เมื่อฉันได้พบ

เมื่อฉันได้พบ อาวุธฟาดฟันความทุกข์

 เมื่อฉันได้พบ อาวุธฟาดฟันความทุกข์ – เรื่องเล่าของคนที่รู้เท่าทันความทุกข์

บ้าน… สำหรับใครต่อใครหลายคนอาจเป็นที่ที่อบอุ่น‹ และเป็นสุข แต่ส‹ำหรับฉัน บ้านไม่เคยให้คŒวามรู้สึกอย่างนั้น เพราะบ้านเป็นเพียงสถานที่ที่ตอกย้ำความขมขื่นโดดเดี่ยวของชีวิตในวัยเด็กที่ครอบครัวล่มสลาย

หลายครั้งที่ใครๆ ถามว่า ทำไมฉันจึงไม่ค่อยกลับบ้าน ฉันตอบไปตามที่กระบวนการทางความคิดได้ไตร่ตรองไว้แล้วว่า ฉันไม่ค่อยมีเวลา มันเป็นเหตุผลที่เหมาะสมและทำให้ตัวเองไม่ดูแย่ในสายตาของคนถาม และกับเพื่อนรักที่คบหาสนิทสนมกันมายาวนาน

คำตอบที่แท้จริงก็คือ เพราะฉันไม่เคยรักและผูกพันกับบ้าน ฉันรู้สึกว่าไม่เคยมีบ้าน นับตั้งแต่วันที่แม่แต่งงานมีครอบครัวใหม่

ฉันรู้ว่าแม่คงเสียใจกับคำตอบของฉัน ฉันเองก็เสียใจและเจ็บเหมือนกัน และยิ่งเจ็บมากกว่า หากต้องกลับไปเห็นฉากตอนต่างๆ ของชีวิตวันวานเหล่านั้นอีก ฉันจึงเลือกที่จะเติบโตและเบ่งบานในที่ที่ห่างไกลจากครอบครัว หัวเราะ…หรือร้องไห้…ตามลำพัง

การกลับบ้านของฉันครั้งสุดท้ายจึงผ่านมานานมากแล้ว …นานมากจนฉันแทบนึกย้อนไปไม่ถึง ช่องทางการรับรู้ข่าวคราวสุขทุกข์ของกันและกันระหว่างฉันกับแม่มีเพียงเสียงตามสายโทรศัพท์กับคำพูดซ้ำเดิมไม่กี่คำว่า แม่สบายดีนะ…มีอะไรก็โทร.มานะ…หนูสบายดี ไม่ต้องเป็นห่วง…

จนกระทั่งวันหนึ่ง ด้วยโอกาสและวาสนาได้โน้มนำให้ฉันไปปฏิบัติธรรมที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมเขาดินหนองแสงร่วมกับสมาชิกนิตยสาร Secret สิ่งที่ฉันได้กลับมาจากการปฏิบัติก็คือ การเป็นอิสระจากความทุกข์และหัวใจที่สุขสงบจากการรู้เท่าทันจิตเฉกเช่นผู้ร่วมปฏิบัติคนอื่นๆ แต่อีกสิ่งหนึ่งที่ฉันได้แตกต่างจากคนอื่นคือ ฉันได้บ้านที่ฉันแกล้งทำเป็นลืมและละทิ้งไปยาวนานกลับคืนมา

บ้านที่เป็นเพียงภาพเก่าๆ สีซีดจางที่ฉันตั้งใจเก็บซุกซ่อนไว้ในซอกหลืบเล็กๆ ของกล่องความทรงจำ เพียงหวังว่าจะลืม แต่แล้ว…ภาพสวนยางพาราที่ยืนต้นสูงสล้างสองข้างทาง กลับเกี่ยวกระหวัดความทรงจำที่อยากจะลืมให้หวนคืนกลับมา ภาพเก่า ๆ ภาพแล้วภาพเล่าวิ่งวนอยู่ในเงาตา ความเจ็บและขมขื่นเดือดพล่านอยู่ในใจ ความทุกข์เกาะกุมหัวใจของฉันอีกแล้ว ไม่ว่าเมื่อไร ไม่ว่าอยู่ที่ไหน ไม่ว่าฉันจะซุกจะซ่อนอย่างไร ความทุกข์ก็ตามหาฉันจนเจอเสมอ

