สมศักดิ์ ค้าขึ้น

ชีวิตใหม่ ของอดีตนักยกน้ำหนักแชมป์โลกพิการ – สมศักดิ์ ค้าขึ้น

ชีวิตใหม่ ของคุณตู่ สมศักดิ์ ค้าขึ้น

เรื่องราวของคนที่ต่อสู้ เพื่อให้ได้ ชีวิตใหม่ หลายครั้งที่ Secret นำเสนอเรื่องราวเช่นนั้นที่ช่วยสร้งแรงบันดาลใจให้กับผู้อ่าน นี่เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เราภูมิใจนำเสนอเรื่องราวชีวิตของคุณตู่-สมศักดิ์ ค้าขึ้น อดีตนักยกน้ำหนักแชมป์โลกพิการผู้ไม่เคยยอมแพ้แก่ชะตาชีวิต กว่าที่ชีวิตของเขาจะเป็นตัวอย่างให้หลายๆ คนได้เห็นอย่างทุกวันนี้ เขาต้องผ่านร้อนผ่านหนาวชนิดเอาชีวิตเข้าแลกมาแล้ว

Secret เชื่อเหลือเกินว่า เรื่องราวของเขาจะเป็นอุทาหรณ์ที่ช่วยสร้างกำลังใจ ให้ข้อคิดดีๆ แก่ผู้อ่านทั่วไปและคนที่กำลังหมดไฟในชีวิต

สำนึกลูกชายคนโต

ผมเกิดที่จังหวัดนครราชสีมา แต่มาโตที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ครอบครัวเรามีกัน 4 คนคือ พ่อ แม่ น้องสาวและผม ตั้งแต่เด็ก สิ่งที่ผมเห็นจนชินตาคือการที่พ่อกับแม่ต้องออกไปทำงานรับจ้างไม่เป็นหลักแหล่ง ทำให้ครอบครัวเราต้องย้ายที่อยู่บ่อยๆ

ความลำบากทางบ้านทำให้ผมตัดสินใจเรียนแค่ม.3 แล้วออกจากบ้านมาหางานทำในกรุงเทพฯเพราะไม่อยากเป็นภาระของพ่อแม่ พอเข้ากรุงเทพฯ ผมไปอาศัยอยู่กับลุงซึ่งทำงานอยู่ที่โรงงานรถยนต์ซาร์ฟ ผมโชคดีได้งานทำที่นั่นด้วยมีหน้าที่เป็นคนหล่อไฟเบอร์ทำกันชนและสปอยเลอร์

การทำงานที่โรงงานทำให้ผมมีความรู้เรื่องรถ โดยเฉพาะด้านประดับยนต์ ผมเรียนรู้งานที่โรงงานอยู่เกือบสองปีก็กลับมาหางานทำที่บ้าน และได้ทำงานเกี่ยวกับประดับยนต์ที่ชอบ ผมทำเป็นทุกอย่างทั้งติดฟิล์ม เดินสายไฟ หรือแม้แต่งานล้างรถ เรียกว่าชีวิตของผมวนเวียนอยู่กับวงการรถก็ว่าได้ แม้ว่าผมไม่ได้เรียนมาเหมือนคนอื่นแต่ที่ผมทำได้ก็เพราะใจรัก ผมภูมิใจมากที่หาเงินเลี้ยงตัวเองได้โดยไม่ต้องขอเงินพ่อแม่

ชีวิตอันรุ่งโรจน์

พอมีเงิน ผมก็ส่งตัวเองเรียนกศน.ยังไม่ทันเรียนจบ ก็กลับไปหางานทำที่กรุงเทพฯอีกครั้ง คราวนี้ได้งานเป็นเด็กเสิร์ฟที่ร้านอาหารแถวๆรัชดาฯ ก่อนไปทำงานทุกเย็น ผมจะนั่งรถตู้ไปสนามกีฬาแห่งชาติเพื่อเข้ายิมออกกำลังกายและฝึกเพาะกาย จนใครๆ ต่างบอกว่าผมมีกล้ามสวยแล้ววันนึงก็มีแมวมองมาชวนผมเข้าวงการบันเทิง

