ผมเป็นผู้ชายธรรมดาที่ตื่นแต่เช้าออกไปทำงาน
เพื่อเลี้ยงลูก เลี้ยงเมีย แต่หลังจากอุบัติเหตุในวันนั้น
ชีวิตของผมก็ไม่เหลืออะไรเลย แม้แต่ผิวหนังที่ห่อหุ้มใบหน้า…
ผมทำงานที่บริษัทก่อสร้างแห่งหนึ่งและทำงานทุกวันไม่เว้นแม้แต่วันหยุดสุดสัปดาห์ แน่นอนว่าเจ้าของบริษัทเอ็นดูและไว้วางใจผมมาก ผมทำกำไรให้บริษัทปีละหลายสิบล้านบาท ในขณะเดียวกันก็ได้ส่วนแบ่งก้อนโตและเงินเดือนเดือนละ 30,000 บาท ซึ่งถือว่าสูงมากสำหรับคนที่จบแค่ชั้นมัธยมศึกษาอย่างผม ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีเพื่อนร่วมงานคนไหนอิจฉาหรือกลั่นแกล้ง ตรงกันข้ามทุกคนต่างให้เกียรติและชื่นชมว่าผมเป็นคนสนุกสนาน เฮฮากินเหล้าเก่ง และใจดีช่วยเหลือพวกเขาทุกคน โดยเฉพาะเรื่องเงินๆ ทองๆ
อาจเพราะนิสัยติดเพื่อนและบ้างานเป็นชีวิตจิตใจ ทำให้ผมไม่ค่อยประสบความสำเร็จในชีวิตคู่ ภรรยาคนแรกหันไปเล่นการพนันจนติดงอมแงม ไม่ค่อยดูแลลูกสาวซึ่งเรียนอยู่แค่ชั้นประถม บางวันถึงกับลืมหาข้าวให้ลูกกินด้วยซ้ำ แม้จะคุยกันอย่างไรสุดท้ายก็จบลงที่การทะเลาะ คำพูดสุดท้ายของภรรยาคือ “มึงเป็นผัวภาษาอะไร วันๆ เอาแต่ทำงาน ไม่มีเวลาให้ลูกให้เมีย พอกูหาความสุขด้วยการเล่นไพ่ก็ยังมาว่ากูอีก กูไม่มีผัวใหม่ก็บุญแล้ว ไอ้คนเห็นแก่ตัว!” ในที่สุดผมก็หมดความอดทน เก็บข้าวของย้ายออกจากบ้าน พร้อมกับฝากฝังลูกให้พ่อตาแม่ยายช่วยดูแลแทน
ผมมุ่งมั่นทำงานหนักยิ่งกว่าเดิมเพื่อส่งเงินให้ลูกใช้ ไม่นานผมก็มีความรักอีกครั้งกับข้าราชการสาวการศึกษาสูง เราแต่งงานและอยู่ด้วยกันจนกระทั่งมีลูกชายเป็นพยานรักหนึ่งคน แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังคงทำงานหามรุ่งหามค่ำเพื่อหาเงินเข้าบ้านและจ่ายค่าเลี้ยงดูลูกสาวคนโต โดยที่เธอไม่เคยต่อว่าอะไรเลย แล้วยังเข้าใจผมแทบทุกเรื่องผมมีความสุขมาก โดยไม่เคยสังหรณ์ใจเลยว่า วันเวลาแห่งความสุขอาจจะสั้นกว่าที่คิด
ผมยังจำได้ดี…ตอนกลางดึกของวันที่ 24 กันยายน 2533 ขณะที่ผมกำลังขับรถไปบ้านเพื่อน ผมสังเกตว่ารถติดผิดปกติแต่ก็ไม่คิดอะไร หันไปคว้าตลับเทปออกมาเพื่อเปิดเพลงฟังฆ่าเวลา ตลับเทปลื่นตกลงบนพื้นรถ และทันทีที่ผมก้มลงควานเก็บก็ได้ยินเสียงคนตะโกนจากนอกรถว่า “หนีเร็วๆ ๆ รถแก๊สพลิกคว่ำใกล้จะระเบิดอยู่แล้ว!” ผมตกใจรีบเงยหน้าขึ้นมาดูว่าเป็นเรื่องจริงหรือใครแกล้งเล่นสนุก แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว สิ่งที่ผมเห็นตรงหน้าคือเปลวไฟที่ลุกไหม้ขึ้นมาจากพื้นถนน ความร้อนแผ่ซ่านไปทุกอณูรอบตัวรถจนร่างกายผมเริ่มปวดแสบปวดร้อนเหมือนกับโดนขังในเตาอบ ผมรีบเอื้อมมือเปิดประตูแต่ก็ต้องสะบัดออกอย่างรวดเร็วเพราะที่จับร้อนราวกับแท่งไฟ เปลวไฟสีส้มสลับน้ำเงินลอยพวยพุ่งทุกด้านจนมองแทบไม่เห็นหนทางผมตัดสินใจยอมทนเจ็บใช้มือเปิดประตูพร้อมใช้เท้าถีบจนออกจากรถมาได้
ผมวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิตไปบนถนนที่มีแต่เปลวไฟพวยพุ่งไปทั่วทุกพื้นที่ ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าบัดนี้มีเสื้อผ้าเพียงไม่กี่ชิ้นที่ติดอยู่บนร่างกาย ผมไม่สนใจอะไรทั้งนั้นคิดแค่ว่า ต้องวิ่ง วิ่ง วิ่ง และวิ่งเพื่อเอาชีวิตรอด ท่ามกลางผู้คนนับร้อยชีวิตที่ต่างวิ่งหนีตายกันอย่างอลหม่านและมีสภาพไม่ต่างไปจากผม ระหว่างทางผมเห็นคนสะดุดล้ม เสี้ยววินาทีนั้นไฟก็ลุกท่วมทั้งร่างเขา พร้อมเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด ฟังแล้วสยดสยอง แต่ผมก็ช่วยอะไรเขาไม่ได้เลย ทำได้แต่วิ่งต่อบนถนนแห่งเปลวไฟที่ดูยาวไกลจนเหมือนไม่มีจุดสิ้นสุด แข้งขาผมเริ่มอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรงสายตาผมเลือนรางลงเรื่อย ๆ ผมคงกำลังจะตายตามคนอื่น ๆ ไปแล้ว แล้วทุกอย่างก็มืดดับลง…
ผมลืมตาอีกครั้งที่โรงพยาบาล แม้จะมองเห็นเพียงภาพเลือนราง แต่ผมก็รับรู้ถึงความผิดปกติของผิวหนังที่ตึงและชาแทบทุกส่วน สภาพของผมตอนนี้ไม่ต่างจากมัมมี่ที่มีผ้าพันแผลพันรอบตัวไปหมดทุกๆ เช้ากระบวนการรักษาที่สุดแสนจะทรมานจะเริ่มต้นขึ้น โดยพยาบาลจะช่วยกันจับผมนั่งในอ่าง ฟอกสบู่ยา แล้วราดน้ำยาฆ่าเชื้อลงบนผิวหนัง ผมเจ็บแสบทรมานจนอยากจะแหกปากร้องให้สุดเสียง แต่ก็อดทนและกัดผ้าไว้แน่นเป็นการระบายความเจ็บจนสุดจะบรรยายนี้แทน
จากนั้นพยาบาลจะทายาซ้ำ ๆ บนบาดแผลจนเนื้อร้ายหลุดออก เผยให้เห็นเนื้อแผ่นบางสีแดงก่ำที่ซ่อนอยู่ภายใน ผมจึงจะได้พัก เช้าวันต่อมาหมอรีบนำผมเข้าห้องผ่าตัด เพื่อลอกผิวหนังส่วนดีออกมาเก็บเอาไว้ หรือศัพท์ทางแพทย์เรียกว่า วางกราฟ ซึ่งเป็นการวางเนื้อดีแทนที่เนื้อร้ายที่ถูกขูดออก แน่นอนว่ากระบวนการรักษาทั้งหมดนี้แทบจะไม่ใช้ยาชาหรือยาสลบแต่อย่างใด ผมมีสติรับรู้ถึงความเจ็บปวดที่สุดแสนจะทรมานทุกวินาทีมานานกว่าสี่เดือนเต็มในห้องนรกสีขาวแห่งนี้
