อาร์ต พศุตม์ บานแย้ม
ผู้ชายใจหล่อขอทำดีเพื่อในหลวงรัชกาลที่ 9
พระเอกหนุ่มกล้ามโต “ อาร์ต พศุตม์ บานแย้ม ” ที่ตั้งใจทำความดีถวายแด่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ขอเป็นจิตอาสาช่วยดูแลประชาชนที่อยู่ท้องสนามหลวงให้สะดวกสบายเท่าที่ตัวเองจะทำได้มาตลอด 1 ปี ได้เปิดเผยกับสื่อมวลชนถึงการทำงานด้านจิตอาสาว่า
“ก็โดนไล่บ้าง โดนด่าบ้าง แต่ก็ยิ้มรับและพยายามทำโดยที่ไม่มีอารมณ์ให้ได้มากที่สุด เพราะหลังๆ เราก็นำคำสอนของพระองค์ท่านมาใช้ เราไม่ท้อเลยนะ เพราะถ้าท้อก็คงไม่ทำแล้ว เดี๋ยวหลังจากนี้ก็จะมีไปแจกเสื้อคนที่มาจากต่างจังหวัด ตอนนี้สั่งไปกว่า 3 พันตัวแล้ว ทุนก็มาจากเพื่อนๆ ที่เขาอยากช่วย ส่วนวันพระราชพิธีจริง ก็ไปเป็นจิตอาสาช่วยคัดกรองคนเข้าสนามหลวง วันนั้นแบ่งเป็น 3 กะ กำลังดูว่าจะลงกะไหนดี เพราะนัดกับเพื่อนๆ ไว้ แต่ก็จะทำเท่าที่ตัวเองทำไหวครับ ถือเป็นครั้งหนึ่งในชีวิต เป็นประวัติศาสตร์ว่าเราเคยทำ ถึงเวลาผ่านไปอีก 5-10 ปี คนจะลืม แต่สิ่งเหล่านั้นยังอยู่กับผม ผมเคยได้ทำอย่างนี้นะ และอีกอย่างคือ คนมองผมในมุมบวกขึ้นเยอะมาก ซึ่งผมไม่เคยคิดตรงนี้ แต่พอคนมองแบบนี้ก็ทำให้เรายิ้มได้ครับ”
หลายคนลงยังไม่รู้ว่าเบื้องลึกเบื้องหลังของผู้ชายกล้ามโตคนนี้ เขาเคยเป็นเด็กเกเรมาก่อน Secret เคยมีโอกาสได้สัมภาษณ์ อาร์ต พศุตม์ บานแย้ม ติดตามได้ในบทสัมภาษณ์เลยค่ะ
ผมเคยเป็นนักเลง หาเรื่องมาให้คุณพ่อคุณแม่ปวดหัวอยู่เสมอจนเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ต้องเปลี่ยนตัวเองเพื่อครอบครัวอันเป็นที่รัก ครอบครัวของเรามีกัน 4 คน คุณพ่อ คุณแม่ พี่ชายและผม ถ้าคุณพ่อคุณแม่ห้ามไม่ให้ทำอะไร ผมจะ “ครับ”แต่ก็ทำ
ช่วงวัยรุ่นผมเป็นคนโผงผาง ไม่ยอมคน เรียกว่าเป็นนักเลงก็ได้ นักเลงสำหรับผมคือไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายเราแต่ถ้าเราเผลอไปเหยียบเท้าใครก็พร้อมจะขอโทษวันหนึ่งคุณแม่บอกผมว่า“อย่าออกไปไหนนะลูก วันนี้แม่จะทำกับข้าวให้กิน”ผมรับคำคุณแม่ แต่ก็เดินไปหลังบ้าน ปีนกำแพงออกไปขึ้นรถเพื่อนที่จอดรออยู่ เพื่อจะไปแข่งมอเตอร์ไซค์ อย่างที่เรียกกันว่าเด็กแว้น เพียงแต่ว่าเราไม่ได้ปิดถนนให้ชาวบ้านเดือดร้อน ตอนแข่งรถผมไม่ได้สวมอุปกรณ์ป้องกันตัวอะไรทั้งนั้น สวมเพียงเสื้อยืด กางเกงขาสั้น รองเท้าแตะ ไม่สวมหมวกกันน็อก เราแข่งกันระยะทาง 1 กิโลเมตร ผมขี่รถด้วยความเร็ว 170 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขี่ไปได้ 700 เมตรเท่านั้นเพื่อนที่ขี่อยู่เลนนอกก็หักรถมาหาผมที่อยู่เลนใน ทำให้ผมเสียหลักรถคว่ำ หน้าและตัวของผมครูดไปกับถนน ไถลไปจนศีรษะเกือบชนฟุตปาธ
