ส่วนผลทางจิตใจนั้นช่วยให้มีความมั่นใจในตนเองว่าสามารถทำสิ่งต่างๆ ได้ เคยอ่านเจอคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญด้านสมองที่ให้คำแนะนำเอาไว้ว่า หากต้องการให้เหตุการณ์ที่ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้หรือเหตุการณ์ที่เราต้องใช้ความพยายามในการบรรลุผลเกิดขึ้นจริง ต้องคิดจินตนาการถึงกระบวนการที่เราจะพบในเรื่องนั้นๆ อย่างละเอียด โดยต้องคิดว่าเราทำได้อย่างง่ายดาย และสามารถประสบผลสำเร็จในที่สุด ดังนั้น การจินตนาการถึงสิ่งที่อยากให้เกิดขึ้นจึงเป็นการบำบัดร่างกายและความเครียดได้อีกหนึ่งทาง ซึ่งเราสามารถทำได้ทุกวันอีกด้วยค่ะ
>> สวดมนต์บำบัดโรค <<
สังเกตมั้ยคะว่า คนไทยเราเนี่ยเมื่อมีคนที่เรารักเกิดอาการป่วย เรามักจะแนะนำให้เค้าเหล่านั้นสวดมนต์ ซึ่งคำแนะนำนี้ถือเป็นภูมิปัญญาด้านการเยียวยารักษาโรคที่ได้ผลไม่แพ้การดูแลสุขภาพด้านอื่นเลยล่ะค่ะ เพราะมีผลการวิจัยระบุออกมาแล้วว่าการสวดมนต์ช่วยให้สุขภาพดีขึ้นได้จริง เนื่องจากสมองของคนเราเมื่อได้รับการกระตุ้นด้วยคลื่นเสียงที่สม่ำเสมอกันนาน 15 นาทีขึ้นไป ฮอร์โมนชนิดดีจะหลั่งออกมา ฮอร์โมนเหล่านี้ล้วนแต่มีประโยชน์ต่อร่างกายและสมองทั้งสิ้น เพราะช่วยให้ผ่อนคลาย นอนหลับง่าย ภูมิต้านทานดีขึ้น และช่วยยืดอายุเซลล์ให้ดีขึ้นอีกด้วย
ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ การสวดมนต์หากจะให้เกิดผลดียิ่งขึ้นต้องสวดแบบออกเสียงให้ตัวเองได้ยินด้วยยิ่งดี เพราะการออกเสียงจะทำให้เราได้ยินเสียงสวดมนต์ที่เป็นจังหวะสม่ำเสมอ นอกจากจะส่งผลดีต่อสมองแล้วยังทำให้เกิดความสงบและสมาธิอีกด้วย การสวดมนต์นอกจากจะสวดให้ตัวเองสุขภาพดีขึ้นแล้ว ยังสามารถฟังผู้อื่นสวดก็ได้ เพราะเสียงสวดมนต์ของพระหรือนักบวชที่มีความเมตตาจะทำให้ผู้ฟังเกิดความสุขและผ่อนคลาย รวมทั้งสามารถสวดมนต์ให้กับผู้ป่วยอยู่ก็ได้ เพราะการสวดมนต์จะส่งผลให้สมองเกิดคลื่นสมองที่ดี ซึ่งจะสามารถส่งไปถึงผู้ที่รับได้ แม้จะอยู่ไกลกันแค่ไหนก็ตาม รู้แบบนี้แล้วลองปลีกตัวออกจากความวุ่นวาย และหาเวลามาสวดมนต์ทุกวันดูค่ะ รับรองว่าผลดีจะเกิดขึ้นกับร่างกายแน่นอน
>> ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต <<
มีใครรู้บ้างคะว่าวิถีชีวิต หรือการดำเนินชีวิตของเราเป็นตัวกำหนดสุขภาพของเราเอง เนื่องจากปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคก็คือพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันของเราทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการกิน การนอน การทำงาน และการออกกำลังกาย หากเราจัดสมดุลชีวิตให้ดี ร่างกายจะไม่เจ็บป่วย ไม่เคร่งเครียด แต่เมื่อใดก็ตามที่สมดุลชีวิตผิดไป ร่างกายย่อมเจ็บป่วยจนเกิดความเครียดตามมาค่ะ ซึ่งสมดุลชีวิตที่ว่าก็คือ การจัดเวลาและแบ่งความสำคัญให้กับกิจกรรมในชีวิตเท่าๆ กัน เพราะยุคนี้คนส่วนใหญ่มักทุ่มความสำคัญให้กับการทำงานเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งแบบนั้นถือว่าผิดค่ะ
นอกจากการจัดสมดุลให้ชีวิตแล้ว การทำกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตให้มีคุณภาพก็สำคัญไม่แพ้กัน เช่น การกินอาหารที่มีประโยชน์ ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ ของทอด ของมัน นอนหลับไม่เป็นเวลา ออกกำลังกายเป็นประจำสัปดาห์ละ 3 ครั้ง อย่างต่ำครั้งละ 30 นาที การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตลักษณะนี้จะทำให้ร่างกายกลับมาแข็งแรงได้ในที่สุด และการปรับสมดุลชีวิตดังกล่าวไม่เพียงช่วยส่งเสริมสุขภาพเท่านั้น แต่ยังบำบัดความเครียดได้ด้วย เพราะสมดุลชีวิตดังกล่าวช่วยให้ชีวิตไม่ตึงหรือหย่อนจนเกินไป จึงไม่เกิดความทุกข์หรือความรำคาญใจ
>> เดินเล่นในสวนสาธารณะ <<
หญ้าสีเขียว อากาศบริสุทธิ์ ผู้คนแวดล้อมที่ยิ้มแย้ม เราสามารถหาสิ่งเหล่านี้ได้ที่ “สวนสาธารณะ” ค่ะ การเดินเล่นในสวนสาธารณะช่วยผ่อนคลายอารมณ์ได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม ถ้าจะให้ดียิ่งขึ้นควรเดินรอบสวนสาธารณะด้วยความเร็วสม่ำเสมอ สูดลมหายใจยาวๆ และผ่อนลมหายใจออก การทำอย่างนี้เท่ากับเป็นการเดินเพื่อสุขภาพ และให้ผลต่ออารมณ์เช่นเดียวกับการเดินจงกรมเลยล่ะค่ะ