“เปลี่ยน” หรือไม่ขึ้นอยู่ที่ใจเราเอง ตั๊ก นภัสกร มิตรเอม
“ทุกคนมีจุดเปลี่ยนในชีวิตทั้งนั้น ไม่จากตัวเองก็จากปัจจัยแวดล้อมที่เข้ามากระทบ” สำหรับผม ตั๊ก นภัสกร มิตรเอม หลังผ่านร้อนผ่านหนาวมาสี่สิบกว่าปี ผมก็มั่นใจว่าจุดเปลี่ยนทั้งหมดมาจากตัวเองล้วนๆ ไม่ได้มีใครมาบังคับหรือกำกับให้เป็นไปทั้งนั้น
ผมเป็นลูกชายคนที่สองของบ้าน มีพี่สาว 1 คน และน้องชายอีก 1 คน ด้วยเหตุนี้ผมจึงเป็น ลูกคนกลาง หรือ Wednesday Child พอดีเป๊ะ แรกๆ ผมก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเป็นเด็กมีปัญหาอย่างที่หลายทฤษฎีตีความไว้ เพราะในช่วงป. 1 – ป. 2 ผมก็เป็นเด็กเรียนดี ความประพฤติดี ไม่มีปัญหาอะไร จะมาเริ่มเละเทะก็ช่วงขึ้นป. 3 นี่แหละครับ
แต่จะว่าไปความเกเรของผมมาจากหลายปัจจัย ตั้งแต่ความน้อยเนื้อต่ำใจที่รู้สึกว่าตัวเอง “มีไม่ครบ” เพราะหลังพ่อกับแม่แยกทางกัน ลูกๆ สามคนก็อยู่ในความดูแลของแม่ ส่วนพ่อย้ายออกไปอยู่ที่อื่น นานๆ ทีถึงจะมาเยี่ยม แถมพอขึ้นป. 3 ครูประจำชั้นก็พูดจาไม่ดี ชอบดุว่าและตีผมโดยไม่มีเหตุผล นั่นทำให้ผมเริ่มแอนตี้การเรียน โดดเรียนแทบทุกวัน และไม่เคยส่งการบ้านเลย พอสอบปลายภาคก็เลยทำข้อสอบไม่ได้…สอบได้ที่โหล่ของห้อง
พอขึ้นชั้นป. 4 ผมมีโอกาสได้เป็นหัวหน้าห้อง (โดยบังเอิญ) จึงต้องมีหน้าที่ดูแลเพื่อนๆ ให้อยู่ในระเบียบวินัย ทั้งๆ ที่ผมนี่แหละ ตัวแสบที่สุดของห้อง ทั้งโดดเรียน เกเร คุยในห้อง ฯลฯ แต่ในเมื่อครูไว้วางใจขนาดนี้ ผมก็ต้องทำให้ดีที่สุด
เริ่มจากทำตัวให้เป็นแบบอย่างที่ดีให้เพื่อนเห็นก่อน จากนั้นถึงจะออกคำสั่งกับเพื่อนๆ ได้ ในที่สุดเพื่อนๆ ทุกคนก็เชื่อฟังผมและตั้งใจเรียนมากขึ้น และอานิสงส์ของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ยังส่งผลให้ผมสอบได้อันดับต้นๆ ของห้องด้วย
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ครูหลายคนช็อก โดยเฉพาะครูป. 3 ที่มาเล่าวีรกรรมของผมให้ครูป. 4 ฟังถึงที่ห้อง เพราะไม่เชื่อว่าผมจะเป็นเด็กดีจริง ส่วนครูป. 4 ก็ได้แต่ยืนยันว่า “ที่ผ่านมาเขาจะเป็นอย่างไรฉันไม่รู้ ฉันรู้แค่ว่าที่ทุกอย่างในห้องนี้ดีขึ้นก็เพราะเขาช่วยจัดการ” และคำพูดของครูในวันนั้นก็สร้างความภาคภูมิใจให้ผมเป็นครั้งแรกในชีวิต
จากนั้นผมก็เรียนดีมาเรื่อยๆ จนกระทั่งขึ้นม. 2 ชีวิตจึงเริ่มกลับเข้าสู่วัฏจักรเดิมๆ อีกเมื่อผมเจอครูใจร้ายแบบตอนป. 3 ผมต่อต้านการเรียนทุกวิถีทาง ทั้งโดดเรียน สูบบุหรี่ กินเหล้า เที่ยวกลางคืน ฯลฯ ยิ่งพอขึ้นม. 3 ชีวิตก็ยิ่งเละเทะขึ้น ดังนั้น พอจบม. 3 ปั๊บพ่อกับแม่จึงตัดสินใจย้ายผมออกไปเรียนม. 4 ที่โรงเรียนย่านชานเมืองแทน
