แตกต่าง

แตกต่างแต่ไม่แตกแยก – ข้อคิดให้ชีวิตคู่เป็นสุข

แตกต่าง แต่ไม่แตกแยก – ข้อคิดให้ชีวิตคู่เป็นสุข

ความรู้สึกในวันแต่งงานของผมก็คงจะเหมือนกับของคนอื่นๆ คือรู้สึกเป็นสุขว่าเราเป็นแชมป์ เป็นผู้ชนะคู่แข่งขันอย่างมีเกียรติและสมศักดิ์ศรี วันแต่งงานคือวันคาดเข็มขัดแชมป์บนเวทีชีวิตท่ามกลางสักขีพยานมากมาย

วันแต่งงานคือวันประกาศให้พ่อแม่ พี่น้อง ญาติและเพื่อนฝูง ตลอดจนชาวบ้านทั่วไปรู้ว่าเราคือผู้ใหญ่อย่างสมบูรณ์แล้วนะ เราเป็นพระเอกที่สามารถพิชิตหัวใจนางเอกได้สำเร็จ เราภูมิใจที่พ่อแม่นางเอกยอมรับและยกลูกสาวสุดที่รักที่ถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูมาตั้งแต่ในท้องจนเป็นสาวให้เรา

วันแต่งงานเป็นวันที่ผมมีความสุขมากที่สุดในชีวิต (ขณะนั้น) แม้จะมีเสียงนกเสียงกาออกมาบ้าง เช่น เป็นวันสูญเสียอิสรภาพครั้งใหญ่ในชีวิตบ้าง คนในอยากออก คนนอกอยากเข้าบ้าง หรือถ้าแกฆ่าคนตายติดคุกอย่างดีก็แค่ 20 ปี แต่วันแต่งงานเป็นวันที่แกเริ่มติดคุกวันแรกไปตลอดชีวิต (ของข้างใดข้างหนึ่ง)

ที่ร้ายไปกว่านั้นคือ พวกที่บอกว่าจะอยู่กันยืดยาวได้สักแค่ไหน ในเมื่อทั้งคู่มีความแตกต่างกันเกือบทุกอย่าง

ใครจะว่าอย่างไรก็ช่าง แต่วันนี้พิสูจน์ได้แล้วว่า ความแตกต่างหลายอย่างที่ว่านั้นไม่ใช่อุปสรรคของการครองรักครองเรือนอย่างมีความสุขแต่อย่างใด ผมยอมรับและกลับไปสำรวจตัวเองก็พบความจริง ดังนี้

ความแตกต่างอย่างแรกคือครอบครัว ครอบครัวของผมเป็นไทยแท้แต่โบราณ อยู่กับดินโคลน ทำนา ปลูกข้าว สาบกลิ่นตัวและกลิ่นขี้ควายได้ดมจนชินชาเป็นว่าหอม ผมมีพี่น้องท้องเดียวกัน 12 คน ส่วนครอบครัวของภรรยานั้น เตี่ย – ตาและมาม้า – ยายของผมเป็นลูกคนจีนโพ้นทะเลที่มาเกิดในเมืองไทยทั้งสองท่าน ทำมาหาเลี้ยงชีพด้วยการค้าขายของชำ น้ำชากาแฟ ขนมไทยและจีนที่รับจากแม่ค้ามาอีกต่อหนึ่ง ครอบครัวนี้มีพี่น้อง 7 คน

ภรรยาผมท้วม ค่อนข้างเตี้ย แต่ผิวขาวนวลสดใส หน้าหวาน ส่วนตัวผมนั้นสูง แต่ไม่ถึงกับโย่ง คือสูงกว่าภรรยาว่างั้นเถอะ ผิวคล้ำดำนิลเหมือนศอพระศิวะ หน้าเข้มตาดุ เสื้อผ้าอาภรณ์ผมจึงเป็นโทนสีขาวเสียส่วนใหญ่ ส่วนของภรรยาก็จะเป็นประเภทสีเข้มๆ เช่น สีแดง เหลือง เขียว หรือดำ คือสีอะไรก็ได้ ดูแล้วขึ้นทุกสี เธอชอบนุ่งกางเกงขาสั้น ส่วนผมชอบขายาว