อาจพูดได้ว่าการเข้าวงการบันเทิงเป็นช่วงชีวิตที่ดีที่สุดของผม ตอนนั้นผมได้เล่นหนัง เป็นตัวประกอบ เป็นสตั้นแมน และมีงานเดินแบบโชว์ตัวบ่อยๆส่วนใหญ่เป็นชุดว่ายน้ำเพราะหุ่นเฟิร์มมาก จนผมสามารถขอขึ้นค่าตัวจากครั้งละ 500 บาทมาเป็น 3,000-4,000 บาท นอกจากนี้การมีหุ่นดียังทำให้ผมมีโอกาสเดินทางไปเล่นหนังที่ต่างประเทศ อย่างที่ประเทศฮ่องกง ผมได้เล่นเป็นสตั้นแมนในฉากที่ต้องขับรถแหกโค้งไล่ยิงกัน แม้จะเป็นงานที่เสี่ยงมาก แต่ก็ได้เงินดีมากเช่นกัน ตอนนั้นผมทำงานหาเงินเพลินจนไม่สนใจไปสอบเทียบชั้น ม.6 เพราะคิดว่าการศึกษาคงไม่จำเป็นแล้วผมสามารถทำงานหาเงินเลี้ยงตัวเองได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ ตอนนั้นผมใช้เงินตามใจตัวเองแบบไม่เคยคิดจะเก็บออมซื้อทุกอย่างที่อยากได้ ทั้งโทรศัพท์รุ่นใหม่ กิน-เที่ยว เลี้ยงเพื่อน จนมาถึงมอเตอร์ไซค์ในฝันที่ผมไม่คาดคิดว่ามันจะทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนไปอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ

“อยากเท่ห์” ต้นเหตุแห่งความซวย

ตั้งแต่เด็ก หนังที่ผมชอบที่สุดคือเรื่องผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ ในเรื่องพระเอกขี่มอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์และมีนางเอกซ้อนท้าย ผมรู้สึกว่ามันเท่ห์มาก ผมจึงฝันว่า วันหนึ่งถ้ามีเงินผมต้องซื้อให้ได้สักคัน แล้วผมก็ได้เป็นเจ้าของมันจริงๆ “เจ้ารถบิ๊กไบค์ 4 สูบ”

ตั้งแต่ได้รถมา ผมก็หัดขี่และเข้ากลุ่มกับเพื่อนๆ ที่ใช้รถบิ๊กไบค์เหมือนๆ กัน วันนั้นพวกเรานัดกันออกทริปไปเที่ยวสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรีทั้งหมด 20 คัน วันออกเดินทางผมใส่ชุดหนังเตรียมพร้อม ผมยอมรับว่าตื่นเต้นมากแต่ไม่รู้หรอกว่านั่นคือทริปแรกและทริปสุดท้ายที่ผมต้องจดจำไปจนวันตาย

หลังจากแวะจอดเที่ยวที่น้ำตกเอราวัณแล้ว พวกเราขี่รถมุ่งหน้าต่อไปยังอำเภอสังขละบุรี แม้ผมจะเร่งความเร็วที่ 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่เพื่อนๆ ก็ขี่แซงหน้าผมไปหมด เพราะรถของพวกเขามีเครื่องยนต์ใหญ่กว่าผมทั้งนั้น เมื่อเห็นตัวเองอยู่รั้งท้าย จึงพยายามเร่งความเร็วแบบไม่คิดชีวิตจนไม่ทันสังเกตเห็นโค้งหักศอกที่อยู่ข้างหน้า พอเข้าโค้ง ผมตัดสินใจแตะเบรกกระทันหันเป็นเหตุให้รถเสียหลักพลิกคว่ำอย่างรุนแรง ผมกับรถกระเด็นไปกันคนละทิศละทาง ผมเห็นตัวเองลอยหมุนคว้างสูงขึ้นไปในอากาศช่วงขณะนั้น ผมคิดว่าเมื่อไหร่จะตกถึงพื้นเสียที พอตกลงมาขาทั้งสองข้างก็ไปฟาดเข้ากับหลักกิโลเมตรอย่างแรง

