“ยามขึ้นอย่าหลง ยามลงอย่าท้อ” ธงชัย ประสงค์สันติ (ตอนจบ)

“ยามขึ้นอย่าหลง ยามลงอย่าท้อ” ธงชัย ประสงค์สันติ (ตอนจบ)

เรื่องราวสู้ชีวิตของ ธงชัย ประสงค์สันติ

ชีวิตของผมเดินทางมาไกลกว่าที่เคยนึกฝันไว้ จากตัวประกอบมาเป็นนักแสดง นักร้อง และเจ้าของบริษัท นับวันภาระหน้าที่ของผมก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆมีความท้าทายและความยาก แต่ความสุขของผมกลับเป็นเรื่องง่ายๆ…ง่ายนิดเดียว

ผมชอบความเงียบครับ ความเงียบคือสิ่งที่ทำให้ผมมีความสุขมากที่สุดในชีวิต ผมเคยอ่านหนังสือ เขาบอกว่า คำว่า ฟัง (listen)ในภาษาอังกฤษนั้น ใช้ตัวอักษรชุดเดียวกับคำว่า เงียบ (silent)ต่างเพียงการจัดวางตัวอักษรเท่านั้น แต่คำว่า “ฟัง” และ “เงียบ” ผมคิดว่ามีความหมายลึกซึ้งครับ คนที่จะฟังคนอื่นได้ต้องรู้จักเงียบ รู้จักที่จะฟังคนอื่นด้วยใจ

ผมเป็นคนตื่นเช้า ตื่นแล้วก็จะมานั่งนิ่งๆ ดื่มกาแฟ มองออกไปที่สวนเล็กๆ หน้าบ้าน เห็นหน้าบ้านรกๆ ของตัวเองที่มีทั้งราวตากผ้ารองเท้าลูก รองเท้าภรรยา และรองเท้าของผมวางอยู่เต็มไปหมดแค่นี้ชีวิตในหนึ่งวันของผมก็มีความสุขแล้ว

แต่ถ้าช่วงไหนพอมีเวลาว่างหรือวันหยุดยาว ผมก็มักจะพาครอบครัวไปพักผ่อนที่บ้านพักเขาใหญ่ ที่นี่ผมได้อยู่กับตัวเองอย่างเต็มที่ บางครั้งผมนั่งอยู่ 5 ชั่วโมงเต็ม นั่งมองนิ่งๆ ไปเรื่อยๆ พร้อมกับทบทวนเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมาซึ่งมีทั้งความเหนื่อย ทั้งความสุข

หลายคนไม่ทราบว่านั่นเป็นความสุขของผม เพราะส่วนใหญ่เวลาเห็นภาพผมในจอทีวีมักจะมีแต่รอยยิ้มกับเสียงหัวเราะ แต่ตัวจริงของผมเป็นคนชอบความเงียบครับ และชอบนั่งคิดนั่นคิดนี่ไปเรื่อย ในหัวสมองของผมไม่เคยว่างเว้นจากเรื่องราวต่างๆ ก็ว่าได้ บางครั้งผมไปเล่นกอล์ฟแทนที่จะได้พักผ่อน ผมก็กลับคิดงานนั่นคิดงานนี่ไปเรื่อย

เมื่อก่อนผมมีสมุดจดงานอยู่สองสามเล่ม ใช้เขียนเพลง เขียนพล็อต เขียนรายการทีวีในอนาคตว่าปีหน้าจะทำอะไร หรือปีนี้พระวัดไหนที่เราอยากไปกราบไหว้แล้วยังไม่ได้ไป ครูบาอาจารย์ท่านไหนที่เราควรโทร.ไปหาแล้วยังไม่ได้โทร. ผมจะกลับมานั่งทบทวนตัวเองแบบนี้ทุกสิ้นปี เพื่อจะได้ประมวลชีวิตตัวเองว่าปีที่แล้วเราทำอะไรหรือยังปีนี้เป็นอย่างไรบ้าง และปีต่อไปเราควรทำอะไรอีก ซึ่งทั้งหมดนี้ผมเรียกว่า การสำรวจจิตตัวเอง

 

ความสำเร็จที่มาพร้อมกับธรรมะ  

จะว่าไปแล้ว ชีวิตของผมก็อยู่ใกล้ธรรมะมาตั้งแต่เด็ก ครั้งหนึ่งในชีวิตสมัยยังเด็ก เคยวิ่งเล่นซุกซนอยู่ใกล้วัดบ้านไร่ของหลวงพ่อคูณ ตอนนั้นผมกับเพื่อนเล่นเตะฟุตบอลกันเสียงดังเอะอะ หลวงพ่อคูณท่านลงจากกุฏิมาเอ็ดว่า “ไอ้หนู เงียบๆ หน่อย” ได้ยินอย่างนั้น พวกเพื่อนๆของผมก็วิ่งหนีกระจิง มีแต่ผมที่ตัวเล็กสุด วิ่งหนีไม่ทันเพื่อน เลยโดนท่านจับตัวไว้ ท่านใช้ไม้เคาะหัวผมเบาๆ แล้วพูดว่า “นี่ อย่าดื้อนะไอ้หนู”ผมจดจำคำนี้ของท่านมาได้จนถึงทุกวันนี้ และเมื่อมองย้อนกลับไปในชีวิตของตัวเอง ผมรู้สึกขนหัวลุก เพราะคิดได้ว่า “ตอนนั้นผมได้รับพรจากหลวงพ่อคูณมาเลยนะ จากเด็กบ้านนอกจนๆ ผมถึงมีวันนี้”

