างนั้นภรรยาและน้องชายของผมก็โทร.มาหาเป็นระยะ เพื่อคอยส่งข่าวที่เช็กได้จากการประสานงานกับบริษัทรถเช่าอยู่เรื่อย ๆ
18
ผมนอนอยู่นาน ในใจก็คิดเป็นห่วงว่า เพื่อนบาดเจ็บขนาดไหน เพราะไม่ได้เจอกันอีกเลย จนสุดท้ายน้องชายโทร.เข้ามา ผมจึงถามเขาว่า
19
“ตอนนี้กบเป็นยังไงบ้าง หายไปนานมากเลย”
20
ตอนแรกน้องชายไม่ยอมบอกอะไร เมื่อผมเซ้าซี้หนักเข้า เขาจึงปลอบว่า
21
“ใจเย็น ๆ นะ ตอนนี้พี่กบกลับมาไม่ได้แล้ว แต่เราจะพยายามเอาแกกลับมาให้ได้”
22
ผมนิ่งอึ้งกับคําตอบของน้องชาย ผมถามตัวเองในใจ ทั้งหมดนี้คือเรื่องจริงใช่ไหม เพื่อนเราตายจริง ๆ หรือ ความตายมันใกล้ตัวเรามากขนาดนี้เชียวหรือ เรื่องที่เจอมันร้ายแรงกว่าที่ผมคิด ในหัวคิดวนเวียนสับสน ทั้งเสียใจที่เสียเพื่อนและกลัวความตายขึ้นมา
ความตาย
ขณะนอนเจ็บอยู่ตรงนั้น ผมไม่รู้เลยว่าครอบครัวของผมและกบกําลังโกลาหลวุ่นวายกับข่าวที่ทางอินเดียส่งไปว่าสถานการณ์ที่โรงพยาบาลตอนนี้คือ one dead one ok (เสียชีวิตหนึ่งคน อีกหนึ่งคนรอดชีวิต) กบเสียชีวิตเพราะซี่โครงหักทิ่มปอด ข่าวนั้นคงสะพัดไปทั่วเมืองที่ผมอยู่เช่นกัน เพราะจู่ ๆ ก็มีนักข่าวโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นเปิดห้องเข้ามาถ่ายรูปผม แล้วก็มีคนอื่นเข้ามามุงดูรอบเตียงผมเต็มไปหมด
23
สักพักภรรยาผมก็โทร.มาบอกว่า ตอนนี้กําลังทําเรื่องย้ายตัวผมไปรักษาที่โรงพยาบาลที่ดีที่สุดในกัลกัตตา ซึ่งห่างจากโรงพยาบาลที่ผมอยู่หกชั่วโมง เพราะโรงพยาบาลที่ผมอยู่นี้ไม่สามารถผ่าตัดผมได้ เธอและน้องชายของผมจะรีบเดินทางมาหาให้เร็วที่สุด
24
ไม่นานนักก็มีเด็กไทยสองคนจากวัดไทยในพุทธคยาเข้ามาหาผม น้องสองคนนี้มากับหลวงพ่อที่วัดไทยซึ่งเรานัดหมายว่าจะไปพบท่านในตอนเช้า แต่เกิดอุบัติเหตุเสียก่อน พอท่านทราบข่าวก็รีบเดินทางมาที่โรงพยาบาล เพื่อส่งเด็กสองคนมาเป็นล่ามและช่วยดูแลผม ส่วนตัวท่านก็มาจัดการเรื่องกบ โดยรับร่างของเขาไปทําพิธีที่วัด
25
ผมถูกกส่งตัวออกจากเมืองดันบัดเวลาบ่ายสามโมงเย็น โดยมีเด็กไทยสองคนนี้นั่งมาในรถด้วย ระหว่างหกชั่วโมงนั้น สภาพจิตใจของผมไม่ดีนัก ทั้งปวดแผลและมีเรื่องให้คิดมากมาย ตอนแรกผมคิดกังวลไปถึงอนาคตว่ากลับไปจะใช้ชีวิตอยู่อย่างไร กลับไปจะทํางานได้เหมือนเดิมไหม ความกลัวความกังวลต่าง ๆ ผุดขึ้นมาไม่ขาดสาย
26
หลังจากฟุ้งซ่านไปไกล สุดท้ายผมเริ่มตั้งสติได้ ค่อย ๆ ตัดเรื่องที่ไม่สําคัญกับชีวิตออกไปทีละอย่าง จนเหลือแต่เรื่องที่คิดว่าสําคัญกับชีวิต จึงเห็นว่ามีเรื่องหลายเรื่องและคนหลายคนที่เราตัดออกไปได้เลย และก็มีหลายเรื่องและหลายคนที่สําคัญที่เราต้องกลับไปดูแลอย่างดี สรุปสุดท้ายผมคิดเพียงอย่างเดียวว่า ต้องมีชีวิตอยู่ต่อให้ได้
27
ผมนอนนับลมหายใจเข้า – ออกไปเรื่อย ๆ ในใจคิดเพียงว่าต้องหายใจต่อไป เพื่อให้รอดชีวิตกลับไปเห็นหน้าทุกคนที่ผมรัก พอรถเข้ามาในตัวเมืองกัลกัตตา คนขับรถก็พาหลงอยู่ในเมืองอีกหนึ่งชั่วโมง กว่าจะมาถึงโรงพยาบาลก็สี่ทุ่ม หมอที่โรงพยาบาลมาตรวจร่างกาย พบว่าได้รับบาดเจ็บสาหัส ทั้งลําไส้ฉีกขาด กล้ามเนื้อท้องฉีกขาด และไหปลาร้าหัก ซึ่งต้องเตรียมเข้าผ่าตัดในวันรุ่งขึ้นทันที