ตอนนั้นผมยังไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเพราะทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ผมค่อยๆ ตั้งสติ เช็คร่างกายทีละส่วน จากศรีษะ แขนทั้งสองข้างไม่เป็นอะไร แต่ขาข้างขวาหัก ส่วนขาข้างซ้าย กระดูกข้างในแหลกละเอียดจนเห็นกระดูกแทงทะลุออกมาจากขากางเกง หลังรออยู่พักใหญ่ ก็มีรถนักท่องเที่ยวต่างชาติผ่านมา เขาลงมาดูอาการผม และบอกว่าเป็นหมอจากนั้นเขาก็เริ่มปฐมพยายาบาลและโทรแจ้งหน่วยกู้ภัยมูลนิธิปอเต็กตึ๊งให้มารับ

คลิกเลข 2 เพื่ออ่านหน้าถัดไป

รำลึกกรรมจากชั่วโมงแห่งความทนทรมาน

ความเจ็บปวดทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เลือดที่ขาพุ่งกระฉูดออกมาไม่หยุดเนื่องจากเส้นเลือดใหญ่ถูกตัดขาดและดูเหมือนว่าเลือดไม่มีท่าทีว่าจะหยุดง่ายๆ แม้หมอจะช่วยปฐมพยายาบาลแล้วก็ตาม ผมเจ็บปวดมากเหลือเกินจนรู้สึกเหมือนกับว่าขาทั้งสองข้างถูกรถสิบล้อเหยียบทับไปมาอย่างทารุณ เลือดพุ่งออกมาเรื่อยๆ จนคิดว่าตัวเองคงทนพิษบาดแผลไม่ไหวแน่ๆ เพราะมันทั้งรู้สึกเจ็บ ปวด แสบ ทรมานอย่างแสนสาหัส ผมเสียเลือดมากจนรู้สึกอยากหลับให้รู้แล้วรู้รอดไป แต่ทุกคนบอกให้ผมอดทนไว้ อย่าได้เผลอหลับเป็นอันขาด

ความเจ็บปวดจากนาทีมาเป็นชั่วโมงทำให้ผมนึกถึงภาพกรรมที่ตัวเองเคยทำไว้ในอดีต ภาพสมัยก่อนที่ผมเคยรถล้มเพราะมีสุนัขตัวหนึ่งวิ่งตัดหน้า ทำให้ผมโมโหจนจับสุนัขตัวนั้นเหวี่ยงข้ามถนนไปอีกฝั่งหนึ่ง ใช่ มันเหมือนที่ผมโดนรถเหวี่ยงลอยขึ้นไปในอากาศจนรู้สึกได้ว่าทำไมไม่ร่วงถึงพื้นสักที ส่วนความเจ็บปวดอันแสนสาหัสนั้น ภาพที่ผมนึกได้คือภาพในสมัยก่อนที่ผมเคยลงไปในคูน้ำแล้วโดนปลิงดูดเลือด ด้วยความโมโหจึงจับปลิงพวกนั้นโยนไปกลางถนนให้รถสิบล้อเหยียบอย่างสะใจ เมื่อนึกถึงภาพนั้น ผมจึงตระหนักว่า ตนเองกำลังโดนกฏแห่งกรรมเล่นงานเข้าแล้ว

 

 

 

ตัดอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต

หลังจากอดทนรอด้วยความเจ็บปวดอยู่นานหลายชั่วโมง รถปอเต็กตึ๊งก็มารับผมไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด แต่โชคไม่ดีเพราะที่นั่นมีเครื่องมือไม่พร้อม เขาจึงพาผมเดินทางไปต่อยังโรงพยาบาลพลพยุหเสนาซึ่งอยู่ในตัวเมืองแทน

เมื่อไปถึงโรงพยาบาล หมอบอกว่าในตัวผมเหลือเลือดอยู่แค่ 9 เปอร์เซนต์เท่านั้น หมอจึงให้คนโทรบอกทางบ้านเพื่อให้รีบมาดูใจ เพราะอาการเป็นตายเท่ากัน หมอบอกว่าผมคงไม่รอดแน่ ให้แม่ทำใจและเตรียมซื้อโลงศพไว้ได้เลยเนื่องจากหัวใจผมหยุดเต้น แต่ก็เหมือนมีปาฏิหาริย์ที่หัวใจผมกลับมาเต้นอีกครั้งเมื่อแม่มาถึงในวันนั้น