อีกครั้งคือตอนที่ผมกำลังจะก่อตั้งบริษัทของตัวเอง ตอนนั้นยังหวั่นๆ ว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่ เพราะตัวเองประสบการณ์ยังน้อย เราตัวเล็ก ใหญ่แต่ชื่อเท่านั้น ทุนรอนก็ไม่มี มีแต่อารมณ์อยากทำ ภรรยาก็แนะนำว่า ไปกราบหลวงพ่อคูณเสียหน่อยก็ดี เพราะก่อนออกเทปชุดสามโทนก็ไปกราบท่าน วันที่ผมไป มีคนคนหนึ่งกำลังพูดอยู่กับท่านนานมาก ส่วนผมนั่งอยู่ข้างๆ ผมก็ร้อ…รอ ยังไม่ได้คุยสักที แต่อยู่ดีๆ หลวงพ่อคูณก็หันมาพูดกับผมว่า “สำเร็จ” โอ้โห…ผมยังไม่ทันได้ถามอะไรเลยสักคำ แต่ท่านทราบว่าเราจะคุยอะไร

บางคนอาจจะคิดว่านี่เป็นความเชื่อที่งมงาย แต่ผมกลับคิดว่าบางอย่างเราสามารถพิสูจน์ได้ มีความเป็นเหตุเป็นผล แต่บางอย่างก็เหมือนเงา เราสัมผัสไม่ได้ แต่รู้ว่ามีจริง

ส่วนพระอาจารย์อีกท่านที่ผมเคารพนับถือคือ พระอาจารย์ไก่วัดตรีญาติ ที่จังหวัดราชบุรี ท่านเป็นพระอาจารย์ที่สอนการฝึกจิต ท่านเรียนจบปริญญาตรีคณะวิศวกรรมศาสตร์ และเรียนจบปริญญาโทด้านจิตวิทยา เป็นพระอาจารย์ที่เก่งในด้านการสอน สอนแบบพุทธ สอนปรัชญา สอนการใช้ชีวิต ผมไปวัดนี้กี่ครั้งก็รู้สึกสบายใจ ได้ข้อคิดและกำลังใจกลับมาใช้ในการดำเนินชีวิตมากมาย

ครั้งหนึ่งท่านเคยพูดกับผมว่า “มาดีแล้วนะ รักษาไว้ รักษาสิ่งที่มีอยู่ในใจ รักษาสิ่งที่มันติดกายเราไว้ให้ดี” ผมก็ตีความคำพูดของท่านว่า การได้มาในสิ่งต่างๆ ทำให้เราดีใจก็จริง แต่การรักษาไว้นี่สิเป็นเรื่องยาก เราต้องมีทั้งสติ ปัญญา และจิตใจที่ดีงามเพื่อรักษาไว้

อีกครั้งหนึ่งผมเคยปรึกษาท่านเรื่องงาน ท่านพูดกับผมว่า“ความสำเร็จมันไม่รอวันพรุ่งนี้ แต่มันมารออยู่ตอนนี้ นาทีนี้แล้ว ถ้าเราพร้อมทั้งใจกาย มันเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา” ฟังแล้วผมขนลุกเลยครับ ตอนขับรถกลับบ้านวันนั้น คำสอนของท่านอีกมากมายก็พรั่งพรูอยู่ในสมอง

“อุปสรรคก็เป็นความสำเร็จ ปัญหาก็เป็นความสำเร็จ ความสำเร็จมาอยู่ข้างหน้าเราแล้ว เราข้ามมันไปสิ เราสู้มันไปสิ” เป็นคำพูดของท่านที่พูดแล้วน้ำตาจะไหลครับ เพราะซาบซึ้ง ชีวิตคนเราต้องสู้สู้ด้วยสติปัญญาและกำลังใจของตัวเองจริงๆ

 

ชวนคนใกล้ตัวเข้าวัด

ผมชอบอ่านหนังสือแนวธรรมะ ปรัชญา และชอบดูหนัง บางครั้งอ่านหนังสือธรรมะสักเล่มหรือดูหนังสักเรื่อง ก็นำมาคุย นำมาตีความกับลูกน้องที่บริษัท นอกจากนั้น ผมชอบชวนลูกน้องให้ไปเข้าวัดทำบุญถวายสังฆทาน ผมคิดว่าการนำพาหมู่คณะไปทำสิ่งดีๆ ร่วมกันอย่างน้อยๆ ก็ช่วยให้เกิดความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันและความสามัคคี

ส่วนลูกๆ ทั้งสามคน แม้ผมจะไม่ค่อยมีเวลาอยู่บ้าน แต่อย่างน้อยๆก่อนลูกเข้านอน ผมจะเข้าไปคุยกับพวกเขาสัก 30 นาที เล่าให้เขาฟังว่าพ่อทำงานอย่างไร ตอนนี้การเงินของบ้านเราเป็นแบบนี้ ลูกต้องช่วยกันประหยัดนะ ส่วนลูกๆ ก็เล่าเรื่องที่โรงเรียนให้ฟัง หรือบางครั้งถ้ามีถ่ายละครต่างจังหวัด ผมก็พาพวกเขาไปด้วย เจอวัดไหนที่ร่มรื่นก็พาลูกไปไหว้พระ อย่างน้อยๆ ก็น้อมใจของเขาให้มาทางนี้ หรือเวลาผมพิมพ์หนังสือสวดมนต์แจก ก็ขอความคิดเห็นจากลูกๆ ว่าทำหน้าปกสีนี้ แบบนี้ดีไหม เพื่อให้พวกเขามีส่วนร่วมด้วย

ส่วนสิ่งที่ผมสอนลูกๆ อยู่เสมอคือเรื่องความเสมอต้นเสมอปลายและให้มีความเป็นมิตรกับคนทุกคน เจอใครก็ตาม อย่ามองแต่มุมไม่ดีของเขา ให้มองลึกลงไปว่า เขามีเหตุผลอะไรบ้างจึงต้องทำแบบนั้นแบบนี้ คนเรามีความจำเป็นไม่เหมือนกัน ชีวิตมีสองด้านเสมอ และเวลาไปโรงเรียน ใช่ว่าจะไปเรียนหนังสืออย่างเดียว ให้ไปเรียนรู้การใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นด้วย ทั้งกับเพื่อนและกับคุณครู เพราะในชีวิตของเราเราไม่สามารถทำงานคนเดียวได้ ทุกอย่างต้องทำเป็นทีม ต้องอาศัยความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

สำหรับภรรยา เราแต่งงานกันมาประมาณ 15 ปีแล้ว ผมอยากบอกว่า คนเราถ้าอยากเห็นนิสัยแท้ๆ ของตัวเอง ให้แต่งงานแล้วจะเห็นเลย ใครเป็นอย่างไร ส่วนคู่ของผม เรามีทั้งโลกส่วนตัวและโลกกลมๆ ร่วมกัน คือมีคำว่าครอบครัว มีลูก มีภาระหน้าที่การงานร่วมกัน เพราะภรรยาเข้ามาช่วยงานในบริษัท  ณ ตอนนี้เมื่อเราข้ามผ่านเรื่องราวต่างๆ มาด้วยความอดทนอดกลั้นและความเข้าอกเข้าใจ ชีวิตคู่ ทุกวันนี้จึงมีความสุขมาก

ชีวิตของคนเรา บางครั้งก็มีทุกข์ บางครั้งก็มีสุข ไม่ต่างกับฤดูกาลต่างๆ บางครั้งฝนก็ตกหนัก บางครั้งอากาศก็หนาวจัด แต่ถ้าเรามีสติ รู้ว่าตอนนี้เรากำลังเผชิญกับฤดูไหน ผมคิดว่าปัญหาไหนๆเราก็แก้ไขได้

สุดท้าย ต่อให้การศึกษาสูงแค่ไหน ผมคิดว่าสิ่งที่คุณไม่ควรลืมศึกษาคือใจของตัวเอง หมั่นศึกษาเรียนรู้ใจของตัวเองบ้าง อย่าปล่อยให้ลอยเคว้งคว้างไปกับกระแสของโลกมากนัก เพื่อวันหนึ่งคุณจะได้ไม่ต้องมานั่งตั้งคำถามกับตัวเองว่า ความสุขที่แท้จริงในชีวิตอยู่ที่ไหนกันแน่…ไงล่ะครับ

 

(เรื่อง ธงชัย ประสงค์สันติ เรียบเรียง เสาวลักษณ์ ศรีสุวรรณ

ภาพ สรยุทธ พุ่มภักดี / สไตลิสต์ รุจิกร ธงชัยขาวสอาด)

Secret Magazine (Thailand)


บทความน่าสนใจ

“เปลี่ยน” หรือไม่ขึ้นอยู่ที่ใจเราเอง ตั๊ก นภัสกร มิตรเอม

© COPYRIGHT 2024 AME IMAGINATIVE COMPANY LIMITED.