บวชสามที หนีสามหน ติดเหล้า ขอทาน…ลื้อก็ยังเป็นหลานอั๊ว! – วันหนึ่งพี่ชายผมอุ้มเด็กทารกผิวคล้ำ หน้าตาน่าเอ็นดูเข้ามาในบ้าน แล้วบอกกับพวกเราว่า “เด็กคนนี้เป็นลูกของอั๊ว ฝากดูแลหน่อยนะ…”
สิ้นเสียงของพี่ชาย ผม น้องสาว รวมทั้งป๊าและม้าตกใจมาก ที่จู่ ๆ ก็มีหลาน ทั้ง ๆ ที่พี่ชายยังไม่ได้แต่งงาน แต่ถึงจะตกใจแค่ไหนก็คงทำอะไรไม่ได้ นอกจากเลี้ยงดูหลานคนนี้อย่างเต็มที่
พวกเราตั้งชื่อให้เขาว่า “เก่ง”
ม้าเห่อหลานคนนี้มาก เพราะเป็นหลานชายคนแรกของตระกูล ม้าดูแลเก่งอย่างทะนุถนอม ไม่นานหลังจากนั้น พี่ชายก็พาแม่ของเก่งซึ่งเป็นคนไทยเชื้อสายมอญเข้ามาอยู่ในบ้าน ม้าไม่ชอบและรู้สึกไม่ถูกชะตากับลูกสะใภ้ ส่วนพี่ชายก็ไม่ค่อยสนใจภรรยานอกกฎหมายคนนี้สักเท่าไร อาจเพราะเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ได้เกิดจากความรัก แต่เป็นความพลาดพลั้งเพียงข้ามคืน ที่แย่ที่สุดคือพี่ชายเคยพูดว่า “อั๊วยังไม่แน่ใจเลยว่าไอ้เก่งมันเป็นลูกของอั๊วรึป่าว”
ไม่กี่ปีต่อมา พี่สะใภ้หนีออกจากบ้านไป และไม่กลับมาอีกเลย ส่วนพี่ชายก็แต่งงาน ใหม่ และย้ายออกไปอยู่บ้านอีกหลัง ทิ้งใหเ้ก่งอยู่กับพวกเรานับจากนั้นมา
ป๊าและม้าเสียชีวิตตอนเก่งอายุได้ 6 ขวบ ผมและพี่น้องในฐานะอาเจ็กอาแปะจึงดูแลเก่งเหมือนเป็นลูกแท้ ๆ นาน ๆ ครั้งพี่ชายจึงจะส่งเงินค่าเลี้ยงดูลูกชายมาให้ ไม่กี่ปีต่อมา ผมและพี่น้องทุกคนต่างก็แต่งงานแล้ว แยกย้ายไปมีครอบครัวมีภาระกันหมด ไม่มีใครรับอุปการะเก่งเลยสักคน น้องสาวผมสงสาร จึงรับเขาไปอยู่ด้วย พร้อมกับจ่ายค่าเล่าเรียนให้ หวังจะให้เขาเรียนจนจบปริญญาตรี เวลาผ่านไปหลายปี จนกระทั่งเก่งเรียนถึงชั้นมัธยมต้น วิกฤติในชีวิตของเขาก็เริ่มต้นขึ้น!
