เผยเคล็ดลับพลิกดินสู่ดาว โค้ชคิ้ม กับ หนุ่ม เดอะวอยซ์
โค้ช เจนนิเฟอร์ คิ้ม ทัก หนุ่ม เดอะวอยซ์ สมศักดิ์ รินนายรักษ์ ซึ่งกำลังแต่งหน้าเพื่อเตรียมถ่ายปกให้กับนิตยสาร Secret ก่อนจะคุยกึ่งสอนต่อว่า
“ถ้าหนุ่มมีผลประโยชน์มาก ๆ คนที่เคยเป็นเพื่อนจะไม่เป็นเพื่อน คนที่เคยเป็นมิตร ถ้าไม่ได้ประโยชน์จากเราอีกแล้วก็จะกลายเป็นศัตรูได้”
เด็กหนุ่มรับฟังโดยไม่โต้เถียง เพราะดูเหมือนว่าบางเรื่องราวที่เขาประสบมาระหว่างเดินทางกลับบ้านที่เชียงรายเป็นครั้งแรกหลังจากชนะเลิศรายการ เดอะวอยซ์ ไม่ผิดไปจากที่โค้ชบอกสักเท่าใดนัก
ก่อนหน้าจะมาประกวด เดอะวอยซ์ เขายอมรับว่า ไม่รู้เหมือนกันว่าเรียนจบไปแล้วจะทำไปอะไร
“ตอนมาประกวด ผมก็ไม่ได้คิดว่าจะชนะ ไม่ได้คิดว่าจะเข้ารอบลึก ๆ คิดว่าคงได้แค่รอบบลายนด์ออดิชั่น อย่างน้อยก็ได้ประสบการณ์ใหม่ ๆ พ่อแม่ผมไม่หวังว่าผมจะประสบความสำเร็จเรื่องร้องเพลง จริง ๆแล้วท่านก็ไม่ได้หวังว่าผมจะประสบความสำเร็จด้านไหนเลย พอเราทำได้ท่านก็ดีใจด้วย ตอนนี้ผมอยากเป็นนักร้อง”
เขาพูดน้อย ตอบสั้น แต่ทั้งโค้ชและทีมงานบอกว่า เขาแอบฮาไม่น้อยเวลาที่ได้พูดคุยกับเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน คนเป็นโค้ชจึงเป็นฝ่ายเล่าถึงวินาทีที่พิธีกรประกาศว่าเขาเป็นผู้ชนะ
“ตอนที่ประกาศว่าหนุ่มชนะ เราร้องไห้ฮือ ๆ ก้องเข้ามากอดเป็นคนแรกจากนั้นแสตมป์ก็เดินมากอด แล้วโจ้ก็ตามมา แสตมป์บอกก่อนแข่งอีกว่า วันนี้เป็นวันของพี่ หนุ่มต้องได้
“ส่วนตัวเองเดินไปกอดหนุ่ม แล้วบอกว่า ‘คนแพ้น่ะพูดน้อย แต่คนชนะยิ่งต้องพูดน้อยกว่า จำไว้นะหนุ่ม’ เขาก็บอกว่า ‘ครับ’ หลังรอบที่เขาร้องเพลง ‘หลงตัวเอง’ ก็บอกเขาว่า อย่าลืมตัวนะ อย่าหลงตัวเองนะ คนดูชอบหนุ่มที่หนุ่มเป็นแบบนี้ถ้าลืมตัวพี่จะเอาหนังสติ๊กรัดไข่ เขาก็หัวเราะ
“เราบอกในสิ่งที่เขาควรทำ สิ่งที่เรากลัวที่สุดคือ คนลืมตัว คือลืมแล้วจะสอนอะไรก็ไม่ได้แล้ว บอกเขาว่า ที่พี่อยู่ได้ถึงทุกวันนี้ไม่ใช่เพราะเก่งนะ แต่คนเขาเอ็นดูคนอายุน้อยกว่าก็เอ็นดูพี่ เพราะเราไม่ได้ไปเยอะอะไรกับเขา ทำงานแบบให้เกียรติคนอื่น มือมีสองข้าง ยกพนมไหว้เข้าไว้เดี๋ยวจะได้ดีเอง อย่าเรื่องมาก กองถ่ายมีอะไรให้กินก็กินไป”
