“ ฝันสลาย … เพราะพิษร้ายยาเสพติด ” เรื่องจริงของคนที่หลงเดินทางผิด
ผมเกิดที่จังหวัดเชียงรายในครอบครัวที่มีฐานะยากจน แม้ผมจะมีพี่น้องถึง 9 คน แต่ครอบครัวของเราก็อยู่กันอย่างมีความสุขตามประสาคนบ้านนอก พ่อแม่ส่งให้ลูกชายได้เรียนหนังสือ ส่วนน้อง ๆ ผู้หญิงไม่ได้เรียน ฝันสลาย
ผมจึงตั้งใจเรียนหนังสือมาก และมีความฝัน “อยากเป็นครู” เพราะสามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลให้พ่อกับแม่ยามที่ท่านเจ็บป่วยได้ ที่สำคัญผมจะได้นำวิชาความรู้มาสอนแก่น้อง ๆ ที่ไม่มีโอกาสได้เรียน ตอนอยู่ชั้นประถมศึกษาผมเรียนดีมาก สอบได้ที่ 1 ของห้องมาโดยตลอด และได้รับเลือกให้เป็น “หัวหน้าห้อง” เป็นนักกีฬาโรงเรียน ผมเป็นที่รักของครูและเพื่อน ๆ ร่วมโรงเรียน พ่อกับแม่ภูมิใจในตัวผมมาก
เมื่อเรียนจบชั้นประถมศึกษาที่บ้านเกิดแล้ว ผมเห็นว่าท่านทั้งสองคงไม่มีเงินส่งให้ผมเรียนต่อในระดับชั้นมัธยมศึกษาแน่ จึงขออนุญาตมาเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดอ่างทอง เนื่องจากได้ยินกิตติศัพท์ร่ำลือว่าหลวงพ่อมีเมตตามาก รับอุปถัมภ์เด็ก ๆ ที่เรียนดีแต่ฐานะยากจนหลายร้อยชีวิต
เมื่อมาเป็นลูกศิษย์ท่าน หลวงพ่อเมตตาให้ที่พัก อาหาร และส่งเสียให้ผมเรียนต่อในระดับชั้นมัธยมต้นพร้อมกับเพื่อน ๆ อีกหลายคน ในระหว่างที่มาอยู่กับหลวงพ่อ ปณิธานความอยากเป็นครูของผมยังแน่วแน่เหมือนเดิม ผมตั้งใจเรียน เป็นคนดีอยู่ในระเบียบวินัย คอยช่วยเหลืองานท่านอยู่เสมอ ตอนนั้นผลการเรียนของผมยังดีเหมือนเดิม ผมได้รับเลือกให้เป็นประธานนักเรียนและเป็นนักกีฬาของโรงเรียนอีกเช่นเคย
เมื่อใกล้เรียนจบชั้นมัธยมต้น ผมเริ่มมองหาหนทางเพื่อเรียนต่ออีกครั้ง เพราะอยากแบ่งเบาภาระของหลวงพ่อเรื่องทุนการศึกษาที่ต้องจ่ายเป็นเงินก้อนโตมาเป็นเวลาหลายปี เพราะรู้ว่าหลวงพ่อมีภาระต้องรับผิดชอบเด็ก ๆ อีกหลายร้อยชีวิต และต้องการสานความฝันเรื่องการเป็นครูของตัวเองให้เป็นจริง แล้วก็เหมือนสวรรค์มีตาฟ้ามีใจให้คนจนอย่างผมที่ใฝ่ศึกษาหาความรู้เพื่อเดินตามความฝันของตัวเอง เมื่อทางโรงเรียนประกาศว่าตอนนี้มี มูลนิธิจากเบลเยียมอาสาเข้ามาช่วยเหลือเรื่องการศึกษาของประเทศที่กำลังพัฒนาในลุ่มแม่น้ำโขงอย่างประเทศพม่า ลาว กัมพูชา เวียดนาม และประเทศไทย โดยใช้ชื่อว่า “มูลนิธิลุ่มแม่น้ำโขง” เข้ามาช่วยเหลือเด็กนักเรียนที่มีผลการเรียนดี แต่ฐานะยากจน ให้ได้เรียนต่อเป็นเวลา 5 ปี โดยวัดของหลวงพ่อก็ได้รับความช่วยเหลือจากมูลนิธินี้
หลังจากได้ข่าว ผมไม่รอช้ารีบเข้าสมัครเพื่อสอบชิงทุนนี้ทันทีด้วยความฝันอันแรงกล้า หลังสอบผ่านไปเป็นเวลาสองเดือนกว่า ๆ วันที่ผมตื่นเต้นที่สุดในชีวิตก็มาถึง เมื่อทางมูลนิธิประกาศว่าผมสามารถสอบทุนนี้ได้พร้อมกับเพื่อน ๆ อีกหลายคน แต่มีเงื่อนไขว่าผมต้องทำงานช่วยเหลือหลวงพ่อที่วัดนี้ในการดูแลรุ่นน้องเด็กวัดตัวเล็ก ๆ และผลการเรียนต้องอยู่ในขั้นดีตลอดสัญญา 5 ปี
หลังเรียนจบชั้นมัธยมต้นที่โรงเรียนเดิม ผมจึงสอบเข้าเรียนต่อที่วิทยาลัยอาชีวะประจำจังหวัดในระดับ ปวช. สาขาช่างไฟฟ้า ด้วยทุนการศึกษาจากมูลนิธิฯ ระหว่างเรียนอยู่ที่วิทยาลัยแห่งนี้ ผลการเรียนของผมยังดีเหมือนเดิม ผมใช้เวลาเรียน 3 ปีก็จบการศึกษา ด้วยเกรดเฉลี่ย 3.5 สามารถสอบเรียนต่อในระดับ ปวส.ที่วิทยาลัยเดิมอีกด้วย
