ถ้าดาราหรือศิลปินมีหน้าที่หลักคือการสร้างความสุขและเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้ชม เฉินหลง หรือแจ็คกี้ ชาน (Jackie Chan) ก็เป็นคนหนึ่งที่ทําหน้าที่ของเขาได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด
เริ่มแรกเราอาจจะตกหลุมรักเฉินหลงจากบทบาทในภาพยนตร์ ต่อมาอาจจะรู้สึกชื่นชมตัวตนของเขาเพราะได้เห็นเฉินหลงทํางานช่วยเหลือสังคมมานาน และอาจจะถึงขั้นรักเขาอย่างถอนตัวไม่ขึ้น หากได้สัมผัสอุปนิสัยที่อ่อนโยนและมีอารมณ์ขันอย่างหาตัวจับยาก เหมือนเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ (คัดมาจาก www.jackiechan.com)

ลินเน็ตต์ (Lynette) เป็นสมาชิกของสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย เธอได้มีโอกาสเข้าร่วมงานสัมมนาเรื่อง Arts and Culture as a Pathway Towards Peace ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน ค.ศ. 2009 โดยมูลนิธิ Peace Foundation ซึ่งได้เชิญเฉินหลงมาเป็นวิทยากรหลัก
ด้วยความที่เฉินหลงเป็นดาราที่ลินเน็ตต์ชื่นชอบมานาน เธอจึงรู้สึกตื่นเต้นมาก เมื่อถึงคิวที่จะต้องถามคําถาม เธอก็พูดใส่ไมโครโฟนว่า
“สวัสดีค่ะ ฉันชื่อลินเน็ตต์… ฉันทํางานที่… เมื่อวานเป็นวันเกิดของฉัน การได้มาพบคุณที่นี่เหมือนเป็นของขวัญของฉันเลยค่ะ… 27 ปีที่ผ่านมาฉันฝันมาตลอดว่าจะได้พบคุณแบบตัวต่อตัว ในที่สุดฝันก็เป็นจริง โอ้! ฉันดู ‘ไอ้หนุ่มหมัดเมา’ มาแล้วไม่ต่ำกว่า 13 รอบ”
การสารภาพความในใจอย่างผิดที่ผิดทางเช่นนี้ ทําให้ห้องประชุมที่มีทั้งเจ้าหน้าที่และนักข่าวรวมตัวอยู่เต็มห้องตกอยู่ในความเงียบ ทันใดนั้นเฉินหลงก็ดีดตัวขึ้นจากเก้าอี้อย่างว่องไวและถามเธอกลับว่า
“นั่นคือคําถามของคุณเหรอ”
“เพล้ง!” เสียงกระจกแตกเปรื่องดังขึ้นในหัว แต่ลินเน็ตต์ก็กลับมาสวมวิญญาณนักข่าวได้อีกครั้ง ส่วนเฉินหลงก็ตั้งหน้าตั้งตาตอบอย่างเป็นทางการ และแล้วในขณะที่ดูเหมือนว่าเขากําลังจะพูดอะไรสักอย่างเพื่อทิ้งท้าย เฉินหลงก็หยุดชะงัก เขายกนิ้วชี้ขึ้นมาแตะที่ริมฝีปาก เวลานั้นทุกคนในห้องเงียบกริบ
วินาทีต่อมา เฉินหลงก็หันขวับมาที่ลินเน็ตต์และพูดเสียงดังว่า “แฮ็ปปี้เบิร์ธเดย์ทูยู” จากนั้นเขาก็ร้องเพลง แฮ็ปปี้เบิร์ธเดย์ พร้อมกับฉีกยิ้มกว้าง ความเงียบถูกแทนที่ด้วยเสียงเพลงและเสียงปรบมือดังสนั่น
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า คนที่ยิ้มกว้างที่สุดก็คือลินเน็ตต์นั่นเอง
เพราะความใส่ใจของเฉินหลง ลินเน็ตต์จึงได้กลายเป็นนางเอกของงานในวันนั้น อันที่จริงก็ไม่ใช่ครั้งนี้ครั้งเดียว เพราะเฉินหลงมักจะทําหลายสิ่งหลายอย่างที่คนคนหนึ่งไม่น่าจะทําได้เพื่อสร้างความประทับใจให้ผู้ชม จนกล่าวได้ว่าพวกเราเปรียบเหมือนเป็นนางเอกและพระเอกในชีวิตจริงของเขา