ทุกครั้งที่เจ็บหรือทุกข์ สิ่งเดียวที่ฉันทำเพื่อรักษาตัวเองคือการพยายามลืม ครั้งนี้ก็เหมือนกัน เมื่อไปถึงศูนย์ปฏิบัติธรรม ฉันพยายามที่จะลืมเพื่อตั้งใจฟังและทำตามที่พระอาจารย์ชี้แนะ ด้วยการรับรู้อาการทางกายทุกครั้งที่ขาหน้าตึงขาหลังหย่อน ตามรู้ไปอย่างนั้น…ทันบ้างไม่ทันบ้าง

ทุกเช้าฉันชอบขึ้นไปฝึกเดินจงกรมที่ชั้นดาดฟ้า และมักจะแอบมองลงมาด้านล่างที่เป็นสวนยางกว้างไกล แสงไฟวับวอมแวมจากตะเกียงส่องทางของคนกรีดยางสว่างวาบในหัวใจฉัน ภาพของแม่ที่ยืนยิ้มเศร้า ๆ เกาะประตูรั้วหน้าบ้าน คอยส่งฉันขึ้นรถ กระจ่างชัดในความทรงจำ

ฉันรู้สึกคิดถึงบ้าน…บ้านหลังเล็กๆ สีขาว รั้วล้อมด้วยต้นบานบุรีในจังหวัดเล็กๆ ชายฝั่งทะเลอันดามัน ที่ซึ่งเป็นต้นกำเนิดยางพารา ฉันคิดถึงบ้าน คิดถึงแม่จนจับหัวใจ และเป็นครั้งแรกที่ฉันยินยอมให้ตัวเองรู้สึกเช่นนั้นได้ โดยไม่กดทับความรู้สึกให้จมลึกหายไป

ฉันรู้สึกเหมือนกำลังนั่งดูละครที่ตัวเองรับบทเล่นเป็นตัวเอก ฉากแล้วฉากเล่า ฉายชัดเข้ามาในหัว และเมื่อละครหมดตอน ทุกอย่างก็จบลง ฉันสูดลมหนาวยาวลึกเข้าไปในอก ลมหนาวบางเบาลอยวนเย็นวาบอยู่ภายใน

ทุกก้าวย่างที่ทอดเท้าลงเหยียบพื้นหินอ่อนเย็นเยือกนั้น มันเย็นเข้าไปในหัวใจ ฉันเห็นความทุกข์ที่ฉันแบกคอนมันไปในทุกที่มายาวนานมาถึงครึ่งค่อนชีวิต ความทุกข์ที่เกิดจากการยึดติดผูกพันในอดีตโดยไม่ยอมปล่อยวาง แต่กลับพึงใจที่จะทอถักอดีตมาเป็นบ่วงร้อยรัดมัดผูกตัวเองจนแน่นหนา อีกทั้งยังปิดตาปิดใจ ไม่ยอมรับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจริงในชีวิต

เมื่อเรายังมีหัวใจที่รู้ร้อนรู้หนาว ความทุกข์จึงเกิดขึ้นกับเราทุกคนในทุกที่ทุกเวลา โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได ้ เราจึงต้องเรียนรู้ที่จะเผชิญหน้ากับความทุกข์อย่างคนที่เหนือกว่า

สติที่มั่นคงคือไพ่ใบเดียวที่ทำให้เราเหนือกว่าความทุกข์ เราต้องใช้สติผลักส่งตัวเองขึ้นมายืนอยู่เหนือความทุกข์และเฝ้ามองดูฤทธิ์เดชของมันอย่างคนที่รู้เท่าทัน

สติและความรู้เท่าทันคืออาวุธเดียวที่พระพุทธเจ้าหยิบยื่นมาให้เราเพื่อใช้ต่อสู้ฟาดฟันกับความทุกข์ทั้งปวง

ฉันเชื่ออย่างนั้นแล้วจริงๆ…

 

ที่มา  นิตยสาร Secret

เรื่อง  กิ่งระกา

© COPYRIGHT 2024 AME IMAGINATIVE COMPANY LIMITED.