เก่งสอบตก 11 วิชา เรียนไม่จบชั้น ม. 3 วัน ๆ คอยแต่จะแอบไปกินเหล้าสำมะเลเทเมา คบเพื่อนเกเร ลักเล็กขโมยน้อย ทั้งยังไม่ช่วยเหลืองานบ้านใด ๆ พอถูกดุก็พร่ำโทษคนอื่นว่าเป็นเพราะพ่อไม่รัก แม่ไม่สนใจ ชีวิตของเขาจึงต้องเป็นแบบนี้ บ่อยครั้งที่ร้านเหล้าโทร.มาบอกน้องสาวว่าเก่งไปซื้อเหล้าแล้วไม่มีเงินจ่าย และขู่จะทำร้าย น้องต้องนั่งแท็กซี่ไปจ่ายเงินและรับหลานกลับบ้าน ทุกครั้งที่เก่งโดนดุ เขาก็ได้แต่ก้มหน้ารับปากว่าจะไม่ทำอีก แต่ครั้งแล้วครั้งเล่า เขาก็แอบไปกินเหล้าเหมือนเดิม สุดท้าย น้องสาวผมซึ่งเป็นอาอี๊ของเขา เอือมระอาจนทนไม่ไหว โทร.มาบอกให้ผมตีรถจากจังหวัดราชบุรีเข้ามากรุงเทพฯเพื่อสั่งสอนเก่ง เพราะรู้ดีว่าหลานคนนี้ยอมเชื่อฟังผมคนเดียว
ประโยคแรกที่ผมถามเก่งคือ “แกจะเอายังไงกับชีวิต” เขาได้แต่ก้มหน้าตอบว่า “แล้วแต่โซ้ยเจ็กครับ” ผมให้ทางเลือกเขาสองทาง คือ จะบวชเป็นเณร หรือจะใช้ชีวิตเหมือนเดิม เพราะต่อไปนี้จะไม่มีใครสนใจอีกแล้ว หลานตอบทันทีว่า “ผมจะบวชครับ” การตัดสินใจของหลานครั้งนี้ทำให้ผมและน้องสาวดีใจมาก เรายกมือท่วมหัวร่วมอนุโมทนาบุญกับหลานด้วย หวังว่าชีวิตของเก่งจะมีความสุขเสียที
ผมพาหลานไปบวชเณรที่วัดป่าแห่งหนึ่ง ไม่กี่เดือนต่อมาหลวงพ่อโทร.มาบอกผมด้วยน้ำเสียงตระหนกว่า เณรเพ่งอสุภะแล้วทนไม่ไหว ตกใจวิ่งหนีเข้าป่าไปแล้ว ผมรีบขับรถไปที่วัด ตะโกนหาหลานแทบทุกตารางเมตรของป่า แต่หาเท่าไรก็หาไม่เจอ คืนนั้นผมนอนไม่หลับตลอดทั้งคืน ห่วงกังวลไปสารพัด ไม่รู้ว่าเก่งจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร
จนกระทั่งสองปีให้หลัง เก่งถึงได้ติดต่อกลับมา เขาโทร.มาขอนัดเจอผมเพื่อเล่าข่าวดีให้ฟัง เมื่อพบกัน เขาเล่าด้วยน้ำเสียงมีความสุขว่า “ผมขอโทษอาโซ้ยเจ็กด้วยนะครับ วันนั้นผมกลัวมาก ตกใจวิ่งหนีออกจากวัด ผมรู้ว่าผมทำไม่ถูก ก็เลยไม่กล้าปหาโซ้ยเจ็ก หลังจากนั้นผมได้เจอเพื่อน เราทำธุรกิจปักผ้าด้วยกัน ตอนนี้กิจการไปได้ดีมาก” เขาพาผมเดินชมบริษัทเล็ก ๆ ของเขา ผมดีใจและภูมิใจที่หลานเริ่มตั้งเนื้อตั้งตัวได้ ผมไม่รีรอที่จะให้เงินก้อนใหญ่กับเขาเพื่อขยายกิจการ เก่งดีใจมากและสัญญาจะตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่…
ไม่กี่สัปดาห์ต่อมาผมแวะไปที่บริษัทนั้นอีกครั้ง ภาพที่เห็นทำให้ผมถึงกับเข่าอ่อน… โรงงานตรงหน้าว่างเปล่า ไร้เงาของหลานชาย เขาหายสาบสูญไปจากชีวิตของผมอีกครั้ง พร้อมกับเงินก้อนโต
ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตของเก่ง ผมจะเล่าให้พี่ชายฟังเสมอ ผมอยากให้เขารู้ว่าตอนนี้ลูกของเขากำลังลำบากอย่างไรบ้าง แต่พี่กลับตอบเพียงว่า “แล้วลื้อจะให้อั๊วทำยังไง” ประโยคนี้ทำให้ผมอึ้ง พูดอะไรไม่อออก ได้แต่บอกกับตัวเองว่า “ถ้าพี่ไม่ห่วงลูก ผมนี่แหละจะห่วงและดูแลมันเอง”
หลายปีต่อมา น้องสาวบังเอิญพบเก่ง ซึ่งไปเป็นยามอยู่ที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง จึงรีบโทร.บอกผม วินาทีแรกที่พบกัน ผมสงสารหลานจับใจ เขาดูโทรมเกินกว่าเด็กหนุ่มวัยยี่สิบกว่าด้วยกัน หลานเล่าให้ฟังว่า เขาถูกเพื่อนโกงเงินไปจนหมดแล้วก็หนีไป ตอนนี้เขารู้สึกท้อแท้ หมดหวังในชีวิต ด้วยวุฒิการศึกษาแค่ ป. 6 เขาจึงต้องทำงานเป็นยาม ผมสงสารหลานจับใจ จึงชวนให้เขาบวชเรียนอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้เขารับปากว่า จะไม่วิ่งหนีออกจากวัดอีกแล้ว
วันบวช พ่อของเขาไม่ได้มาร่วมงาน เพราะกลัวจะมีปัญหากับภรรยาใหม่ นาคเก่งคอยชะเง้อมองหาพ่อแทบจะตลอดเวลา วันนั้นผมทำได้แค่ปลอบหลานให้สงบใจ และตั้งใจศึกษาพระธรรม…เวลาล่วงไปสี่ปี พระเก่งได้บวชเรียนสมใจ เขาสอบได้เป็นนักธรรมตรี อีกทั้งกลายเป็นหนึ่งในพระนักเทศน์ประจำวัด ผมเห็นว่าชีวิตของพระเก่งกำลังจะไปได้ดี ผมจึงสนับสนุนทุกทาง ไม่ว่าเขาอยากได้อะไร ผมก็หาซื้อให้แทบทุกอย่าง ทั้งโทรทัศน์ ตู้เย็น คอมพิวเตอร์ มือถือ หรือแม้กระทั่งตู้ปลา เพราะหวังให้เขาครองผ้าเหลืองอย่างมีความสุข
แต่ฝันของผมก็ต้องสลาย เมื่อพระเก่งมีปัญหากับชาวบ้านแถว ๆ นั้น เหตุเกิดเพราะลูกของชาวบ้านเข้ามาขโมยของในกุฏิ ผมกลัวเรื่องราวจะบานปลายใหญ่โต จึงขอให้เขาย้ายมาอยู่วัดใกล้บ้าน แต่ก็เคราะห์ซ้ำกรรมซัด พระเก่งหันไปคบพระเกเร แอบชวนกันออกไปกินเหล้า นานวันเข้าก็ปวดท้องหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาล แถมยังอาละวาดโวยวายสร้างความรำคาญให้ผู้ป่วย คนอื่น ๆ สุดท้ายโรงพยาบาลจึงส่งตัวกลับมารักษาที่วัด พร้อมระบุในใบรับรองแพทย์ว่า พระเก่งป่วยเป็นโรคประสาทและเป็นโรคแอลกอฮอลิซึ่ม
ในที่สุดเขาก็ถูกจับสึก และหนีหายไปจากชีวิตของผมอีกครั้ง
ไม่กี่ปีต่อมา น้องสาวได้ยินเสียงคนตะโกนรับซื้อของเก่า น้ำเสียงฟังดูคุ้นหูมาก จึงวิ่งออกมาดู พบว่าเป็นเก่ง น้องสาวดีใจมาก รีบหาข้าวให้กินและถามถึงสารทุกข์สุกดิบ แต่แล้วความดีใจของน้องก็ค่อย ๆ หายไป เพราะเก่งมักจะแวะเวียนมาขอเงินไม่เว้นแต่ละวัน สร้างความลำบากใจให้น้องมาก และยังขอให้น้องซื้อรถเข็นคันใหม่ราคาเกือบสองพันบาทให้ ซึ่งหลังจากเข็นรถใหม่รับซื้อของเกา่ได้เพียงไม่กี่วัน เขาก็แอบเอารถไปขาย เอาเงินไปซื้อเหล้าอีก สุดท้ายน้องต้องทำใจแข็ง ไม่ให้เงินหลานอีกเลย
