ก่อนหน้านี้แหม่ม (วิชุดา พินดั้ม)ไม่เชื่อเรื่องเวรกรรมมากนัก คิดแต่เพียงว่า ถ้าเราจริงใจกับใคร เขาก็คงจริงใจตอบ แต่ความจริงอาจไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะบางครั้งอาจมีกรรมไม่ดีบางอย่างที่เราเคยกระทำกับเขามาแต่ชาติปางไหนก็ไม่ทราบติดตามมาด้วย และนี่ก็เป็นสาเหตุที่เราต้องมาใช้หนี้เวรร่วมกันในชาตินี้
เมื่อคุณพ่อล้มป่วยด้วยโรคอัมพฤกษ์และตัวเองต้องตกเป็นข่าวทะเลาะกับคนอื่น ความจริงที่ว่ากรรมเวรมีจริงก็ปรากฏให้แหม่มเห็นอย่างเด่นชัด ในช่วงที่คุณพ่อป่วย นอกจากแหม่มจะพาไปหาหมอเพื่อทำกายภาพบำบัดอาทิตย์ละ 3 วันแล้ว แหม่มก็คิดว่าเราน่าจะทำบุญ เพื่อขอให้ผลบุญหนุนส่งให้ท่านหายจากอาการเจ็บป่วยโดยเร็ว
ทำบุญเพื่อพ่อ
เมื่อถักไหมพรมเป็นแล้ว แหม่มก็ช่วยสอนคนอื่น ตอนแรกไม่ได้คิดอะไรมาก ใครอยากถักก็สอนให้ จนนานวันเข้ามีคนสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ ประกอบกับวันหนึ่งแหม่มนั่งดูทีวี วันนั้นมี น้องเจี๊ยบ – สุนันทา แซ่เฮ้า ที่ถูกรถมินิบัสทับจนพิการมาออกรายการ ฟังเรื่องราวของเขาแล้วแหม่มก็ร้องไห้ เพราะมีความรู้สึกว่า เด็กคนนี้จิตใจเข้มแข็งมากทำให้แหม่มพลอยรู้สึกมีกำลังใจตามไปด้วย เลยคิดอยากตอบแทนเขาที่เขาสอนเราทางอ้อม ด้วยการทำหนังสือเกี่ยวกับไหมพรมที่เราถนัดออกจำหน่าย อย่างน้อยๆ ก็มีประโยชน์กับคนที่อ่าน แล้วก็จะได้นำเงินนี้ไปช่วยเหลือน้องเจี๊ยบ
หลังจากนั้นไม่นาน แหม่มก็ได้รับรู้เรื่องราวของ คุณป้าสำรวย โตพฤกษา ซึ่งเลี้ยงสุนัขนับร้อยๆ ตัวอยู่ที่จังหวัดนครนายก พอไปเจอตัวได้พูดคุยแล้ว แหม่มรู้สึกทึ่งในความรักสัตว์ของป้า เพราะว่าแหม่มก็รักสุนัข ที่บ้านคุณแม่เลี้ยงสุนัขเป็นสิบๆ ตัวเหมือนกัน ด้วยความที่อยากช่วยเหลือทั้งน้องเจี๊ยบและคุณป้า แหม่มจึงแบ่งรายได้จากการจำหน่ายหนังสือ “ยานวิเศษ” ให้กับทั้งสองท่าน
แหม่มไม่รู้ว่าการช่วยเหลือคนอื่นจะเป็นการทำบุญที่มีอานิสงส์มากแค่ไหน รู้แต่เพียงว่า สิ่งนี้ทำให้แหม่มมีกำลังใจในการดูแลคุณพ่อคุณแม่ของตัวเอง และการได้ช่วยคนที่อ่อนแอกว่าทำให้แหม่มสบายใจ จนวันหนึ่งแหม่มก็เริ่มอยากทำบุญอย่างจริงจังมากขึ้น จึงไปปรึกษา พี่แหม่ม – พัชรี พรหมช่วย พิธีกรรายการ “โต๊ะข่าวบันเทิง”ว่าอยากทำงานช่วยเหลือสังคม เพื่อจะได้อนุโมทนาบุญที่ทำให้คุณพ่อ ที่สุดจึงกลายมาเป็นโครงการ “อิ่มบุญ อุ่นใจ ด้วยไหมพรม” โดยมีรายการโต๊ะข่าวบันเทิงช่วยประชาสัมพันธ์และจัดการด้านต่างๆ ให้ เช่น เรื่องสถานที่ ซึ่งขออนุญาตใช้อาคารของสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ในการจัดงาน นอกจากนั้นงานนี้ยังมีผู้ใหญ่อีกหลายท่านให้การสนับสนุน โดยเฉพาะผู้บริหารของสถานีแห่งนี้
“อิ่มบุญ อุ่นใจ ด้วยไหมพรม” เป็นงานที่แหม่มชักชวนให้คนที่ถักไหมพรมเป็นและไม่เป็นมาร่วมกันถักไหมพรมร่วมกัน โดยคนที่ถักเป็นมี 50 คนแล้วสอนให้คนที่ถักไม่เป็นอีก 100 คน หรือคนไหนไม่มีเวลามาร่วมงานในวันนั้น ก็อาจนั่งถักอยู่ที่บ้าน แล้วส่งงานที่ทำเสร็จแล้วมาก็ได้
