ชีวิตที่สร้างด้วยตัวเองของนักออกแบบร้อยล้าน พงศธร  ธรรมวัฒนะ 

ผมชื่อ พงศธร ธรรมวัฒนะ หลายคนเห็นนามสกุลผม คงคิดว่ารวยแล้ว  ไม่ต้องทำงานอะไรก็อยู่ได้  แต่ผมกลับคิดว่า ถ้าเงินทองไม่ได้เกิดจากน้ำพักน้ำแรงของตนเองแบบนั้นไม่เรียกว่ารวย

จริง ๆ แล้วตอนเด็ก ๆ ผมกับคุณแม่และพี่สาวอาศัยอยู่กับคุณป้าในบ้านเล็ก ๆ ชั้นเดียวแถวตลาดสี่มุมเมือง  ใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วไป  นั่งรถเมล์ไปโรงเรียนกับพี่สาว  ตอนนั้นแอบคิดเหมือนกันว่าทำไมเพื่อนคนอื่นมีคนขับรถมารับมาส่ง

ทำไมบ้านเราจนขนาดนี้  งานในบ้านผมก็ทำเองทุกอย่าง  ซักผ้ารีดผ้า  พูดง่าย ๆ ว่าชีวิตผมห่างไกลคำว่าคุณหนูที่มีคนรับใช้คอยปรนนิบัติพัดวี  แต่ก็พยายามปลอบใจตัวเองว่ายังมีอีกหลายคนที่เป็นเหมือนเรา

จนกระทั่งคุณอา (ห้างทอง  ธรรมวัฒนะ) เสียชีวิตผมเพิ่งรู้ว่าครอบครัวตัวเองมีฐานะ  ต่อมาผมได้ย้ายเข้าไปอยู่ที่บ้านคุณอา  คราวนี้ชีวิตเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือมาอยู่ที่นี่ไม่ต้องทำอะไรเลย  มีคนทำให้หมดทุกอย่าง  มีคนมารับมาส่งที่โรงเรียนเหมือนที่เคยอยากมี  กลับถึงบ้านก็ไปเล่นกีฬากับญาติ ๆ  เรียนเทนนิส  มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน

ทุกอย่างดูดีไปหมด  แต่แปลกที่ผมกลับรู้สึกว่าสิ่งที่เป็นอยู่มันไม่ใช่ผมผมเคยชินกับการที่ต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง  ซักเสื้อผ้าส่วนตัวเองโดยเฉพาะกางเกงชั้นใน  ผมไม่ชอบให้ใครมาเอาไปซักให้  ช่วงนั้นผมไม่มีความสุขเท่าที่ควรคำว่าบ้านสำหรับผมควรเห็นกันได้ง่าย ๆ  ไม่ใช่ว่าคนหนึ่งอยู่ห้องฟิตเนส  อีกคนอยู่ห้องรับแขกที่อีกฟากหนึ่งของบ้าน  พอหากันไม่เจอ  ต้องโทร.หากันแล้วถามว่าอยู่ตรงไหน  มันไม่ถึงกับเป็นความรู้สึกเลวร้ายอะไรนัก  เพียงแต่รู้สึกว่าสิ่งนี้ยังไม่ตอบโจทย์ชีวิตผม  ผมอยู่ที่บ้านหลังนี้ไม่นานก็ย้ายไปอยู่บ้านที่แม่ซื้อใหม่

ในเวลานั้นคนอื่นอาจมองว่าผมสบายแล้ว  รวยแล้ว  ไม่ต้องทำอะไรก็มีกินไปทั้งชาติ  แต่ผมกลับคิดว่าทรัพย์สมบัติที่คุณปู่คุณย่าหาไว้ให้ไม่เรียกว่าเป็นคนรวย  คำว่ารวยสำหรับผมต้องเกิดจากการหาเงินด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง  ผมจึงอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง  แต่ตอนนั้นยังเด็ก  ยังไม่รู้ว่าจะทำอะไร  รู้แต่ว่าผมชอบเล่นของเล่น  ติดของเล่นมากขนาดเข้าห้องน้ำก็เอาเข้าไปเล่นด้วย  รู้สึกว่าของเล่นเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด

แต่พอเรียนมัธยมผมไม่กล้าเล่นของเล่นอีก  เพราะกลัวคนจะมองว่าโตแล้วยังเล่นของเล่นอีกเหรอ  แฟนผมพอรู้ว่าผมสะสมของเล่นก็บอกว่าติงต๊อง  สุดท้ายต้องเลิกกันเพราะทัศนคติไม่ตรงกัน  ผมมานั่งคิดว่าการเล่นของเล่นทำให้ภาพลักษณ์เราไม่ดี  จึงเลิกสนใจ  จนวันหนึ่งไปค้นเจอกล่องของเล่นของคุณพ่อ  จำได้แม่นว่าหัวใจพองฟูมาก  เพราะทำให้คิดขึ้นมาว่าขนาดคุณพ่อยังเล่นเลย  ทำไมเราจะเล่นไม่ได้นับแต่นั้นผมกลับมาเล่นของเล่นเหมือนเดิม  จนพี่สาวบอกว่า