ผมเลือดท่วมตัว โชคดีที่กระดูกไม่หัก กลับไปถึงบ้านคุณแม่ตีซ้ำอีก แต่สุดท้ายก็มาทำแผลให้ ผมรักษาตัวอยู่สี่เดือนอาการบาดเจ็บครั้งนี้ไม่ได้ทำให้ผมเข็ด แค่ทำให้เกรง ๆ เท่านั้นวีรกรรมของผมยังไม่หมดแค่นี้ เพื่อนคนหนึ่งมีเรื่องกับคู่อริจะโดนยิง ผมไปช่วยเพื่อนและโดนปืนจ่อศีรษะ ตอนนั้นผมไม่กลัวใครหรืออะไรทั้งนั้น เอามือตบปืนที่จ่ออยู่ ทันทีที่ตบปืน เสียงปังดังลั่นอยู่ข้างหู ต้องบอกผู้อ่านตรงนี้ว่ามันไม่ใช่พฤติกรรมที่ควรเลียนแบบ จริง ๆ แล้วอันตรายมากคุณอาจไม่โชคดีเหมือนผมเสมอไป บางคนตบแล้วปืนลั่นเข้าหัวตัวเองก็มี
ในขณะที่ผมเรียน ปวส. เป็นยุคเศรษฐกิจฟองสบู่แตกฐานะที่บ้านเริ่มลำบาก ธุรกิจของพ่อแย่ลง พอรู้ว่าที่บ้านลำบากผมก็ไม่อยากไปเรียน เพราะคิดไปเองว่าเพื่อนดูถูกที่ที่บ้านมีปัญหา ผมไม่เข้าเรียนเลย บางทีไปอยู่บ้านเพื่อนเป็นเดือน ๆวันหนึ่งผมกลับบ้าน คิดจะขอเงินคุณพ่อไปเที่ยว พอไปถึงก็บอกว่าจะขอเงินไปเรียน คุณพ่อยื่นซองจดหมายสีขาวมาให้พร้อมกับพูดเสียงดังว่า“เขาไล่มึงออกจากโรงเรียนแล้วไม่รู้หรือ”ผมช็อกมากกับสิ่งที่ปรากฏแก่สายตา ท่านตบหน้าผมหนึ่งครั้งแล้วเดินไปที่เตียงนอน เอามือล้วงไปใต้หมอนหยิบปืนออกมา ผมกลัวว่าท่านจะยิงตัวตายเพราะผมก่อปัญหาไว้มาก จึงรีบไปกระชากมือท่านเอาไว้และพูดว่า“พ่อ อาร์ตขอโทษ อาร์ตจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว”
หลังเหตุการณ์นี้ผมเริ่มหางานทำ ไปเป็นพนักงานในผับ ใช้เวลา 2 - 3 ปีผมสามารถสร้างบ้านราคา 2 ล้านบาทให้คุณพ่อคุณแม่ ผมไม่ได้รู้สึกว่าผมเป็นเด็กดี แต่รู้สึกว่าได้ทำประโยชน์ให้คุณพ่อคุณแม่สบายมากขึ้น หลังจากนั้นผมมีโอกาสเข้าวงการบันเทิงจากการประกวด Male StarChallenge ผมดูแลครอบครัวได้ดีขึ้น แต่ก็คิดว่าชีวิตไม่แน่นอน เราแก่ลงเรื่อย ๆ เด็กใหม่ ๆ เข้ามาในวงการมากขึ้น สำหรับงานในวงการบันเทิง ถ้ามีโอกาสก็ยังทำอยู่ และตอนนี้ผมเริ่มทำธุรกิจควบคู่ไปด้วย เป็นธุรกิจเกี่ยวกับวิตามินบำรุงร่างกาย เพราะต้องการวางรากฐานที่ดีในอนาคตทั้งหมดนี้ก็เพื่อครอบครัวของผมครับ
เรื่อง ชลิตา
ข้อมูล นิตยสาร Secret
ภาพจาก zubzib.com, tv pool
บทความน่าสนใจ
จากอดีตนักเลงสู่ลูกกตัญญู อาร์ต-พศุตม์
ป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง ของ ในหลวงรัชกาลที่ 9