“หนุ่มถูกด่าทุกวัน แต่เขารู้ว่าทำแบบนี้เพราะรักเขานะ เราอาจไม่ใช่คนพูดจาเพราะแล้วก็ไม่ค่อยชมลูกหลาน ไม่รู้ว่ารับมาจากตายายซึ่งเป็นคนไทยหรือเปล่า คนโบราณมักจะไม่ชมลูกตัวเอง การกดลูกหลานให้เจียมเนื้อเจียมตัว เพราะอยากให้เด็กมองเห็นสิ่งด้อยของตัวเองและยอมรับมันให้ได้ ซึ่งเป็นเรื่องดีที่ควรสอนเด็ก ถ้าเขาทำดีเราก็ชมแต่ก็สำทับต่อว่าอย่าเหลิงนะ คือสอนหลานตัวเองอย่างไรก็สอนหนุ่มอย่างนั้น
“ปกติจะพูดกันแบบนักเลง ๆ เหมือนคุยกับนักมวย เราไม่อยากให้เด็กสะเงาะสะแงะ เพราะปกติทีมงานก็โอ๋อยู่แล้ว พอได้ตำแหน่งก็ยิ่งโดนยกหางขึ้นไปอีก จากคนจะกลายเป็นคางคก (ขึ้นวอ) กันอยู่แล้วก็กลัวว่าเขาจะเป็นอย่างนั้น
“เราเคยโดนอะไรมาบ้างก็เล่าให้เขาฟัง และบอกว่า อย่าจริงเท่าพี่ จริงสักครึ่งเดียวพอ แต่เขาเป็นผู้ชาย พูดน้อยอยู่แล้วก็เลยไม่ค่อยมีปัญหาอะไร แล้วอย่าเอาแต่ใจตัวเอง จงร้องเพลงอย่างนักร้องและทำตัวอย่างนักมวย เพราะนักมวยนี่อึด โดนเตะจนตัวเขียวแต่ไม่เคยมีใครออกมาร้องแรก-แหกกระเชอ นักร้องก็ควรจะมองตัวเองให้เป็นแบบนั้น จะได้ไม่รู้สึกว่าทำไมคนนั้นคนนี้ทำกับฉันแบบนี้ ใครทำอะไรนิดหน่อยก็หงุดหงิด หยิบน้ำผิดก็หงุดหงิด จะกินน้ำอุ่น เอาน้ำเย็นมาให้ก็โกรธ ๆ”
พอหันกลับมาถามหนุ่มว่า เขารู้สึกอย่างไรกับวิธีการสอนของโค้ชแบบนี้
“แรก ๆ ก็กลัวครับ เพราะไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อน พ่อกับแม่เวลาด่าก็ด่าอย่างเดียวสอนก็สอนอย่างเดียว ไม่เคยด่าปนสอนแบบนี้ แต่ตอนนี้รู้สึกดีเวลาที่พี่คิ้มด่าเพราะแสดงว่าเป็นห่วงเรา”
เขายังพูดถึงความประทับใจที่มีต่อโค้ชคิ้มว่า
“พี่คิ้มดูแลทุกอย่าง ไม่เฉพาะผมแต่ดูแลทุกคนในทีมดีหมด ถ้าให้ผมยกตัวอย่างก็ไม่รู้จะเล่าเรื่องอะไร เล่าไม่ถูก รู้แต่ว่าพี่คิ้มเป็นคนดี”
นั่นเป็นบทสรุปของเขาเกี่ยวกับชีวิตในวันนี้ ในขณะที่โค้ชคิ้มยังมีเรื่องราวอีกมากมาย รวมถึงเคล็ดลับในการปั้นดินก้อนนี้ให้กลายมาเป็นดาวมาเล่าให้ฟัง