บรรดาแฟนภาพยนตร์ของเฉินหลงต่างทราบดีว่า กระดูกในร่างกายแทบทุกส่วนของเฉินหลงเคยหักมาแล้วทั้งสิ้นเนื่องมาจากอุบัติเหตุในการถ่ายทํา เพราะจุดเด่นของราชานักบู๊คนนี้ก็คือ การที่เขาไม่ใช้ตัวแสดงแทนหรือสเปเชียลเอฟเฟ็คท์ ความตื่นเต้นที่ผู้ชมได้รับ เกิดจากการวางแผนและการกํากับคิวบู๊ที่แม่นยําของเขา บวกกับการใช้จินตนาการในแต่ละฉากในการใช้อาวุธแต่ละชนิดและในลีลาการ วิ่ง สู้ ฟัด ชนิดที่ไม่มีใครเลียนแบบได้
ใครบ้างจะกล้าสไลด์ตัวลงมาจากตึก 21 ชั้นโดยไม่มีเครื่องป้องกันอย่างที่เฉินหลงทําในฉากหนึ่งของภาพยนตร์เรื่อง Who am I? (1998)
หรือสกีลงมาจากภูเขาเพื่อเกาะเฮลิคอปเตอร์ที่กําลังบินอยู่ ก่อนที่จะทิ้งตัวลงในทะเลสาปที่เป็นน้ำแข็งในฉากหนึ่งของภาพยนตร์เรื่อง Amour of God (1987) ฯลฯ
คนที่ทําในสิ่งที่คนส่วนใหญ่ทําไม่ได้มักจะเป็นคนที่ประสบความสําเร็จ แต่เบื้องหลังความสามารถที่คนเหล่านี้มีย่อมมาจากการฝึกฝนอย่างหนัก (ซึ่งเป็นส่วนที่เรามักจะเผลอลืมไป)… เฉินหลงก็เช่นกัน
เรามากดปุ่มรีเพลย์ย้อนกลับไปดูชีวิตก่อนจะดังของเฉินหลงกันดีกว่า
เฉินหลงเกิดเมื่อวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2497 เขามีชื่อจริงว่า เฉินก่างเซิง ซึ่งมีความหมายว่า “เกิดที่ฮ่องกง” แรกทีเดียวพ่อและแม่เกือบจะตัดสินใจยกเขาให้คุณหมอคนหนึ่งเพื่อแลกกับเงินเพียง 26 ดอลลาร์ เพราะไม่คิดว่าพวกตนจะเลี้ยงลูกไหว แต่ต่อมาก็เปลี่ยนใจ ตั้งแต่เฉินหลงเล็กๆ พ่อจะปลุกเขาขึ้นมาหัดกังฟูทุกๆ เช้า เพราะเชื่อว่ากังฟูจะทําให้ลูกชายมีบุคลิกที่ดี มีความอดทน แข็งแกร่ง และกล้าหาญ
เมื่ออายุ 7 ขวบ เฉินหลงต้องแยกจากครอบครัวเพื่อไปเข้าโรงเรียนสอนงิ้วและศิลปะการต่อสู้ ซึ่งมีวิธีการสอนที่เข้มงวดมาก ตั้งแต่ลืมตาตื่นจนถึงปิดตานอน เขาต้องใช้ชีวิตวนเวียนอยู่กับการซ้อมเตะ ต่อย ร้องเพลง และฝึกกายกรรม โดยมีเล่าซือที่พร้อมจะลงไม้ได้ทุกเมื่อคอยควบคุม
เฉินหลงเรียนจบจากโรงเรียนเมื่ออายุ 17 ปี และเริ่มทํางานเป็นสตั๊นท์แมนในทีมหนังของบรูซ ลี (Bruce Lee) แต่โชคร้าย ทันทีที่บรูซ ลีเสียชีวิต อุตสาหกรรมภาพยนตร์ของฮ่องกงก็เข้าสู่ยุคตกต่ำ เฉินหลงซึ่งอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้(เพราะโรงเรียนไม่เคยสอน) ต้องใช้ชีวิตเป็นกรรมกรบ้าง พ่อครัวบ้าง จนกระทั่งวันหนึ่ง หลอเหว่ย ผู้อํานวยการสร้างภาพยนตร์ได้พบเขาและตัดสินใจปั้นเขาโดยหวังจะให้ดังแทนบรูซลี