หมอพยายามต่อเส้นเลือดที่ขาทั้งสองข้างและรอดูอาการอยู่ 5 วัน ปรากฏว่าขาขวาสามารถต่อได้ แต่ขาซ้ายเน่าและติดเชื้อมาก หมอจึงแนะนำให้ตัดขาด้วยเหตุผลว่าไม่อย่างนั้นผมอาจไม่รอด ตอนนั้นผมไม่ได้คิดอะไรมากจึงยอมให้หมอทำทุกอย่าง ตอนแรกหมอพยายามตัดขาผมให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่ทว่ามันติดเชื้อเยอะจนหมอต้องพาผมเข้าห้องผ่าตัดแทบทุกวันเพื่อตัดส่วนที่เน่าออกไปเรื่อยๆ จนถึงโคนขา นับเป็นช่วงเวลาที่ผมเจ็บปวดทรมานมากจนร้องไห้ทุกวัน และอดคิดน้อยใจกับชะตาชีวิตของตัวเองไม่ได้ว่า ทำไมต้องจึงต้องมาเจอเรื่องแบบนี้

ชีวิตจมทุกข์

ผมรักษาตัวที่โรงพยาบาลประมาณ 4-5 เดือนด้วยจิตใจห่อเหี่ยวและท้อแท้มาก ตอนนั้นร่างกายผ่ายผอมมากจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก เส้นผมก็หลุดร่วงเพราะเลือดเสีย ทำให้ตัวเองรู้สึกเหมือนตายทั้งเป็น ที่สำคัญผมรู้ว่าการที่ต้องกลายเป็นคนพิการมันหมายถึงอนาคตทุกสิ่งทุกอย่างในวงการบันเทิงจบสิ้น ผมไม่สามารถทำงานที่ชอบหรือกลับไปหารายได้ได้อีก นั่นทำให้ผมยิ่งเป็นทุกข์ใจและคิดมากทุกวัน

การกลับไปอยู่บ้านอย่างคนที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ มีแม่คอยดูแลป้อนข้าวป้อนน้ำเหมือนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ตอกย้ำให้ผมยิ่งทุกข์หนัก ผมคิดไม่ตก รับสภาพที่เป็นอยู่นี้ไม่ได้ ผมเหมือนสูญเสียความเป็นตัวเองเพราะต้องเป็นภาระให้แม่ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ ผมภูมิใจกับการพึ่งตัวเองมาตลอด และที่สำคัญสิ่งที่ทำให้ผมเสียใจมากที่สุดก็คือ การที่คนรักตีจากไปมีคนใหม่ ทำให้ผมรู้สึกสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตจนไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกแล้ว

ความตายเท่านั้นหรือ คือทางออก

ผมคิดวิธีฆ่าตัวตายในหัวมากมาย ทั้งผูกคอตาย เดินไปให้รถชนตาย และในที่สุดก็เลือกวิธีกินยาตาย เพราะได้ยานอนหลับจากเพื่อนๆตอนอยู่ที่โรงพยาบาลมาหลายสิบเม็ด ผมอัดยาเข้าปากทีเดียว 50-60 เม็ด พร้อมเปิดเพลงกล่อมตัวเองและนอนรอความตายโดยไม่มีใครรู้

ผ่านไปเกือบสองวัน แม่เปิดประตูเข้ามาดูเพราะแปลกใจว่าทำไมผมนอนไม่ตื่น แม่เล่าให้ฟังว่าแม่ตกใจมากเพราะตอนนั้นตัวผมอ่อนปวกเปียกหมดแล้วเหมือนคนที่พร้อมจะไปได้ทุกเมื่อ แม่ให้คนช่วยเรียกรถพยาบาลพาผมไปส่งที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด หมอล้างท้องและบอกว่าถ้ามาช้ากว่านี้คงไม่รอดแน่