“การเป็นโค้ชผู้หญิงคนเดียวของรายการ เดอะวอยซ์ ต้องเรียกว่าเป็นทุกขลาภเพราะโดนด่าตลอด โดยเฉพาะในโซเชียลมีเดีย ถึงจะมีคนที่ช่วยปกป้องเราเยอะแต่คนที่ตั้งหน้าตั้งตาด่าก็ไม่น้อย บางคนต้องเรียกว่าตั้งใจใช้ตัวหนังสือทำร้ายคนอื่นส่วนใหญ่ที่ด่ากันเป็นเรื่องของอารมณ์ล้วน ๆไม่มีเหตุผล บางคนพยายามเต้าเรื่องราวให้มันกลายเป็นเหตุผล ทั้งที่ไม่ใช่
“คนในโลกโซเชียล บางครั้งต้องบอกว่าไม่มีหัวใจ สมัยก่อนเวลาที่คนไปรบแพ้มาหรือทำผิดอะไรมาก็แล้วแต่ หากเคยทำคุณงามความดีมาก่อน เวลาพิพากษาลงโทษเขายังมีลดหย่อนผ่อนโทษ เช่น ถ้าโทษประหารชีวิต ก็อาจลดเหลือเนรเทศออกนอกเมือง หรือเอาไปจองจำจนกว่าจะตายแต่เป็นโค้ชรายการนี้ คนดูบางคนไม่สนใจว่าเคยทำอะไรที่ถูกใจเขามาบ้างหรือไม่ เขานับเป็นยก ๆ ช่วงไหนเลือกคนถูกใจยกหางรอเลย
“เคยอ่านข้อเขียนของพระอาจารย์ชยสาโร ท่านบอกว่า มนุษย์ทุกวันนี้วัดทุกอย่างเป็นตัวเลข ยอดต่าง ๆ ยอดเงินยอดไลค์ ยอดฟอลโล่ แต่ความดีความชั่วมันละเอียดมาก ไม่สามารถเอาตัวเลขมาวัดได้ว่าใครดีหรือชั่ว จึงไม่ควรเอาใจไปยึดติดว่ายอดไลค์เท่าไหร่
“เช้าตื่นขึ้นมาเราควรจะอยู่กับตัวเองได้ฟังเสียงนกร้อง เห็นแสงแดดที่เราไม่รู้ว่าจะมีอีกกี่วันที่จะได้เห็น วันนี้อาจเป็นแดดสุดท้ายที่เราได้เจอ ไม่ใช่ตื่นมาเขี่ยดูไอจีใครทักก็ต้องตอบ ไม่ตอบก็กลายเป็นเรื่องแล้วเราก็ไม่อยากรู้เรื่องคนอื่น
“จริงอยู่ เราชอบพูดว่า เราเป็นแค่มนุษย์คนหนึ่ง รัก โลภ โกรธ หลง โมหะโทสะ มีครบ แต่นั่นเป็นโหมดของพรพรรณชุนหชัย แต่ถ้าสวมบทเป็นเจนนิเฟอร์ คิ้มจะทำสิ่งเหล่านี้ไม่ได้เลยสักข้อ เพราะเราเป็นนักร้อง เรามีหน้าที่ให้ความสุข เราจะไปเที่ยวระบายความทุกข์ของเราในไอจีไม่ได้มันผิดหลักการของการเป็นนักร้อง”
ทุกวันนี้เวลาที่มีคนเล่าให้ฟังเรื่องคำวิพากษ์วิจารณ์ที่ไม่ยุติธรรมกับเธอนักโค้ชคิ้มยอมรับว่า
“ก็ยังโมโหนะ แล้วก็จะบ่น ด่าอะไรไปเรื่อยเปื่อย พูดจาซ้ำไปซ้ำมา วกวนวันนั้นก็จะย้ำคิดย้ำทำเรื่องนี้ไปทั้งวันจนหลับตื่นขึ้นมาก็ยังเป็นอยู่ จนกระทั่งวันที่สองตอนกลางคืน เริ่มรู้สึกว่าหมดแรง ไม่มีแรงจะโกรธแล้ว เพราะโกรธไปหมดแล้วจากนั้นก็จะเริ่มรู้สึกว่าไม่ดีเลยนะ โกรธไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาอะไรเลย เหนื่อยก็เหนื่อย พอวางได้ก็คิดได้ว่า ใครอยากว่าอะไรก็ว่าไป”