น่าแปลกที่ช่วงเวลานั้นผมไม่ได้คิดถึงแม่ พ่อ ภรรยา หรือแม้แต่ลูกเลย สิ่งเดียวที่อยู่ในใจผมคือ งูตัวหนึ่งที่ผมจับได้สมัยยังเป็นเด็ก แล้วโยนมันเข้ากองไฟก่อนจะลอกหนังมันทิ้ง ผมนั่งดูมันดิ้นอย่างเจ็บปวดจนตายด้วยความรู้สึกเกลียดชังสิ่งนี้กระมังที่ทำให้ผมต้องทุกข์ทรมานและมีสภาพไม่ต่างไปจากงูตัวนั้น เว้นแต่เพียงว่าผมไม่ตาย ทั้งที่อยากตายใจจะขาด
วันหนึ่งหลังจากที่ภรรยาและลูกกลับจากเยี่ยมไข้ผมได้ไม่นาน หมอก็บอกว่า ผมต้องอยู่โรงพยาบาลอย่างน้อยสี่ปีเต็ม แผลจึงจะหายสนิท วินาทีนั้นหูผมไม่ได้ยินเสียงหมออีกต่อไป ได้ยินแต่เสียงเรียกร้องของหัวใจตัวเองว่า อยากกลับบ้าน ผมคิดถึงอาหารเมนูเดิม ๆ เตียงตัวเดิม และความอบอุ่นแบบเดิมๆ ทั้งหมดที่ผมเคยได้รับจากครอบครัว
ผมตัดสินใจดึงสายน้ำเกลือออกทันทีที่ลับตาหมอ แล้วแอบลงมาขึ้นรถแท็กซี่กลับบ้านทั้งที่ตายังมองไม่ค่อยเห็น เมื่อถึงบ้าน ลูกและภรรยาตกใจมากที่เห็นผมพร้อมกับขอร้องให้ผมกลับไปโรงพยาบาล ไม่นานรถพยาบาลก็ตามมาทัน หมอคนเดิมทั้งดุและขอร้องให้ผมกลับไปด้วยกัน ผมยืนยันเสียงแข็งว่า “ตายเป็นตาย ยังไงผมก็ไม่กลับไปนอน โรงพยาบาลหรอก ผมอยากนอนที่บ้านกับลูกเมียผม” หลังอ้อนวอนอยู่นาน หมอก็จนใจยอมให้ผมอยู่บ้านได้ แต่มีข้อแม้ว่า ต้องไปรักษาที่โรงพยาบาลทุกวัน ผมจึงยอม
กิตติศัพท์ความดื้อและทรหดของผมเลื่องลือไปทั้งโรงพยาบาล ผมกินอาหารทุกอย่างที่หมอห้ามโดยไม่มีอาการแพ้ แม้การรักษาจะทรมานมากแค่ไหนผมก็ไม่เคยร้องไห้หรือแม้แต่ส่งเสียงคราง ขอแค่ผ้าหนา ๆ ให้กัดผมก็อดทนไหว
หลังเข้ารับการผ่าตัดถึง 9 ครั้ง หมอก็บอกว่า ตาข้างขวาของผมติดเชื้อ ต้องรีบเอาออกโดยด่วน หลังจากผมยินยอม หมอก็จัดการทันทีโดยไม่ฉีดยาชา ผมกลับบ้านพร้อมยาพาราเซตามอลแก้ปวด และอาการก็ทุเลาลงจนเกือบเป็นปกติภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์
การกลับมาบ้านไม่ได้ทำให้ชีวิตผมกลับคืนสู่สภาพปกติ ผมเข้าใจลึกซึ้งกับคำกล่าวที่ว่า “ป่วยกาย ไม่เจ็บเท่าป่วยใจ” ภรรยาที่ผมรักไม่อยากนอนร่วมเตียงกับผมอีกต่อไปแล้ว เธอให้เหตุผลว่า “นอนกับคุณ ฉันรู้สึกเหมือนนอนอยู่กับผี” แม้ไม่มีที่ไป แต่ความเสียใจและน้อยใจในหน้าตาสุดอัปลักษณ์ของตนเองทำให้ผมเก็บข้าวของแล้วออกจากบ้านในทันที