เมื่อฟื้นขึ้นมา นอกจากแสงไฟสีขาวและสายระโยงระยางเต็มปาก ผมเห็น “แม่” ยืนอยู่ข้างๆ คำถามแรกที่ออกจากปากผมคือ ผมยังไม่ตายอีกหรือ แม่ถามผมกลับว่า ทำไมถึงคิดแบบนี้ ทำให้น้ำตาผมไหลออกมาทันที ผมร้องไห้เสียใจและบอกแม่ว่าผมไม่อยากอยู่อีกต่อไปแล้ว ผมไม่อยากเป็นภาระแม่ แม่ปลอบผมและพูดว่า ขอให้แม่ตายก่อนได้ไหม นั่นเป็นคำพูดกระแทกใจที่ทำให้ผมได้สติ

คลิกเลข 3 เพื่ออ่านหน้าถัดไป

รักบริสุทธิ์ของแม่และอานุภาพแห่งใจ

แม่คอยดูแลผมเป็นอย่างดี ทำให้ผมตระหนักว่าความรักของแม่ยิ่งใหญ่ขนาดไหน ไม่ว่าผมจะเป็นอย่างไร แม่ก็รับได้ทุกอย่าง กำลังใจจากแม่ทำให้ผมมีแรงใจและตั้งใจว่าต่อไปนี้ผมจะลุกขึ้นสู้ ผมจะไม่ยอมเป็นคนพิการที่ต้องคอยให้ใครมาช่วยเหลือ ยังไงเสียผมต้องกลับมาเดินได้อีกครั้ง แม่จึงพาผมไปทำขาเทียมที่โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า พอได้ขาเทียมมา ผมก็ฝืนฝึกเดินด้วยตัวเอง ถึงแม้มันจะเจ็บ ผมก็หัดจนเดินได้โดยใช้เวลาเพียงแค่ 2-3 เดือน แล้วผมก็เข้ากรุงเทพฯทันทีเพื่อหางานทำ งานอะไรก็ได้ที่ไม่เป็นภาระของแม่ และผมก็ได้งานเป็นโอเปอเรเตอร์คอยรับโทรศัพท์ที่อพาร์ตเม้นต์แห่งหนึ่งย่านอินทามระ

ระหว่างทำงาน ผมได้คุยกับเพื่อนเก่า เขาแนะนำให้ผมกลับไปเล่นเพาะกายและลองเข้าแข่งกีฬาคนพิการ ผมเห็นดีด้วยจึงเริ่มหันมายกน้ำหนักฝึกกล้ามเนื้อแบบพาวเวอร์ลิฟติ้งโดยขออนุญาตเจ้าของอพาร์ตเม้นท์ไปฝึกที่สนามกีฬาหัวหมากทุกวันโดยเล่าให้เขาฟังว่าผมจะไปเป็นนักกีฬา เขาก็อนุญาต

ผมนั่งแท๊กซี่ไปซ้อมอยู่ครึ่งปี ก็มีการแข่งขันกีฬาระดับจังหวัด ผมคัดเลือกได้เป็นนักกีฬาตัวแทนกรุงเทพฯไปแข่งที่จังหวัดเชียงใหม่ และก็ได้รางวัลเหรียญทองมาครองสมใจ ผมทั้งตื่นเต้นดีใจและโทรบอกให้เจ้านายรู้ เขาขึ้นเครื่องบินไปรับผม และให้เงินห้าหมื่นบาทเป็นรางวัลในฐานะที่สร้างชื่อเสียงให้อพาร์ทเม้นท์

เกิดใหม่ด้วยหัวใจแกร่ง

รางวัลเหรียญทองทำให้หัวใจผมพองฟูมีแรงฮึดสู้อีกครั้ง ผมลืมความทุกข์ที่มีทั้งหมดด้วยใจที่เปี่ยมไปด้วยพลังและความหวัง ผมกลับไปซ้อม ซ้อม แล้วก็ซ้อมอย่างหนัก เพราะเห็นศักยภาพตัวเองแล้วว่า เรายังสามารถทำอะไรได้อีกเยอะ ถ้ามัวติดว่าตัวเองเป็นคนพิการ ก็คงไม่มีวันนี้แน่ๆ ตอนนี้ความคิดผมเปลี่ยนไปหมดแล้ว ผมคือคนใหม่ที่มีอนาคตสดใสรออยู่ข้างหน้า