ส่วนเคล็ดลับที่ทำให้ประสบความสำเร็จในการเป็นโค้ชครั้งแรก โค้ชคิ้มเล่าว่า
“แรก ๆ ก็เห็นว่าเอารายการมาจากฝรั่งซึ่งชอบให้นักร้องพ่นไฟแข่งกัน จึงทำตามแบบนั้น ปรากฏว่าคนไทยไม่ชอบ ชอบเถิดเทิง อย่ามาแบตเทิล ชอบฟีเจอริ่งเพราะฉะนั้นปีต่อมาก็ไม่มีการพ่นไฟ เพราะคนดูไม่ชอบ แล้วอย่าร้องเพลงฝรั่งเยอะคนดูไม่เก็ต ไม่ใช่ว่าคนไทยไม่มีการศึกษาแต่มันไม่ตรงกับจริต คนไทยกินข้าว อยู่ดี ๆเอารีซอตโต้หรือสปาเกตตีให้กินบ่อย ๆ ก็ไม่ชอบ นาน ๆ ครั้งพอได้
“สำหรับหนุ่ม ตั้งแต่รอบแรกถึงรอบแบตเทิลไม่ได้คิดว่าเขาจะชนะ รอบน็อก-เอ๊าต์ก็เริ่มเห็น แต่ก็กลัวพลิก เพราะทุกโชว์ต้องเริ่มใหม่หมด ลองสังเกตดู บางคนมียอดวิวถึง 20 ล้านวิวในรอบบลายนด์ออดิชั่นแต่รอบต่อ ๆ มาหายไปเลย สิ่งที่ได้เรียนรู้คือ อย่าพีคตั้งแต่แรก ๆ อย่ารีบเอาเมน-คอร์สมาเสิร์ฟเป็นจานแรกต้องค่อยๆพีคแล้วตบท้ายด้วยขนมหวานให้ซาบซึ้งใจชื่นอกชื่นใจกันไป คนไทยชอบแบบนี้ เหมือนกินข้าวเสร็จแล้วต้องกินขนมหวานล้างปากเพราะฉะนั้นต้องพีคก่อนสัปดาห์สุดท้าย แล้วตบด้วยความซาบซึ้งใจ เหมือนรสชาติยังค้างอยู่ในปาก คนยังจำรสชาติก่อนหน้านั้นได้
“เรื่องที่ประทับใจที่สุดคือ ความเป็นทีมเวิร์ค รักทุกคนที่ทำงานกับเรา ทั้งทีมผู้ผลิต ทีมไจแอนท์ที่เป็นมิวสิคไดเร็คเตอร์วงบีกินที่เป็นวงแบ็กอัพ และทีมงานเบื้องหลังทุกคนที่อาจเอ่ยชื่อไม่หมด เขามีจิตเมตตาสูงมาก ตอนที่หนุ่มซ้อมเพลง ‘หลงตัวเอง’คนพวกนี้นั่งกองอยู่กับพื้นเหมือนเงาะเน่าเชียร์กันใหญ่ เหมือนเชียร์มวย เห็นกันชัด ๆ ว่าเชียร์ใคร ไม่ยอมไปทำงานอื่น จนเราต้องบอกว่า เอ่อ คุณลำเอียงกันเกินไปไหมคะ ไม่ต้องสนุกขนาดนั้นก็ได้ เดี๋ยวคนอื่นจะว่าเอา
นอกจากนั้นโค้ชคิ้มยังได้เรียนรู้เรื่องราวบางอย่างเพิ่มขึ้นอีกด้วย