มาถึงเรื่องอาหารการกินก็แตกต่างกันมาก ภรรยาผมชอบกินอาหารประเภทผัดๆ เช่น ผัดยอดคะน้า กะหล่ำปลี หรือผักอื่นๆ กับเนื้อหมู เนื้อไก่ หรือกุ้ง จำพวกน้ำๆ ก็จะเป็นแกงจืดวุ้นเส้นหมูสับหรือต้มฟักกระดูกหมู ถ้าเป็นปลาก็จะเป็นปลาน้ำเค็มตัวใหญ่ทอดซีอิ๊ว ซึ่งรสชาติส่วนใหญ่จะเป็นจืดๆ เกือบทั้งสิ้น

ส่วนของผมหรือครับ รสจัดทั้งนั้นแหละ จำพวกผัดเผ็ด (หมู + ไก่) กะเพรา แกงส้มปลาช่อน แกงพริกปลาตะเพียน แกงไตปลาใส่ปลาช่อนย่าง น้ำพริกกะปิ + ปลาทูทอด + ผักพื้นบ้าน เช่น บัวบกใบเล็กๆ หยิกๆ ยอดมะม่วงหิมพานต์ ยอดกระถิน ใบโหระพา เป็นต้น นอกนั้นก็จะเป็นแกงเลียงยอดตำลึง + ผักหวานป่า เป็นอาทิ พวกผัดๆ ก็มีคั่วกลิ้งเนื้อไก่ ที่ผัดจนเครื่องเทศห่อเนื้อจนกลมกลิ้งไปมาในกระทะ เมื่อใครกินแล้วก็จะนอนกลิ้งไปกลิ้งมาทั้งน้ำตาด้วยความเผ็ดจนลมออกหู

ส่วนของหวานหรืออาหารว่าง ภรรยาผมชอบขนมเต้าส้อหรือซาลาเปาไส้หมู กับกาแฟ ส่วนผมชอบขนมลูกตาลและข้าวเหนียวห่อกล้วย กับโอวัลติน ซึ่งเรื่องอาหารการกินเหล่านี้ เราเคยปรึกษาและพยายามปรับเข้าหากัน แต่ก็ไม่สามารถพบกันครึ่งทางได้เลย

นอกจากนั้นก็เป็นอิริยาบถอื่นๆ เช่น การนอน เธอจะนอนหัวค่ำประมาณไม่เกินสองทุ่ม โดยการนอนคว่ำในห้องพัดลม และเธอเป็นคนหลับง่าย นั่งบนเก้าอี้ไม่มีพนักก็หลับได้ ส่วนผมนอนดึกห้าทุ่มขึ้นไปและหลับยาก ถ้าไม่ได้นอนเหยียดแข้งเหยียดขาเป็นไม่หลับแน่นอน อีกอย่างคือผมชอบนอนตะแคงและรักแอร์เป็นที่สุด เราจึงแยกกันนอนมานานแล้ว

ภรรยาผมแม้จะเตี้ยกว่าผม แต่แปลกกลับเดินเร็วกว่าผม จะเดินไปไหนก็จะรีบจ้ำเอาๆ ส่วนผมเอ้อระเหยลอยชาย ชมโน่นดูนี่ไปเรื่อยๆ จนเธอต้องหันหลังมาเรียกบ่อยๆ การพูดก็เหมือนกัน ผู้หญิงส่วนใหญ่มักจะพูดมาก จู้จี้จุกจิก แต่คู่ของผมกลับกัน ผมจะเป็นคนพูดมากปากเปียก ส่วนภรรยาเป็นคนไม่ค่อยพูด ไม่สำคัญไม่พูด ฉะนั้น เวลาเขาพูดครั้งใดผมก็หัวหดทุกครั้งไป

ผมเป็นคนชอบทำบุญสุนทานกับพระสงฆ์องค์เจ้า เอาอาหารไปถวายพระตามวัดตามวา หรือตักบาตรเป็นประจำ มีงานฝังลูกนิมิตยกช่อฟ้า ทอดผ้าป่า ทอดกฐินที่ไหน ผมจะพยายามไปร่วมด้วย ถ้าไปไม่ได้ก็จะฝากปัจจัยไป แต่ภรรยาผมไม่ยอมไปหรือร่วมทำบุญในลักษณะดังกล่าวกับผมเลย