เช้าวันหนึ่ง หลังจากที่น้องไปทำบุญที่วัด เพื่อนของน้องทักว่า “พี่นี่ก็ทำบุญทำกุศลเยอะนะคะ บริจาคเงินสร้างวัดก็ตั้งมากมาย แล้วทำไมถึงปล่อยให้หลานชายตัวเองกลายเป็น ขอทาน ล่ะคะ เมื่อเช้าหนูเห็นเขานั่งขอทานอยู่บนสะพานลอย นี่ก็กำลังจะเอาอาหารที่เหลือไปให้เขา”
น้องสาวทั้งอายทั้งตกใจมาก รีบโทร. บอกผมทันที ผมรีบขับรถจากบ้านที่ราชบุรี มาตามหาเขาในแหล่งซ่องสุมใต้สะพานลอยตามที่น้องบอก แวบแรกที่เห็น ผมแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองว่านี่คือหลานชายที่ผมเลี้ยงมาตั้งแต่แบเบาะ
สภาพของเขาสกปรกมอมแมมเหมือนหมาที่นอนอยู่ข้างกองขยะไม่ผิดเพี้ยน หนวดเครายาวรุงรัง ผมเผ้ายุ่งเหยิงเป็นสังกะตัง เนื้อตัวสกปรก ฟันเหลืองอ๋อย เหมือนไม่ได้แปรงฟันมานานนับสิบปี ผมทั้งสงสารทั้งโกรธ ลงไม้ลงมือทุบตีเขาทั้งน้ำตา ปากก็ตะโกนถามซ้ำ ๆ ว่า “ทำไมลื้อทำตัวแบบนี้ ๆ ๆ ๆ”
เก่งพร่ำบ่นโทษพ่อ โทษแม่ โทษผม และโทษญาติพี่น้องทุกคนที่ทำให้ชีวิตของเขาต้องเป็นแบบนี้ ผมโมโหและบอกว่า “มึงไม่ต้องไปด่าพ่อ ด่าแม่ หรือด่าใคร มึงมันไม่รักดี ทุกอย่างที่เป็นแบบนี้ มึงทำตัวเองทั้งนั้น” หลานได้ฟังก็ตกใจและนิ่งไป ผมจึงถามต่อว่าจะเอายังไงกับชีวิตที่เหลือ จะไปอยู่วัดแล้วทำตัวให้ดีขึ้น หรือจะเป็นขอทานต่อ “โซ้ยเจ็กจะได้แจ้งตำรวจมาจับ” สุดท้ายเขาก็ตอบด้วยคำตอบเดิม ๆ ว่า “แล้วแต่โซ้ยเจ็กครับ”
ผมให้เงินเขา 200 บาทและให้เวลาเขาไปร่ำลาเพื่อนจรจัดด้วยกัน แล้วจึงสั่งให้ไปอาบน้ำ ตัดผม และไปเจอผมที่หน้าอำเภอในวันรุ่งขึ้น เพื่อทำเรื่องย้ายชื่อเข้ามาอยู่ในทะเบียนบ้านผม จะได้ไม่เป็นคนจรจัดอีกต่อไป
รุ่งขึ้น เก่งเดินมาหาผมด้วยท่าทางเหมือนเพิ่งสร่างเมา สภาพสกปรกมอมแมมเช่นเดิม ผมถามหาเงินที่ให้ไปเมื่อวาน เขาตอบว่าเอาไปซื้อเหล้ากินหมดแล้ว ด้วยความเอือมระอา ผมจึงลากหลานขึ้นรถ และขับไปจนถึงที่ว่าการอำเภอเมืองฯ จังหวัดราชบุรี เพื่อทำเรื่องย้ายชื่อเก่งเข้าทะเบียนบ้าน แต่ก็ไม่สามารถย้ายได้ในทันที เพราะชื่อเขาอยู่ที่บัญชีกลาง ขึ้นทะเบียนเป็นคนจรจัด จึงต้องนัดคิวรอให้เจ้าหน้าที่สอบสวนก่อน ระหว่างรอผมคิดแผนดัดหลังสั่งสอนหลานแบบเจ็บ ๆ ขึ้นมาได้ แต่แผนนี้ผมต้องใจแข็งพอ นี่จะเป็นการสั่งสอนคนที่เจ็บที่สุดในชีวิตของผม