หลังออกมาใช้ชีวิตเพียงลำพัง ผมหันกลับไปแต่งกับงานอีกครั้ง คราวนี้ผมร่วมหุ้นกับเพื่อนเปิดบริษัทเล็กๆ รับเหมาก่อสร้างเอง แต่เคราะห์ซ้ำกรรมซัด ไม่นานผมก็ถูกเพื่อนสนิทโกงเงิน พร้อมทิ้งหนี้สินนับล้านเอาไว้ให้ ผมจำเป็นต้องแก้ปัญหาด้วยการปิดบริษัท ขายทรัพย์สินทุกอย่างที่มีไปใช้หนี้ที่ไม่ได้ก่อ
หลังไม่เหลือทรัพย์สมบัติใด ๆ ผมเสียดายจนกินไม่ได้นอนไม่หลับนานนับเดือน แล้วจู่ ๆ ผมก็ปลงตกคิดได้ว่า นี่คงเป็นโอกาสดีที่จะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ ผมตามอ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์ฉบับเก่า ๆ และถามพยาบาลจนรู้ว่า ทีมที่ช่วยชีวิตผมคือ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ผมรู้สึกตื้นตันใจและตั้งปณิธานไว้กับตัวเองว่า ผมจะเป็นอาสา-สมัครของมูลนิธิเพื่อช่วยชีวิตผู้อื่นตอบแทนบ้าง แต่ก็กลับถูกชายคนหนึ่งหัวเราะและพูดว่า “พี่แก่แล้ว แถมยังป่วยอีก กลับบ้านไปพักผ่อนให้แข็งแรงก่อนดีกว่า งานของพวกผมหนักหนากว่าที่พี่คิดเยอะ ถ้าเป็นลมล้มพับไปจะลำบากพวกผมนะพี่!” ตอนนั้นแม้จะเสียใจที่ไม่ได้เป็นอาสาสมัครอย่างที่คาดหวัง แต่ผมก็ยังยืนยันความตั้งใจเดิม
ผมกลับมาสมัครเป็นอาสาที่ศูนย์วิทยุฉิมพลี ซึ่งเป็นทีมอาสากลุ่มเล็ก ๆ ใกล้บ้านเป็นเวลาเดียวกับที่ผมได้รับความเมตตาจากผู้ใหญ่ให้ทำงานเป็นคนดูแลลานจอดรถส่วนบุคคลแห่งหนึ่ง เงินก้อนแรกผมนำไปเข้าอบรมวิธีรักษาพยาบาลเบื้องต้น รวมถึงวิธีเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บในเหตุการณ์ต่าง ๆ ครั้งแรกที่เห็นศพคนตาย ผมตกใจจนหน้าซีดเผือด ในขณะที่ผู้รอดชีวิตก็ตกใจผมเหมือนกัน คงคิดว่าเจอผี! การเป็นอาสาสมัครของศูนย์วิทยุทำให้ผมเลิกเหล้า เลิกรังแกสัตว์ เลิกเที่ยวผู้หญิง และหันมาทำบุญที่วัด ทั้งที่เมื่อก่อนผมชอบแกล้งเณรแหย่พระเป็นกิจวัตร
หลังจากเป็นอาสาสมัครไม่ถึงหนึ่งปีหลายคนเรียกผมว่า “กู้ภัยหน้าผี” ผมมักไปถึงที่เกิดเหตุเป็นคนแรก และออกแรงช่วยงานทุกอย่างเต็มที่โดยไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยไม่ว่าจะเป็นศพลอยน้ำที่ทั้งเหม็นเน่าและขึ้นอืด ผมก็กล้าว่ายน้ำลงไปเก็บขึ้นมาโดยไม่เกี่ยงงอน สัตว์อันตรายจำพวกงู จระเข้ต่างๆ ผมก็กล้าจับลงใส่กระสอบ ผมทำทุกอย่างที่ใคร ๆ มักไม่ค่อยอยากทำหรือกลัวอันตราย เพราะผมถือว่า ชีวิตที่เหลือต่อจากนี้ไม่ใช่ของผมคนเดียวอีกแล้ว แต่เป็นชีวิตที่อุทิศเพื่อคนอื่น