โรงเรียนใหม่นี้ทำให้ผมได้เรียนรู้ชีวิตในอีกแง่มุมหนึ่ง เพราะเพื่อนๆ ส่วนใหญ่เป็นลูกชาวสวน แต่ละคนมีชีวิตที่ติดดินไม่ฟุ่มเฟือย ผมก็เลยพลอยมีชีวิตแบบนั้นไปด้วย แต่ใช่ว่าชีวิตจะราบเรียบไปหมด เพราะผมกับเพื่อนๆ มีโอกาสออกไป “บู๊” อยู่บ่อยๆ แต่ผมก็ไม่เคยทำร้ายใครให้เจ็บ จะเป็นฝ่ายอุ้มเพื่อนไปหาหมอเสียมากกว่า
หลังเรียนจบแม้จะเอนทรานซ์ไม่ติดแต่ผมก็ยังรักที่จะเรียนอยู่ จึงขอไปสมัครเรียนด้านการโรงแรมที่มหาวิทยาลัยรังสิตแทน แต่เรียนได้แค่ปีเดียวผมก็ลาออกเพราะรู้สึกว่า“ไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการ” ตอนนั้นพ่อกับแม่เข้าใจว่าที่ผมเลิกเรียนเพราะเกเร และถ้าปล่อยไว้อย่างนี้ผมคงไม่มีอนาคตแน่ๆ
ด้วยความหวังดีพ่อจึงชวนให้ผมไปฝึกงานกับพ่อแทน แต่ด้วยความที่ผมแอบต่อต้านพ่อมาตั้งแต่เด็กๆ ทำให้ผมปฏิเสธพ่อแบบหัวชนฝา โชคดีว่าตอนนั้นมีวิทยาลัยด้านการโรงแรมอีกแห่งเปิดรับสมัครอยู่ และด้วยความที่ผมใฝ่ฝันอยากทำงานเป็นเชฟหรือไม่ก็ทำงานโรงแรมอยู่เป็นทุนเดิม ผมจึงตัดสินใจไปสมัครทันที
สุดท้ายถึงจะเป็นสาขาที่ชอบ วิชาที่เรียนตรงใจทุกอย่าง แต่ผมก็ยังเกเรเหมือนเดิม เช้าไปเรียนตกเย็นกินเหล้าแล้วก็เมากลับมาบ้านแทบทุกวัน หลังจากแม่เห็นพฤติกรรมของผมมานานแม่ก็เริ่มสื่อสารบางอย่างกับผม…
เช้าวันหนึ่งหลังจากสร่างเมา ผมตื่นขึ้นมาเตรียมตัวจะอาบน้ำเพื่อไปเรียนตามปกติ อยู่ๆ ก็เห็นกระดาษโน้ตเล็กๆ แปะไว้ที่ประตูห้องว่า “ลูกไปเที่ยวแม่ไม่ว่าอะไร แต่เงินทองที่บ้านมันร่อยหรอลงทุกวันๆ นะลูก” แทนที่โน้ตเล็กๆ จะสะกิดใจผมขึ้นมาบ้าง ผมกลับเขียนตอบแม่กลับไปว่า “ขอโทษครับ แต่ผมก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร”
จากนั้นมาไม่นานพ่อก็เป็นอีกคนที่ทนพฤติกรรมผมไม่ได้ ถึงกับขับรถมาที่บ้านเพื่อขอร้องให้ผมหยุดพฤติกรรมเหล่านั้นเสียที ลำพังแค่คำขอร้องของพ่อคงไม่สามารถทำให้ผมได้หยุดคิด ถ้าหากวันนั้นพ่อไม่พูดออกมาว่า
“รู้ไหมว่าเงินที่เรามีใช้จ่ายทุกวันนี้แม่เขาได้มายังไง แล้วข้าวของในบ้านหายไปกี่ชิ้นแล้วเคยรู้ไหม”
เพียงเท่านั้นผมรู้สึกใจหายวาบชาไปทั้งตัว เพราะสิ่งที่พ่อพูดถึงนั้นหมายความว่าที่ผ่านมาแม่ต้องเอาของในบ้านไปขายหรือจำนำหลายชิ้นแล้ว เพื่อเอาเงินมาให้ผมกินเหล้าสูบบุหรี่และเที่ยวโดยที่ผมไม่เคยรู้มาก่อน!