28
คืนนั้นผมต้องนอนรวมกับผู้ป่วยคนอื่น ๆ หลายสิบคนในห้องพักผู้ป่วยรวม ผมได้เห็นสภาพผู้ป่วยยากไร้ของอินเดีย ได้ยินเสียงร้องเพราะความเจ็บปวดยิ่งทําให้นึกถึงความไม่แน่นอนของชีวิตมากขึ้น รุ่งเช้าผมเข้าผ่าตัด ต้องเย็บบาดแผลทั้งภายในและภายนอกกว่า 80 เข็ม แต่ก็ยังไม่เสร็จ เหลือการผ่าตัดไหปลาร้าที่หมอบอกว่า ผ่าตัดภายหลังได้ เมื่อออกจากห้องผ่าตัดก็ย้ายมาพักในห้องพิเศษ ผมฟื้นขึ้นมาตอนประมาณตีสอง พร้อมกับได้ยินเสียงเปิดประตูห้อง ภาพที่เห็นหลังลืมตาคือภรรยาและน้องชาย
29
ภรรยาเดินเข้ามาจับมือแล้วบอกว่า
30
“เราจะผ่านเรื่องนี้ไปด้วยกัน”
31
ส่วนน้องชายก็บอกว่าไม่ต้องห่วงอะไร เขาจะพาผมกลับบ้านให้ได้ หลังผ่าตัดผมต้องพักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาลนี้อีกสองสัปดาห์ เพื่อให้แผลผ่าตัดหายดีเสียก่อนจึงสามารถเดินทางกลับได้ ระหว่างนั้นภรรยาก็ทําเรื่องขอย้ายไปอยู่ห้องพิเศษที่ใหญ่ขึ้นและดีขึ้น เธอย้ายจากโรงแรมมานอนเฝ้าผมในห้องผู้ป่วย และคอยดูแลอยู่ไม่ห่างในช่วงเวลาสองสัปดาห์ที่พักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลนี้
32
เมื่อกลับมาถึงเมืองไทย ผมก็เข้าผ่าตัดไหปลาร้าและรักษาตัวต่อเป็นเวลาอีกสองสามเดือนกว่าร่างกายจะฟื้นฟูมาทํางานได้เหมือนปกติ แต่โชคดีที่ผมยังรอบคอบทําประกันการเดินทางไว้ บริษัทประกันจึงเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดซึ่งเป็นเงินจํานวนไม่น้อย
33
อุบัติเหตุครั้งนั้นทําให้ผมระลึกถึง “ความตาย” อยู่เสมอ จากที่แทบจะไม่เคยนึกถึงมันเลย แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าความตายติดตามเราเหมือนเงา เพียงแต่เราไม่เคยหันไปมองมัน ความตายไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลาโดยที่ไม่มีใครรู้ล่วงหน้า
34
เมื่อเห็นถึงความเปราะบางของชีวิต ผมจึงใช้ชีวิตโดยมีเป้าหมายมากขึ้น เมื่อก่อนผมเลือกงานก่อนเสมอ มีเวลาก็ไปกินดื่มสังสรรค์กับเพื่อน แต่ตอนนี้ผมเลือกให้ความสําคัญกับครอบครัว กลับไปหาพ่อกับแม่ทุกอาทิตย์ เพราะอยากไปเจออยากดูแลท่านให้ดีกว่าเดิม ส่วนภรรยาก็มีเรื่องกระทบกระทั่งกันน้อยลงมาก เพราะเราต่างเห็นใจกันและกันมากขึ้น ผมรับรู้ได้ว่าครอบครัวดีใจที่ผมเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น สําหรับตัวเองผมเที่ยวน้อยลงและใส่ใจสุขภาพมากขึ้น เพราะเหตุผลหนึ่งที่ทําให้ผมรอดชีวิตได้ เนื่องจากร่างกายที่แข็งแรงจากการออกกําลังกายเสมอ ทําให้ผมทนพิษบาดแผลได้
35
อีกสิ่งที่ต้องระลึกถึงเสมอคือ “ความไม่ประมาท” ในการใช้ชีวิต ผมยอมรับว่าการเดินทางครั้งนั้นเราอาจประมาทที่เลือกเดินทางในวันที่ไม่มีเที่ยวบินตรงไปยังที่หมาย และยังเลือกเดินทางต่อในเวลากลางคืน เพราะไม่ได้คิดถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้น
36
แม้ความสูญเสียครั้งนี้เป็นเหมือนบาดแผลในใจของผม แต่บาดแผลนี้ก็เป็นเครื่องเตือนใจให้ผมใช้ชีวิตอย่างมีสติและดําเนินชีวิตทุกวันให้มีความหมายมากขึ้นเช่นกัน
37
เพราะเมื่อผมรู้ว่าความ “ตาย” มีอยู่จริง ผมจึงเข้าใจว่าการมีชีวิต “อยู่” มีความหมายมากเพียงใด