เป็นเวลา 3 เดือนกว่าที่ผมมุ่งหน้าฝึกซ้อมอย่างหนักเพื่อรอเวลาคัดตัวนักกีฬาทีมชาติ แล้วผมก็ติดทีมชาติในปีเดียวกันและได้เข้าแข่งขันกีฬาซีเกมส์ที่ประเทศเวียดนาม แต่ตอนนั้นผมฝึกหนักเกินไปจนเกิดอาการบาดเจ็บที่หัวไหล่ ทำให้คว้ามาได้แค่เหรียญเงิน ผมไม่พอใจผลงานที่ทำได้นักเพราะตั้งความหวังไว้ว่าเราจะต้องเป็นที่หนึ่งให้ได้เท่านั้น จึงตัดสินใจลาออกจากงานแล้วกลับบ้าน พร้อมซื้ออุปกรณ์ยิมครบเซ็ทเพื่อหันมาพัฒนากล้ามเนื้อให้แข็งแรงมีพละกำลังด้วยวิธีของผมเองโดยไม่อาศัยโค้ช นั่นคือ การฝึกแบบเวทเทรนนิ่งซึ่งเป็นวิธีเพาะกายที่ผสมกับพาวเวอร์ลิฟติ้ง แล้วผมก็เข้าแข่งซีเกมส์ซึ่งจัดขึ้นที่โคราช และได้เหรียญทองมาครองอีกครั้ง นั่นเป็นรางวัลแห่งความภูมิใจที่ผมได้ทำชื่อเสียงให้ประเทศไทย ผมรู้สึกว่าตัวเองเดินมาไกล ตอนนี้ผมจึงมีเป้าหมายใหม่ที่ต้องทำให้ได้นั่นคือแชมป์โลก

ผมตั้งหน้าตั้งตาฝึกซ้อมอย่างไม่ลดละเพื่อสะสมพละกำลังมาเรื่อยๆ จนกระทั่งมีการแข่งขันยกน้ำหนักชิงแชมป์โลกในปี 2009 ที่ประเทศอินเดีย เป็นแมทช์ที่โหดและเหนื่อยที่สุดเท่าที่เคยแข่งมา ในกติกา กรรมการให้ยกทั้งหมด 3 ครั้ง ผมโดนจับฟาวด์แต่โชคดีที่ทางสหพันธ์ฯประท้วงให้ผมยกอีกเป็นครั้งที่ 4 ผมจึงรวบรวมพละกำลังที่มีทั้งหมดแล้วใส่อย่างสุดแรงเกิด แล้วก็ทำได้สำเร็จโดยคว้าเหรียญทองแชมป์โลกมาครอง สื่อต่างๆ ทั้งไทยทั้งเทศต่างตั้งฉายาให้ผมว่าไอ้จอมพลังแชมป์โลก ผมรู้สึกหึกเหิมมากกับคำนี้ แต่ก็ต้องงงกับการที่ไม่ได้รับเงินสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในเมืองไทยเหมือนอย่างที่นักกีฬาทีมชาติร่างกายปกติเขาได้กัน แต่ผมก็ไม่สนใจหรอก เพราะสิ่งที่ผมได้มากกว่าเงินคือชัยชนะระดับโลก และการได้พิสูจน์ว่าสามารถเอาชนะความพิการของร่างกายได้ และสามารถทำอะไรได้เหมือนหรือมากกว่าคนที่มีร่างกายครบ 32 ทำนั่นคือสิ่งที่มีค่าที่สุดแล้วสำหรับชีวิตผม