ภรรยาผมชอบทำทานมากกว่าทำบุญ โดยเฉพาะเด็กและผู้ใหญ่ เห็นใครลำบากขาดแคลนอาหาร เสื้อผ้า เขาจะรีบจัดการซื้อหามาให้โดยไม่เลือกว่าเป็นลูกใคร พ่อแม่ปู่ย่าตายายใคร นับถือศาสนาอะไร ไม่เคยเกี่ยงหรือรังเกียจเดียดฉันท์แต่อย่างใด ก็ดีไปอีกอย่างหนึ่ง

2 – 3 ปีแรกหลังแต่งงาน ผมเป็นหนอนหนังสืออย่างหาตัวจับยากในละแวกนั้น แต่เมื่อมีลูกคนแรกก็ต้องตรากตรำทำงานหนัก การอ่านหนังสือจึงค่อยๆ เลิกไปจนกลายเป็นขี้เกียจอ่าน แต่ภรรยาผมกลับเป็นนักอ่านตัวยงขึ้นมาแทน อ่านจนกลายเป็นยาเสพติด ไม่ได้อ่านจะหงุดหงิดเป็นประจำ เดี๋ยวนี้นอกจากรายวันวันละฉบับทุกวันแล้ว นิตยสารพวกดารา ภาพยนตร์ ซุบซิบ และอะไรอีกหลายอย่างเธอจะหาซื้อมาอ่านมิได้ขาด

ส่วนผมขี้เกียจอ่านจนตัวเป็นขน คงนอนเฝ้าดูข่าวทางโทรทัศน์บ้าง เฝ้าอินเทอร์เน็ตบ้าง ออกจากบ้านไปกินน้ำชากาแฟกับเพื่อนและนินทานักการเมืองบ้าง นับว่าผมกับภรรยาแตกต่างกันมากในเรื่องนี้

อย่าว่าแต่เรื่องชีวิตประจำวันเลย แม้แต่โรคที่เป็นอยู่ทุกวันก็แตกต่างกัน ผมเป็นเบาหวาน ซึ่งเป็นโรคที่เกี่ยวกับการกินอาหาร แต่ภรรยาผมเป็นโรคหอบ ซึ่งเป็นโรคเกี่ยวกับระบบหายใจ…แปลกไหม

ท่านผู้อ่านครับ ผมไม่มีเจตนาที่จะเอาความเป็นอยู่หรือความลับในครอบครัวมาเผยแพร่ แต่เป็นเรื่องจริงบนสัจธรรมที่ว่า “ชีวิตคู่อยู่ได้ด้วยความรักอย่างแท้จริง”

แม้ปีนี้จะย่างเข้าปีที่ 40 ของการแต่งงานของผมแล้วก็ตาม เราก็จะรักกันให้มากกว่าเดิม เพราะเราเหลือเวลารักกันไม่มากแล้ว

ส่วนผมยังคงยึดมั่นในสนธิสัญญาในวันแต่งงานอย่างเหนียวแน่นโดยไม่คำนึงถึงความแตกต่างแต่อย่างใด เพราะถือว่าทุกอย่างลงตัวแล้ว สัญญาว่าดังนี้ (ยกมือขวาขึ้นเสมอไหล่ ชู 3 นิ้วเหมือนลูกเสือสามัญ) แล้วเปล่งเสียงดังๆ ว่า

ด้วยเกียรติของข้าฯ ข้าฯขอสัญญาว่า

ข้อ 1 ข้าฯจะซื่อสัตย์และจงรักภักดีต่อเธอตลอดไป
ข้อ 2 ข้าฯจะไม่มีเมียน้อย เมียเก็บ อย่างเป็นตัวเป็นตนโดยเด็ดขาด
ข้อ 3 ข้าฯคิดว่าเจ้าคงไว้ใจข้าฯ ถ้าไม่แน่ใจให้อ่านข้อ 2 อีกหลายๆ ครั้ง

 

ที่มา  นิตยสาร Secret

เรื่อง  พิงกัน ปันหยี

Photo by Radu Florin on Unsplash

Secret Magazine (Thailand)

IG @Secretmagazine


บทความน่าสนใจ

มุย โทมัส สาวน้อยดักแด้ “ความแตกต่างไม่เป็นอุปสรรคต่อความฝัน”

© COPYRIGHT 2024 AME IMAGINATIVE COMPANY LIMITED.