แม้ว่าเงินเดือนของพนักงานเฝ้าลานจอดรถจะเพียงเดือนละ 9,000 บาท แต่เจ้านายก็เมตตาผมมาก ท่านสร้างบ้านหลังเล็กๆ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐานให้ผมได้ใช้ฟรี อีกทั้งยังสนับสนุนให้ผมได้เป็นจิตอาสาอย่างเต็มที่ ผมช่วยงานมูลนิธิอย่างสุดความสามารถไม่ต่างจากเดิม ไม่กี่ปีต่อมา เงินที่มีก็เริ่มชักหน้าไม่ถึงหลัง ไม่พอจ่ายค่าเลี้ยงดูลูกทั้งสองคน ค่าใช้จ่ายของพ่อแม่ และไม่พอทำบุญ ความศรัทธาในงานอาสาของผมจึงเริ่มลดลง
ปี 2554 เมื่อเกิดมหาอุทกภัย ผมตั้งใจจะช่วยผู้ประสบภัยเป็นงานสุดท้ายผมตัดสินใจซื้อเครื่องยนต์มาติดเรือลำเก่าแล้วขับไปรับของบริจาคไกลถึงพระราม 4 เพื่อส่งต่อให้ผู้ประสบภัยในเขตบางบัวทองในหมู่บ้านลึกที่ทางการเข้าไม่ถึง ผมเทียวไปเทียวมาเพื่อส่งของอยู่นานเกือบหนึ่งเดือนทุกคนในหมู่บ้านรักผมมาก พอเข้าเดือนที่สอง มีนักข่าวทีมหนึ่งตามมา พอพบผมก็ชมว่าผมเป็นวีรบุรุษหน้าผี ชาวบ้านโกรธนักข่าวมาก ถึงกับพูดว่า “มีแต่พี่ทนุธรรมที่คุณเรียกว่าหน้าผีนี่แหละเข้ามาช่วยเหลือพวกเรา สำหรับที่นี่ เขาคือวีรบุรุษหน้าเทวดาต่างหาก ถ้าคุณเรียกเขาว่าผีอีกครั้งรับรองว่าไม่ได้กลับออกไปแน่!” นักข่าวคนนั้นรีบขอโทษยกใหญ่แล้วกลับออกไปส่วนผมตื้นตันใจมาก และยิ่งมีพลังใจที่จะช่วยเหลือคนอื่นตลอดไป
ทุกวันนี้มีโรงพยาบาลเอกชนหลายแห่งบอกว่าจะช่วยศัลยกรรมหน้าให้ผมใหม่ทั้งหมด โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ขอแค่ให้ผมช่วยโฆษณาให้เท่านั้น ผมตอบปฏิเสธทันทีเพราะกลัวว่าจะไม่สามารถตากแดดตากฝนและเป็นอาสาสมัครไม่ได้อีก ซึ่งผมคงทนไม่ได้
ชีวิตนี้ขอแค่ได้ทำประโยชน์ให้คนอื่นเพื่อชาติบ้านเมือง ต่อให้ต้องหน้าตาเหมือนผีไปตลอดชีวิต ผมก็ไม่แคร์ เพราะผมคงเป็นผีที่มีความสุขที่สุดในโลก!
ข้อคิดจากพระ ดร.นิตินัย ธีรวังโส
วัดป่าเมตตาวนาราม
คงไม่มีมนุษย์คนใดที่ไม่เคยทำความผิด ผู้ที่ทำผิดแล้วสำนึก เปลี่ยนมิจฉาทิฐิให้เป็นสัมมาทิฐิได้ต่างหาก จึงจะเรียกว่าเป็นบุคคลที่น่ายกย่อง เฉกเช่นเดียวกับความทุกข์ที่ไม่มีใครหนีได้พ้น ผู้ที่ใช้ชีวิตบนกองทุกข์แต่ยอมเสียสละความสุขส่วนตัวอุทิศให้สังคมหรือผู้อื่นต่างหาก จึงเรียกได้ว่าเป็นผู้กอปรกิจอันเป็นกุศล น่ายกย่อง และเป็นผู้ครองชีวิตอย่างมีความสุขได้โดยแท้จริง
ที่มา นิตยสาร Secret ฉบับที่ 138
เรื่อง ทนุธรรม จันโทกุล
เรียบเรียง ชลธิชา แสงใสแก้ว
ภาพ วรวุฒิ วิชาธร
ผู้ช่วยช่างภาพ ศักรินทร์ ศิรินัย, ศิวาพร พิงคะยอม, กัญญ์จิรา ทองอ้ม