มากกว่าความดังคือพลังใจ

หลังคว้าตำแหน่งแชมป์โลกประกอบกับอายุที่เพิ่มขึ้น ผมรู้สึกเริ่มอิ่มตัวกับกีฬายกน้ำหนัก จึงคิดว่าเราน่าจะมาเอาดีทางด้านกีฬาเพาะกาย หลายคนที่เล่นกีฬานี้คงรู้ดีว่ามันโหดขนาดไหน เพราะต้องมีวินัยอย่างมากทั้งเรื่องการกิน การพักผ่อนและการฝึกซ้อมซึ่งมันเข้ากับนิสัยผมมากๆ ที่ชอบเอาชนะทั้งจิตใจและร่างกายของตัวเอง ในที่สุดผมก็เลือกยึดทางนี้เป็นอาชีพ ผมเปิดบ้านเป็นฟิตเนสชื่อ พาวเวอร์ลิฟติ้งและกลายเป็นเทรนเนอร์ที่มีคนรู้จักทั้งในเมืองไทยและต่างประเทศ อีกทั้งผมยังกลายเป็นคนดังในโลกโซเชียลที่ทุกเพจ ทุกไอจีพากันขึ้นรูปผมในฐานะคนต้นแบบผู้สร้างกำลังใจ

ผมอยากบอกว่าเมื่อก่อนผมเคยอายที่ตัวเองพิการเลย จึงใส่กางเกงขายาวไปไหนมาไหนตลอด แต่พอคว้าแชมป์โลกมาได้ก็ทำให้ผมมั่นใจและไม่แคร์ที่จะตัดขากางเกงขายาวทิ้ง โชว์ให้เห็นขาเหล็ก และไม่เคยอายอีกเลย จึงทำให้หลายๆ คนทึ่งที่เห็นผมเป็นอย่างนี้ ดังนั้นเวลาผมเห็นขอทาน ผมจะเข้าไปพูดกับเขาตรงๆ ว่า มันมีศักดิ์ศรีนักเหรอที่มาขอเขากิน เปลี่ยนไปทำอาชีพอื่นที่ดีกว่านี้ได้ไหม ผมพูดแบบไม่เกรงใจ เพราะอยากกระตุ้นให้เขาลองทำอะไรที่ใช้ความสามารถของตัวเอง ผมคิดว่าชีวิตคนยังไงก็ต้องสู้ แพ้ยังไงก็ต้องสู้ มันไม่มีวันแพ้ตลอดไปหรอก

คลิกเลข 4 เพื่ออ่านหน้าถัดไป

ณ จุดสูงสุดของชีวิต

ทุกวันนี้ผมไม่เคยท้อ ผมมองชีวิตเป็นบวกและภูมิใจที่ไม่ต้องแบมือขอเงินใครกิน เพราะผมสามารถกลับมาเป็นหลักในการหาเลี้ยงตัวเองและครอบครัว นอกจากนี้การเป็นโค้ชเป็นครูทำให้ผมได้สอนทั้งวิชาเพาะกายและวิชาชีวิตให้ลูกศิษย์หลายๆ คน ผมภูมิใจที่เรื่องราวชีวิตของผมสร้างแรงบันดาลใจให้หลายๆ คนที่ท้อแท้ เพราะเมื่อมองกลับไป ความผิดพลาดที่เคยใช้ชีวิตแหลกเหลวอย่างที่ผ่านมาได้สอนและให้ข้อคิดในการดำเนินชีวิตกับผมไม่น้อย ทั้งเรื่องการใช้เงิน การคบเพื่อน เรื่องสังคม เรียกได้ว่ามันเหมือนปริญญาชีวิต

ชีวิตตอนนี้นับว่าพอเพียงและมีความสุขที่สุดแล้ว แต่หากมันจะไปได้ไกลกว่านี้ก็แล้วแต่โชคชะตา ทุกครั้งที่ผมมองคนที่ด้อยกว่าผมรู้เลยว่า ชีวิตเราสบายแล้วนะ ที่ไม่ต้องออกไปตรากตรำตากแดดตัวดำเหมือนสมัยเป็นเด็กอู่ เพราะตอนนั้นกว่าจะได้เงินมาแต่ละบาทแสนจะยาก ดังนั้นการที่เรามาถึงจุดนี้ก็โอเคแล้ว ผมโชคดีที่ได้ทำงานที่ชอบและเป็นประโยชน์แก่คนอื่นๆ