“วัน ๆ มัวแต่เล่นของเล่นไร้สาระแบบนี้  อนาคตจะไปเอาดีอะไรได้”

ถามว่ารู้สึกแย่ไหมกับคำพูดแบบนี้ ผมบอกเลยว่าแย่มากแต่นั่นก็เป็นแรงผลักดันว่าสักวันหนึ่งผมจะต้องเลี้ยงตัวเองจากสิ่งไร้สาระพวกนี้ให้ได้

แล้วโอกาสนั้นก็มาถึง เมื่อผมได้ไปเที่ยวญี่ปุ่น  ตอนนั้นผมเรียนหนังสือใกล้จบแล้ว  เป็นวัยกำลังอยากรู้อยากเห็น

พอเข้าไปในห้าง  เห็นหุ่นยนต์สูงประมาณ 4 เมตร  แล้วมีคนต่อแถวกันยาวเหยียด  ด้วยความอยากรู้ว่าเขาทำอะไรกัน  จึงไปต่อแถวกับเขาด้วย  ถึงได้รู้ว่าเขารอซื้อของเล่น  ผมเห็นว่าไหน ๆ ก็มาต่อคิวแล้ว  ซื้อไปด้วยเลยแล้วกัน

หลังจากซื้อเสร็จ  ผมไปเข้าห้องน้ำ  มีคนคนหนึ่งเดินมาหาแล้วขอซื้อของเล่นในมือผมด้วยราคาที่สูงกว่าที่ผมซื้อมาผมอึ้งมาก  ไม่คิดว่าของเล่นชิ้นหนึ่งมีคนกล้าให้ราคาสูงขนาดนี้ขณะเดียวกันในหัวผมก็ได้ยินเสียงผู้คนที่เคยสบประมาทผมต่าง ๆ นานาเรื่องของเล่น  เหตุการณ์นี้ทำให้ผมตัดสินใจว่าจะทำธุรกิจเกี่ยวกับของเล่น  จึงไปขอนามบัตรเจ้าของแบรนด์ของเล่นที่ผมซื้อมา

ตอนนั้นผมไม่รู้หรอกว่าเขาทำธุรกิจกันอย่างไร  รู้แค่ว่าอยากทำ  และจะต้องทำร่วมกับเจ้าของแบรนด์ 3A ให้ได้

เพราะเขาดูเป็นมืออาชีพ  และเป็นแบรนด์ของเล่นที่นักสะสมของเล่นรู้จักเป็นอย่างดี

พอกลับถึงเมืองไทย  ผมรีบส่งอีเมลตามนามบัตรที่ได้มาทันที  รออยู่หลายวันก็ไม่มีตอบกลับมา  ผมเพียรส่งอีเมล

อยู่นานหลายเดือน  ทำถึงขนาดไปบนบานสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพราะอยากทำงานกับเขามากจริง ๆ  จนวันหนึ่งความพยายามของผมก็บรรลุผล  ผมได้รับอีเมลตอบกลับพร้อมกับนัดคุยธุรกิจที่ฮ่องกง  ตอนแรกที่เจอกัน  เขาตกใจที่เห็นผมอายุน้อยขนาดนี้ แต่ผมแสดงความตั้งใจจริง ๆ ว่าอยากทำธุรกิจของเล่น  ผมขอเขาเป็นตัวแทนจำหน่ายของเล่นแบรนด์ 3A  เขายอมตกลง เพราะเห็นว่าผมตั้งใจจริง

ผมเริ่มธุรกิจของเล่นอย่างทุลักทุเลพอสมควร  พอได้เป็นตัวแทนจำหน่าย  ผมเน้นขายส่ง  ขายแบบไม่มีหน้าร้าน  นำของเล่นไปฝากขายตามร้านของเล่นทั่วไป  บางครั้งก็วางขายแบกะดินบ้างตามแต่โอกาสจะอำนวย  ลูกค้าที่รู้จักก็มาจากการบอกต่อกันในวงการของเล่น

ผมเป็นตัวแทนจำหน่ายอยู่พักใหญ่ ๆ  หลังจากนั้นจึงเริ่มรับออกแบบของเล่นควบคู่กันไป  ชีวิตของดีไซเนอร์ทอยเริ่มขึ้นตั้งแต่ตรงนี้  เพียงแต่ว่าเป็นการออกแบบของเล่นตามสั่ง  ยังไม่มีแบรนด์เป็นของตัวเอง  ซึ่งพอทำธุรกิจของเล่นไปสักพัก  ผมมาคิดได้ว่าเราควรสะสมฐานลูกค้าที่อยู่ในวงการของเล่นจริง ๆ  จึงคิดจัดงาน Thailand Toy Expo จุดประสงค์ที่จัดเพราะผมอยากรู้ว่าคนสนใจของเล่นมากน้อยแค่ไหน  จะเรียกว่าผมจัดงานเพื่อหว่านแหดูกลุ่มลูกค้าก็ไม่ผิดนัก