ข้อคิดจากพระอาจารย์ไพศาล วิสาโล

ความตายไม่ใช่เรื่องไกลตัว แท้ที่จริงมันอยู่ใกล้ตัวเรามาก สามารถเกิดขึ้นกับเราได้ทุกวินาที แม้จะเป็นเด็กหรือหนุ่มสาวก็ตาม หากประมาทเพียงแค่ชั่วครู่ ความตายก็สามารถกระชากชีวิตไปจากเรา และพรากเราไปจากทุกคนที่รัก และทุกสิ่งที่หวงแหน ดังนั้นเราจึงควรอยู่อย่างไม่ประมาท พยายามมีสติรู้ตัวอยู่เสมอ ขณะเดียวกันก็พร้อมรับความตายทุกเมื่อ เพราะแม้เราจะระมัดระวังตัวเพียงใด ความประมาทหรือความพลาดพลั้งของคนอื่นก็อาจทําให้เราตายได้เช่นกัน
38
ชีวิตที่ราบเรียบมักชวนให้เราประมาท ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับสิ่งต่างๆ จนลืมคิดถึงความตาย ในทางตรงข้าม อุบัติเหตุหรือ “เคราะห์ร้าย” สามารถกระตุกใจให้เราตระหนักถึงความเปราะบางของชีวิต หากประสบเหตุเหล่านี้ อย่ามัวก่นด่าชะตากรรมหรือโทษเคราะห์ การทําเช่นนั้นมีแต่จะซ้ําเติมตนเอง ควรจะมองว่าเหตุร้ายดังกล่าวคือสัญญาณเตือนให้เราเร่งใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า ใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ หมั่นทําความดี สร้างบุญกุศล ทําหน้าที่ของตนให้ครบถ้วน รวมทั้งให้เวลากับคนรัก ปฏิบัติกับเขาราวกับว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของเรา ที่ขาดไม่ได้คือหมั่นฝึกตนให้พร้อมรับความตายทุกเมื่อ
39
ทุกครั้งก่อนออกเดินทาง ควรเตือนตนเองเสมอว่า ครั้งนี้อาจเป็นการเดินทางครั้งสุดท้ายของเรา อาจไม่ได้กลับมาหาคนรัก ลูก และพ่อแม่ของเราอีก ดังนั้นจึงควรทําดีที่สุดกับเขาก่อนจะจากกัน ขณะเดียวกันก็เตรียมใจพร้อมรับทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างเดินทาง รวมทั้งเมื่อถึงจุดหมายปลายทาง แล้วนี่มิใช่การแช่งตนเอง แต่เป็นการเตือนตนไม่ให้ประมาท อย่าลืมว่าความไม่ประมาทในธรรมทั้งปวงเป็นหนึ่งในมงคลสูงสุดของพุทธศาสนา

ที่มา : นิตยสาร Secret ฉบับที่ 181

เรื่อง ธีติ ศรีจันทร์
เรียบเรียง เชิญพร คงมา
ภาพ สรยุทธ พุ่มภักดี

© COPYRIGHT 2024 AME IMAGINATIVE COMPANY LIMITED.