หลังจากได้คิดผมก็เริ่มทำตัวดีขึ้น (อีกนิด) และเรียนจบวิทยาลัยแห่งนี้จนได้ เท่านั้นไม่พอ ผมยังตัดสินใจไปเรียนต่อปริญญาตรีที่วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดลอีก การได้เป็นนักศึกษาของที่นี่ทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนอีกครั้ง เพราะการมีสังคมใหม่ๆ มีการเรียนที่เข้มงวดมากขึ้น ทำให้ผมต้องพลอยปรับตัวตามไปด้วย ชีวิตช่วงนี้ดูเหมือนอะไรๆจะดีขึ้นจนกระทั่งผมเริ่มมีแฟน แต่ด้วยความที่ผมยังแอบเกเรแอบเที่ยวอยู่ เลยทำให้เขาต้องเสียใจอยู่บ่อยครั้ง แต่ผมก็ไม่สนใจ ช่วงนั้นสิ่งดีๆอีกอย่างที่เข้ามาในชีวิตผมคือการได้รู้จักกับ ครูเล็ก – ภัทราวดี มีชูธน ครูซึ่งทำให้ผมรักในศาสตร์การแสดงมาจนวันนี้
ในที่สุดผมก็ประคับประคองชีวิตมาจนเรียนจบปริญญาตรี แต่แล้วจู่ๆ วันหนึ่งผมก็เริ่มย้อนคิดถึงชีวิตที่ผ่านมาที่มีแต่เรื่องแย่ๆ ทั้งเหล้า บุหรี่ ผู้หญิง ผมทำไม่ดีกับใครสักคน ทำให้ทุกคนเสียใจและเริ่มรู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่าเลย แม้แต่ “แม่” ผู้หญิงที่ต้องเหนื่อยต้องอดทนทุกอย่างเพื่อคนเลวๆ อย่างผม โดยที่ไม่เคยบ่นไม่เคยว่าไม่เคยห้าม ผมก็ยังทำไม่ดีกับแม่
ผมจึงเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่าพฤติกรรมที่ผ่านมาในอดีต และสิ่งที่ผมเป็นอยู่ในปัจจุบันกำลังหล่อหลอมให้ผมเป็นอะไรผม ควรจะ “พอ” เสียทีดีไหม ในที่สุดผมก็ได้คำตอบว่า “ถึงเวลาต้องหาทางออกให้ชีวิตสักที เผื่อจะได้ความรู้ใหม่ๆ มาสอนตัวเองบ้าง”
แล้วภาพในวัยเด็กก็ย้อนกลับเข้ามาในความคิด ภาพพ่อแม่และลูกๆ สามคนนั่งไหว้พระสวดมนต์ ภาพแม่สอนพวกเรานั่งสมาธิ ภาพแม่พาเราไปฟังธรรมกันทุกๆ อาทิตย์ ภาพเหล่านี้ทำให้ผมนึกถึง “ความสงบ” และ “ความสุข” ขึ้นมาได้ สิ่งเหล่านี้มันมากกว่าการกินเหล้าสูบบุหรี่หรือเที่ยวเตร่ไม่รู้กี่ร้อยกี่พันเท่า
ผมจึงตัดสินใจว่า “ผมจะบวช”
แน่นอนว่าการตัดสินใจครั้งนี้สร้างความตื่นตะลึงให้แม่มาก แต่ท่านก็ดีใจที่ผมเลือกทางนี้ ในที่สุดผมจึงได้บวชที่วัดป่าแห่งหนึ่งในจังหวัดจันทบุรี และเพราะรู้ดีว่าผมมีเวลาบวชไม่นาน ตลอดหนึ่งเดือนกว่าที่อยู่ในผ้าเหลืองผมจึงตั้งใจรักษาศีลและปฏิบัติกิจสงฆ์อย่างเคร่งครัดที่สุด