การเป็นเทรนเนอร์ที่มีชื่อเสียงระดับโลกไม่ได้ทำให้ผมโลภเก็บค่าสอนแพงๆ อย่างที่บอกผมอยู่แบบพอเพียง ที่สำคัญผมได้ทำอะไรที่ผมสบายใจ เวลาผมสอน ผมจะถ่ายทอดสดผ่านเฟสบุ๊คด้วย จึงมีลูกศิษย์หลายคนที่ออกกำลังกายตามผมโพสต์เข้ามารายงานว่าเขาลดหุ่นไปได้แค่ไหน มีความก้าวหน้าอย่างไรบ้าง ผมก็ดีใจที่ทำให้สุขภาพร่างกายเขาดีขึ้น ผมถือว่าการได้สอนได้แนะนำให้ความรู้และทำให้คนมีสุขภาพดีเป็นการทำบุญอย่างหนึ่ง ผมจึงไม่เคยหวงวิชา ตรงกันข้ามผมตั้งใจให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่ทุกคนเท่าที่จะทำได้

 

มองความตายและความหมายของชีวิต

ผมเคยเฉียดตายมาแล้ว ความตายสำหรับผมจึงไม่น่ากลัว แต่สิ่งที่น่ากลัวคือความเจ็บปวด ความตายคือความว่างเปล่า ไร้ความรู้สึก ไม่มีความเจ็บปวด เป็นความรู้สึกสบายเมื่อวิญญาณหลุดออกจากร่าง ผมเคยคิดเหมือนกันว่าผมจะมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร แต่พอชีวิตพลิกกลับมาเป็นอย่างทุกวันนี้ ผมก็ได้คำตอบว่า เรามีชีวิตอยู่เพื่อเป็นประโยชน์แก่คนอื่น เคยมีคนที่ประสบอุบัติเหตุถามผมว่า ผมใช้ชีวิตอย่างไร ผมก็ให้กำลังใจเขา เป็นแรงบันดาลใจให้เขาลุกขึ้นสู้อีกครั้ง ชีวิตผมทุกวันนี้จึงหยุดไม่ได้เพื่อให้ทุกคนเห็นว่าเรายังสู้อยู่ เพื่อที่เขาจะได้สู้ตามเราและไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ

ผมอยากฝากถึงคนที่กำลังท้อแท้ว่า ชีวิตคนเราต้องผ่านช่วงชีวิตที่ดี เลว หรือร้อน หนาวกันมาทั้งนั้น ความผิดพลาดในชีวิตสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่สิ่งที่จะทำให้เราผ่านอุปสรรคทุกอย่างไปได้นั่นคือ ใจ ต้องพยายามทำใจให้เข้มแข็งและให้เวลากับมัน เวลาเป็นสิ่งสำคัญที่อาจเปลี่ยนแปลงจากเรื่องร้ายให้กลายเป็นดี ดังนั้นอย่าเพิ่งรีบตัดสินใจทำอะไรลงไปเพราะโชคอาจเข้ามาหาเราเมื่อไหร่ก็เป็นได้ พยายามคิดในแง่บวก มองคนที่มีชีวิตด้อยกว่าเราเอามาเป็นกำลังใจว่าเรายังดีกว่าเขา

เพียงเท่านี้ผมก็เชื่อว่าจะช่วยให้เขาสามารถผ่านพ้นอุปสรรคที่ดูเหมือนว่าเป็นเรื่องหนักหนาในชีวิตไปได้อย่างที่ผมเคยผ่านมาแล้ว

เรื่อง ธันยาภัทร์ รัตนกุล ภาพ สรยุทธ พุ่มภักดี ผู้ช่วยช่างภาพ Natnaree

Secret คือแรงบันดาลใจ
สั่งซื้อนิตยสารหรือสมัครสมาชิก Secret ได้ที่ 0-2423-9889
ทาง Naiin.com : https://www.naiin.com/magazines/title/SC/

Posted in MIND
BACK
TO TOP
cheewajitmedia
Writer

© COPYRIGHT 2024 AME IMAGINATIVE COMPANY LIMITED.