ในระหว่างเรียน ปวส. ผมใช้เวลาว่างรับเหมาติดตั้งระบบไฟฟ้าในอาคารและนอกอาคารตามความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมา ทำให้มีรายได้พิเศษเป็นค่าขนมระหว่างเรียน นอกจากนี้ผมยังเป็นที่รักและได้รับการช่วยเหลือทุกเรื่องจากอาจารย์ทุกท่านในแผนกเป็นอย่างดีอีกด้วย
เมื่อผมกำลังจะสำเร็จการศึกษาในระดับ ปวส.เทอมสุดท้าย อาจารย์ในแผนกได้แจ้งว่า “สถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน” ที่กรุงเทพฯ มีทุนเรียนปริญญาตรี 2 ทุนให้แก่นักศึกษาของแผนกช่างไฟฟ้า และผมก็เป็นคนหนึ่งที่จะได้รับทุนนี้พร้อมกับเพื่อนอีกคน เนื่องจากมีผลการเรียนดี และเมื่อเรียนจบภายใน 2 ปี จะได้ “บรรจุเป็นครูสอนในวิทยาลัยอาชีวะทั่วประเทศ” ความฝันอยากเป็นครูในสมัยเด็กกำลังจะเป็นจริงแล้ว ผมคุยกับเพื่อนสนิทอย่างมีความหวัง
แต่ชีวิตของผมต้องพลิกผันครั้งใหญ่ เมื่อมีเพื่อนคนหนึ่งมาชักชวนให้ผมทำงานผิดกฎหมายด้วยการเป็น “เอเย่นต์ขายยาบ้า” โดยเขาได้พูดจาหว่านล้อมต่าง ๆ นานาว่าทำงานไม่เหนื่อยไม่หนักอะไรเลย แต่ได้เงินเยอะ อยากได้อะไรก็ใช้เงินซื้อทุกอย่างตามปรารถนา ตอนนั้นผมเหมือนถูก “กิเลสมารเข้าครอบงำจิตใจ” จึงหันมาเสพยาและขายยาบ้ากับเพื่อน ตอนขายยาครั้งแรกผมได้ค่าตอบแทนเป็นเงินหมื่นเงินแสนในเวลาอันรวดเร็วจึงทำอีกเรื่อย ๆ และ “ตอบปฏิเสธ” ทุนเรียนต่อปริญญาตรีของแผนกอย่างไม่ต้องคิดมาก และเรียนจบ ปวส.ออกมาอย่างกระท่อนกระแท่น
หลังเรียนจบออกมาผมยังเป็นเอเย่นต์ขายยาอยู่หลายปี โดยไม่สนใจว่ายาเสพติดเหล่านี้จะไปทำลายเยาวชนของชาติและประชาชนของประเทศอย่างไรบ้าง ขอเพียงขายแล้วผมมีเงินมีทองให้มากที่สุดเป็นพอ ตอนนั้นผมใช้ชีวิตอย่างสุขสบายบนความทุกข์ของผู้เป็นทาสยาเสพติดที่ผมขายให้
ไม่นานพ่อกับแม่ก็รู้เรื่องนี้ ท่านทั้งสองจึงสั่งให้ผมเลิกทำโดยเด็ดขาด ท่านบอกว่า เงินที่ได้จากการทำงานผิดกฎหมายนั้นไม่มีความภาคภูมิใจใด ๆ เลย ผมจึงคิดจะเลิกขายยา แต่ยังไม่ทันเลิก กรรมที่ผมได้ก่อเอาไว้ก็ตามสนอง ผมถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมในที่สุด และถูกส่งตัวเข้าไปอยู่ในเรือนจำ ศาลตัดสินให้รับโทษเพื่อชดใช้กรรม 25 ปี
“ความฝันอยากเป็นครูต้องสลายเพราะ ยาเสพติดและความโลภของตนเอง” สร้าง ความผิดหวังให้พ่อแม่ หลวงพ่อ และครูบาอาจารย์ทุกคนเป็นอย่างยิ่ง
แม้จะย้อนเวลาไปแก้ไขความผิดพลาดในอดีตไม่ได้ แต่ผมจะขอทำปัจจุบันนี้ให้ดีที่สุดด้วยการนำหลักธรรมของพระพุทธองค์ มาปรับใช้กับชีวิตระหว่างอยู่ในเรือนจำด้วย การ “คิดดี พูดดี ทำดี และทำจิตใจให้ บริสุทธิ์” หมั่นศึกษาหาความรู้ที่เรือนจำ มาสอนตนเองให้ประพฤติปฏิบัติตนเป็นคนดีอยู่ในระเบียบวินัยของเรือนจำ
เพื่อจะได้กลับไปเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้งหลังพ้นโทษ
ที่มา นิตยสาร Secret
เรื่อง หนุ่มพันธุ์เพชร
บทความน่าสนใจ
ความหลงที่มีโทษยิ่ง พระนิพนธ์ สมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน)
เหนือกว่าศีล 5 คือ กุศลกรรมบถ 10 โดย พระอาจารย์นวลจันทร์ กิตติปัญโญ