ผมขับรถพาเก่งออกจากที่ว่าการอำเภอ มุ่งสู่เขื่อนศรีนครินทร์ พอไปถึง ผมพาหลานมายืนชิดขอบแนวเขื่อน และบอกว่า “ถ้ามึงเกเรอีกนะ คราวหน้ากูไม่เอามึงไว้แน่ กูจะถีบมึงให้ตกเขื่อนตาย แล้วบอกใครต่อใครว่า มึงเมาตกเขื่อนลงไปเอง” เก่งตกใจหันมาถามผมว่า “อาโซ้ยเจ็ก กล้าทำจริง ๆ เหรอ” ผมตอบด้วยหน้าตาจริงจังว่า “กูทำแน่”
ขากลับจากเขื่อน เก่งนิ่งเงียบ ไม่พูดอะไรเลยตลอดทาง จนกระทั่งพลบค่ำ เราก็มาถึงวัดถ้ำแห่งหนึ่งในจังหวัดกาญจนบุรี ผมฝากฝังหลานไว้กับท่านเจ้าอาวาส พร้อมกำชับให้ทำตัวดี ๆ อย่ากินเหล้าอีก ในใจผมได้แต่ภาวนาว่า ขอให้คำขู่ของผมใช้ได้ผล ด้วยเถิด…
เวลาผ่านไปหลายปี ปัจจุบันเก่งอายุ 45 ปีแล้ว เขายังเป็นลูกศิษย์วัดแห่งนี้ คอยช่วยงานวัดด้วยความขยันขันแข็ง และไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใครอีก ผมได้แต่หวังว่า เคราะห์กรรมในอดีตของเขาคงจะจบสิ้นแล้ว
ในอนาคตเขาคงมีบุญพอที่จะบวชเป็นพระ และได้รับใช้พระพุทธศาสนาอย่างจริงจังเสียที
ข้อคิดจาก พระไพศาล วิสาโล
ชีวิตของเก่งเป็นตัวอย่างของคนที่ทำร้ายตัวเองจนตกต่ำย่ำแย่ เพราะในส่วนลึกของจิตใจ เขาไม่มีความรักตนเองเลย การที่พ่อแม่ทิ้งเขาเป็นปมที่ทำให้เขารู้สึกตลอดเวลาว่าตัวเองไม่มีคุณค่า ใครก็ตามที่รู้สึกเช่นนั้นย่อมยากที่จะมีกำลังใจในการทำความดีได้ อาจอยากทำความชั่วเพื่อประชดโลกด้วยซ้ำ ดังนั้นการที่ชีวิตเขาตกต่ำลำบาก จึงไม่ใช่เรื่องเคราะหก์รรมจากอดีต แต่เกิดจากการกระทำของเขาเอง ซึ่งเริ่มจากการตั้งจิตไว้ผิด จึงไม่สามารถโทษใครได้แม้กระทั่งพ่อแม่ที่ทิ้งเขาไป เพราะมีหลายคนที่แม้ประสบเหตุการณ์ดังกล่าวเหมือนเขา แต่กลับเกิดแรงผลักที่จะถีบตัวให้พบกับความสำเร็จได ้
จะว่าไปแล้ว เก่งโชคดีกว่าอีกหลายคน เพราะมีญาติผู้ใหญ่พร้อมจะช่วยเขา และเปิดอกาสให้เขากลับตัวกลับใจ โดยเฉพาะคุณอาของเขาหรือผู้เล่าเรื่องนี้ ความรักจากญาติเหล่านี้แม้มิอาจทดแทนความรักของพ่อแม่ได้ แต่ก็สามารถชักนำให้เขาเอาชนะพลังลบหรือความใฝ่ต่ำในตนเอง และเกิดความพากเพียรที่จะทำความดี เรื่องนี้ชี้ให้เห็นว่าบทบาทของกัลยาณมิตร ไม่ว่ามิตรสหาย ญาติพี่น้อง หรือครูบาอาจารย์ มีความสำคัญสำหรับบุคคลอย่างเก่ง อย่างน้อยก็ช่วยให้เขากลับมาเห็นคุณค่าของตนเอง รักตนเองจนอยากจะทำความดีและนำพาชีวิตของตนสู่ความเจริญงอกงาม
เรื่องนี้ยังบอกอีกว่า คนเรานั้นไม่ว่าจะทำผิดพลาดครั้งแล้วครั้งเล่าตั้งแต่เล็กจนโต ก็ยังมีหวังที่จะกลับตัวกลับใจเป็นคนดีได้ หากมีกัลยาณมิตรที่พร้อมจะให้โอกาสเขาอยู่เสมอ
ที่มา นิตยสาร Secret
เรื่อง โซ้ยเจ็กและแม่หยี่โกว
เรียบเรียง ชลธิชา แสงใสแก้ว
ภาพ อนุพงศ์ เจริญมิตร สไตลิสต์ รุจิกร ธงชัยขาวสอาด นายแบบ ศิวกร แดนกมล