การบวชในครั้งนั้นนอกจากจะทำให้ผมพบความสงบในชีวิตอีกครั้งแล้ว ยังทำให้ผมได้รู้คำตอบว่า “ค่าของคนอยู่ที่ไหน” อย่างน้อยเราต้องรักษาศีลห้าให้ได้ เพราะถ้าเรารักษาศีลห้าได้เราก็จะเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ เราจะไม่ทำร้ายตัวเองและไม่เบียดเบียนใคร ชีวิตก็จะมีความสุขในที่สุด
หลังสึกออกมาหลายคนสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของผม แม้แต่ครูเล็กเองก็ยังเอ่ยปากว่า “ไอ้ตั๊กคนเดิมมันหายไปไหนแล้ว” ถ้าพูดง่ายๆ ก็คือผมดูเป็นผู้เป็นคนมากขึ้นนั่นเอง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะเลิกนิสัยเดิมๆ ได้ทั้งหมดแค่เพลาๆ ลงบ้างเท่านั้น แต่มาเลิกแบบเบ็ดเสร็จได้จริงๆ ก็ตอนที่ผมได้เจอกับ ป๊อก (ภรรยา – คุณปิยธิดา วรมุสิก) นี่เอง
แม้ระยะแรกที่เจอกันป๊อกจะเป็นฝ่ายปรับตัวเข้าหาผมมากกว่า แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปความรักของผมกับป๊อกที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็ทำให้รู้ว่า “ผมต้องหยุดเสียที” ทั้งๆ ที่ป๊อกเป็นอีกคนที่ไม่เคยขอร้องให้ผมหยุดหรือเปลี่ยนเลยสักครั้ง หลังจากวางแผนว่าเราจะแต่งงานกันในพ.ศ. 2555 หนึ่งปีก่อนหน้าผมก็ตัดสินใจเลิกพฤติกรรมทุกอย่างแบบเด็ดขาด โยนบุหรี่ทิ้ง เลิกเหล้า และเลิกเที่ยว ตั้งใจทำงานเก็บเงินอย่างเดียว เพราะรู้สึกว่า
“ชีวิตผมที่ผ่านมามันเหนื่อย มีแต่ปัญหาและความขัดแย้ง เป็นชีวิตที่แย่มากๆ สาเหตุก็ไม่ใช่ใคร ผมทำตัวเองทั้งนั้น ไม่มีใครบังคับเลย วันนี้ผมพอกับชีวิตแบบนั้นแล้วจริงๆ ผมจะเปลี่ยนตัวเองเป็นครั้งสุดท้าย เพื่อให้มี ‘ค่า’ พอที่จะคู่ควรกับป๊อก รวมทั้งให้แม่และครอบครัวภูมิใจว่าผมก็ดีกับเขาได้เหมือนกัน”
ทุกวันนี้ผมอยากบอกพ่อแม่ พี่สาว น้องชายว่า “ผมรักทุกคนนะ” แล้วผมก็รู้ว่า “ทุกคนก็รักผมเหมือนกัน ผมไม่ได้อยู่คนเดียวในโลกอย่างที่คิด (มาตลอด)” ทุกสิ่งที่ทำไปไม่ได้เกิดผลดีเลย มีแต่ทำให้คนเสียใจและมีแต่สูญเสีย
ผมบอกได้เลยว่าวันหนึ่งถ้าเราคิดได้จริงๆ เราจะรู้ว่า “จุดเปลี่ยนในชีวิต” มาจากตัวเราเองทั้งนั้น โดยเฉพาะการตัดสินใจว่าเราจะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยน
ที่มา: นิตยสาร Secret
บทความน่าสนใจ
Dhamma Daily : ถ้ารักงานแต่ เบื่อเจ้านาย เพราะไร้ความยุติธรรม ทำอย่างไรดี ?
อยู่กับทุกข์ให้เป็น ก็ไม่เป็นทุกข์ บทความให้กำลังใจจาก พระไพศาล วิสาโล
“รักษากาย วาจา ใจ” เคล็ดลับการใช้ชีวิตของ หน่อง อรุโณชา ภาณุพันธุ์
วิธี ให้อภัยตัวเอง และ รักตัวเอง เมื่อทำผิดพลาดไป