“เรื่องแรกคือ คนดูใหญ่ที่สุด คือไม่ว่าเขาจะด่าเราแค่ไหน ยังไงก็ต้องตามใจคนดู ไม่ว่าเราจะมีชื่อเสียงหรือพรสวรรค์หรืออะไรก็แล้วแต่ เราไม่สามารถเอาชนะคนดูได้ และอีกเรื่องคือ เราต้องยอมพ่ายศึกเพื่อจะชนสงคราม เรายอมปล่อยกีตาร์ไปเพื่อให้หนุ่มเข้ารอบ เพราะรู้ว่าประชาชนชอบหนุ่มมากกว่า แล้วผลออกมาแบบนั้นจริง ๆ คือถ้าจะใช้สิทธิ์ของความเป็นโค้ชดันกีตาร์เข้ารอบก็สามารถทำได้ แต่นั่นคือการขัดใจคนดู และถ้าเราไม่ยอมแพ้ศึกครั้งนี้ เราจะพ่ายสงคราม
“แต่เรื่องที่สำคัญที่สุดคือ การปล่อยวาง ตอนที่ทุกคนลุ้นว่าหนุ่มจะชนะหรือไม่เราไม่ลุ้นแล้ว แค่คิดในใจว่า หนุ่มเอ้ยจะดีจะชั่วก็อยู่ที่ตัวเองแล้วละ พี่ปล่อยมือแล้ว คือถึงที่สุดแล้วเราก็ต้องปล่อยวางถึงที่สุดแล้วมนุษย์ต้องตาย เรื่องต้องจบทุกอย่างเป็นไปตามกรรมที่เราทำ บุญที่เราทำ”
หลังจากรายการจบ โค้ชคิ้มยังคงดูแลลูกทีมต่อไป ซึ่งไม่พ้นเสียงวิพากษ์-วิจารณ์อีก
“หลายคนมองว่าหน้าที่เราควรจะจบตั้งแต่ตัดสินแพ้ชนะไปแล้ว ทำไมยังวุ่นวายกับเด็ก ต้องบอกเลยว่า…ฉันไม่ได้กำลังดูแลเด็กกรุงเทพฯ แต่กำลังดูแลเด็กดอย พูดภาษาไทยกลางยังกึก ๆ กัก ๆ ยังไม่เข้าใจความคิดของคนกรุงเทพฯ มือยังอ่อนที่จะรับมือกับคนเลว ๆ ที่เข้ามาหา เราเป็นโค้ชในชีวิต จะบอกเขาว่าอย่าร้ายนะ ถ้าต้องร้ายเดี๋ยวพี่จัดการให้
“เรื่องเงินนี่ไม่ยุ่งเลย ก็มีคนเสียผลประโยชน์ไปโพสต์นั่นนี่นู่น สงสัยนั่นสงสัยนี่ เจ้าตัวยังไม่สงสัยเลย ทุกวันนี้ถ้าจะผิดหรือถูกอย่างไรก็ค่อย ๆ บอกกันไปถ้าวันไหนเขาไม่ฟังแล้วก็จะหยุดสอน เราบอกเขาว่า กว่าจะได้มาก็ยาก รักษาไว้ให้นานยากที่สุดเลย”
ส่วนอนาคตของลูกทีมคนนี้ คนเป็นโค้ชเชื่อว่า “ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงเจนนิเฟอร์ คิ้ม”
Secret BOX
“จงร้องเพลงอย่างนักร้องและทำตัวให้อึดอย่างนักมวย”
–โค้ชเจนนิเฟอร์ คิ้ม
เรื่อง ปถวิกา ภาพ วรวุฒิ วิชาธร
บทความน่าสนใจ
ดนตรีจิตอาสา ความสุขในทุกบันไดเสียง
“มีตำหนิ” เรื่องจริงของหญิงมีตำหนิ (ทางใจ)
ชวนเที่ยว 5 วัด ลดเครียด-ใจสงบวันหยุด
แพนเค้ก-เขมนิจ กับ การเรียนรู้บนโลกที่ไม่หยุดนิ่ง
ภาวนาครอบครัว “หายใจสงบ เดินเป็นสุข” ณ มูลนิธิหมู่บ้านพลัม