เมื่อผู้ใหญ่หลายคนรู้ว่าผมจะจัดงาน Thailand Toy Expo  เขาก็ดูถูกว่า  ถ้ามีคนมาร่วมงานมากกว่าหมื่นคน  จะยอมกราบเท้าผม เพราะคิดว่างานของเล่นคงไม่มีใครสนใจแน่ ๆ  คำพูดพวกนี้ผลักดันให้ผมตั้งใจจัดงานให้ดีให้ยิ่งใหญ่ไม่เฉพาะแต่ระดับประเทศเท่านั้น  แต่เป็นระดับโลก เพราะต้องเรียกความสนใจให้ชาวต่างชาติมาร่วมงานด้วยให้ได้

ทุกอย่างผมวางแผนไว้หมดแล้ว  แต่ก่อนถึงกำหนดจัดงาน 2 สัปดาห์สปอนเซอร์ที่ตกลงกันไว้ไม่ยอมจ่ายเงิน  แถมหายไปเลย  ผมกลุ้มใจมากคิดไม่ตกว่าจะไปเอาเงินมาจากไหน  ในที่สุดจึงไปคุยกับแม่และพี่สาว โดยจะขอเงินมรดกส่วนของผมมาใช้  คุณแม่กับพี่สาวเห็นความตั้งใจของผม  บอกว่าถ้าอย่างนั้นถือเป็นการลงทุนร่วมกันสามคน  ถ้าขาดทุนก็ขาดทุนด้วยกัน  เราสามคนสมัครใจทิ้งเงิน 10 ล้าน  ถ้าทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง

ในที่สุดผมก็สามารถจัดงานได้สำเร็จ  Thailand Toy Expo ครั้งแรกจัดขึ้นเมื่อปี 2556 ที่เซ็นทรัลเวิลด์เป็นเวลา 4 วัน  ผลตอบรับดีเกินคาดมีทั้งคนไทยและต่างชาติมารอต่อคิวเข้างาน  สรุปแล้วมีคนมางานประมาณ 400,000 คน  ผู้ใหญ่ที่เคยสบประมาทผมไว้ถึงกับพูดไม่ออก  แต่ก็ไม่ได้มากราบเท้าอย่างที่เขาพูดไว้หรอกนะครับ  อันนั้นมันก็เกินไป (หัวเราะ)

สิ่งที่ได้จากการจัดงานนี้ทำให้เกิดกระแสคนเล่นของเล่น  ผู้ใหญ่ที่ชอบเล่นของเล่นกล้าเปิดตัวมากขึ้น  แล้วเราเองก็ได้ฐานลูกค้าที่แท้จริง  ทีนี้ก็มีคำถามจากลูกค้าว่า  ถ้าอยากได้ของเล่นจะไปซื้อจากไหน  เพราะงานจบลงไปแล้ว  ผมเห็นว่าในเมื่อเรามีฐานลูกค้าแล้ว  ก็ถึงเวลาที่จะต้องมีหน้าร้านเพื่อต้อนรับนักสะสมของเล่นทุกคนเสียที

ผมจึงรวบรวมเงินเก็บทั้งหมดเปิดร้าน The Gate ที่เซ็นทรัลเวิลด์  และทำแบรนด์ของเล่นของตัวเองชื่อว่า JPX แบรนด์นี้ผมทำขายทั่วโลก  และทุกปีผมจะจัดงานนี้ขึ้น  ซึ่งก็จัดมา 3 ปีแล้ว  เพื่อให้วงการของเล่นเข้มแข็งและแบรนด์ JPX เป็นที่รู้จักให้มากที่สุดในตลาดโลก

ทุกปีที่จัดงาน Thailand Toy Expo  ผมคืนกำไรให้สังคม โดยในวันแรกของงานผมจะพาน้อง ๆ จากสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้ามาเที่ยวดูงานก่อนใคร  และวันที่มีการประมูลของเล่น  รายได้ทั้งหมดผมมอบให้สถานสงเคราะห์โดยไม่หักค่าใช้จ่าย

ผมคิดว่า ยิ่งเราได้จากสังคมมากเท่าไร  ก็ต้องคืนกลับไปให้สังคมมากด้วยเช่นกัน  นอกจากการได้อยู่กับของเล่นแล้ว การได้ส่งต่อสิ่งดี ๆ ให้สังคมก็เป็นอีกหนึ่งความสุขของผม  เพียงแต่ความสุขอันนี้เป็นความสุขในมุมของผู้ให้ที่มีเงินเท่าไรก็ไม่สามารถซื้อได้ 


เรื่อง พงศธร  ธรรมวัฒนะ  เรียบเรียง อุรัชษฎา  ขุนขำ ภาพ สรยุทธ  พุ่มภักดี  สไตลิสต์ ณัฏฐิตา  เกษตระชนม์

Posted in MIND
BACK
TO TOP
A Cuisine
Writer

© COPYRIGHT 2024 AME IMAGINATIVE COMPANY LIMITED.