ทว่าภาพยนตร์ 10 เรื่องแรกที่เฉินหลงแสดงกลับไม่ประสบความสําเร็จ จนกระทั่งในปีค.ศ. 1978 เฉินหลงได้นําความตลกมาผสานกับลีลาการต่อสู้ในภาพยนตร์เรื่อง ไอ้หนุ่มพันมือ (Snake in the Eagle’s Shadow) ทําให้เขากลายเป็นดาราดังในชั่วข้ามคืน และในปีเดียวกันนั้นเอง ภาพยนตร์เรื่อง ไอ้หนุ่มหมัดเมา (Drunken Master) ก็ทําให้เฉินหลงโด่งดังไปทั่วเอเชีย แต่เฉินหลงต้องใช้เวลาพิสูจน์ตัวเองถึงสิบปีกว่าที่จะได้รับการยอมรับจากผู้ชมชาวตะวันตก ภาพยนตร์เรื่อง คู่ใหญ่ฟัดเต็มสปีด (Rush Hour) ที่ออกฉายในปีค.ศ. 1998 ทําให้เขากลายเป็นไอดอลของแฟนภาพยนตร์ทั่วโลก
ถึงแม้จะมีงานล้นมือ แต่เป็นที่รู้กันดีว่าเฉินหลงจะแบ่งเวลาเพื่อทําการกุศลอย่างสม่ำเสมอ เขาตั้งมูลนิธิเฉินหลงเพื่อช่วยเหลือเด็กและคนแก่ที่ช่วยตัวเองไม่ได้ตั้งแต่ปีค.ศ.1998 และมูลนิธิ Dragon’s Heart Foundation เพื่อสร้างโรงเรียนในถิ่นทุรกันดารของจีนในปีค.ศ. 2005 อีกทั้งยังเป็นทูตของสหประชาชาติ และช่วยเหลืองานขององค์กรการกุศลอีกหลายแห่ง


เฉินหลงเล่าว่า เขาชอบทํางานการกุศลเพราะประทับใจที่ตัวเองเคยได้รับความช่วยเหลือมาก่อน สมัยที่ยังอยู่โรงเรียน ทุกๆ เดือนหน่วยกาชาดจะนําเสื้อผ้า รองเท้า หรือนมผงมาแจกเด็กๆ และครั้งหนึ่งบาทหลวงได้ยื่นนมให้เขา เมื่อเขากล่าวขอบคุณ ท่านก็บอกเขาว่า “ไม่ต้องขอบคุณพ่อ วันหนึ่งเมื่อโตขึ้น เธอจะต้องช่วยคนอื่น”


การให้ต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด คือหนทางสู่สันติภาพอันเรียบง่ายและจริงแท้ แต่ถึงแม้จะเป็นซูเปอร์สตาร์ เฉินหลงก็เหมือนคนธรรมดาอย่างเราๆ ที่ไม่มีทางรู้ว่า สิ่งที่เขาทําจะสร้างประโยชน์ให้ผู้อื่นได้มากน้อยแค่ไหน แต่เขายืนยันที่จะทําต่อไปด้วยเหตุผลที่ว่า
“สิ่งนี้ทําให้ผมมีความสุข เวลานอนผมก็นอนหลับสนิท เพราะผมรู้ว่าการมีชีวิตอยู่ของผมสามารถช่วยเหลือใครบางคนได้”
Secret Box
Whatever I do, I’ll do the best I can.
ไม่ว่าผมจะทําอะไร ผมจะทําให้ดีที่สุด– เฉินหลง –
ที่มา นิตยสาร Secret
เรื่อง Violet
ภาพ en.eyeni.biz