งาน “อิ่มบุญ อุ่นใจ ด้วยไหมพรม” ครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 แหม่มชักชวนให้ช่วยกันถักหมวกไหมพรมเพื่อมอบให้กับผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ผ่านการทำคีโมมาแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่ผมจะร่วง รวมทั้งถักหมวกถวายพระธุดงค์ สำหรับไว้ใช้ในหน้าหนาว ส่วนงาน “อิ่มบุญ อุ่นใจ ด้วยไหมพรม” ครั้งที่ 3 ซึ่งเป็นครั้งล่าสุด แหม่มก็ได้รับความช่วยเหลือจากบุคคลต่างๆ และจากทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 เช่นเดิม ครั้งนี้นอกจากจะชักชวนให้ผู้ใจบุญร่วมกันถักหมวกแล้ว แหม่มและคนอื่นๆ ยังได้ร่วมกันถักอังสะเพื่อถวายพระเพิ่มด้วย โดยงานนี้ คุณอรัญญา มาลีนนท์ นำทีมผู้จัดละครและดารา – นักแสดงของช่อง 3 รวมไปถึงแฟนๆ รายการโต๊ะข่าวบันเทิง มาร่วมใจกันถวายหมวกไหมพรมที่ถักเสร็จเรียบร้อยแล้ว รวมไปถึงเครื่องอัฐบริขารและเครื่องยาเวชภัณฑ์ ให้ “พระครูวินัยธรนิคม สิริวฑฺฒโน” ประธานศูนย์ปฏิบัติธรรม เทิดพระเกียรติ พระธุดงค์ อำเภอเฉลิมพระเกียรติ ตำบลวังม่วง จังหวัดนครราชสีมา
หลายคนอาจคิดว่าการทำบุญต้องใช้เงินมาก แต่สำหรับแหม่มยิ่งทำบุญก็ยิ่งมีแต่ได้ (แบบไม่ได้ตั้งใจ) จากแต่ก่อนที่คนรู้จักแหม่มว่า เป็นดาราที่ชอบถักไหมพรม ก็กลายมาเป็น “แหม่ม – วิชุดาคนนี้ไงที่ถักหมวกถวายพระ” ฟังแล้วรู้สึกดีใจและภูมิใจที่งานอดิเรกของเราซึ่งเป็น แค่สิ่งเล็กๆ ได้กลายเป็นสิ่งที่มีคุณค่ากับคนอื่นๆ ในสังคม
นอกจากนั้น บางปีแหม่มจะแบ่งเงินส่วนหนึ่งไว้ซื้อไหมพรมเพื่อถักหมวกถวายพระ เช่นปีที่แล้วแบ่งไว้ 8,000 บาท เมื่อมีคนรู้ว่าแหม่มทำบุญด้วยวิธีนี้ หลายคนที่ถักไหมพรมไม่เป็นและไม่มีเวลาก็พยายามช่วย บางคนบอกกับแหม่มว่า “แหม่ม…พี่ถักไม่เป็น พี่พยายามแล้ว พี่ให้ 500 บาทไว้ซื้อไหมพรมละกันนะ” พอมีคนหนึ่งให้ เดี๋ยวคนโน้นคนนี้ที่แหม่มรู้จักก็ให้ตามกันมา มีร้อยก็ให้ร้อย มีพันก็ให้พัน จนเงินที่ได้มามากเกินกว่าที่แหม่มตั้งใจไว้ว่าจะใช้ซื้อไหมพรม เงินส่วนเกินนี้ แหม่มก็นำไปถวายพระอีกต่อหนึ่งจนหมดทุกบาททุกสตางค์
ทำบุญแต่ละครั้งแหม่มจึงไม่เคยมีคำว่าขาดทุน การลงแรงกายแรงใจของแหม่ม ผลที่ได้กลับคืนมานั้นมีแต่คนชื่นชมยินดีและอนุโมทนาสาธุด้วย และทุกวันนี้ ด้วยผลบุญนี้ก็ทำให้คุณพ่ออาการดีขึ้น ซึ่งทำให้แหม่มพลอยมีความสุขไปด้วยค่ะ
กรรมร้ายที่ต้องชดใช้
แต่ในขณะที่ชีวิตได้ทำกรรมดี กรรมไม่ดีบางอย่างที่แหม่มก็นึกไม่ออกว่าเคยทำมาตั้งแต่ชาติปางไหนก็ตามมาให้ผลแหม่มมีข่าวปรากฏตามหน้าหนังสือพิมพ์ว่ามีเรื่องขัดแย้งกับพิธีกรท่านหนึ่ง สื่อต่างๆ เขียนข่าวว่าเป็นเพราะแย่งชิงคนรัก แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ เพราะเรื่องที่ใหญ่กว่านั้นคือเรื่องการเอารัดเอาเปรียบกัน ยิ่งเป็นเรื่องเงินๆ ทองๆ แหม่มไม่ยอม เพราะเมื่อถึงจุดหนึ่งมันกลายเป็นเรื่องของจิตใจ เรื่องของความไม่ยุติธรรม ในขณะที่แหม่มพยายามจะเคลียร์กับฝ่ายตรงข้าม แต่เขากลับไม่ต้องการ
แหม่มคิดว่าทำไมเราต้องเป็นศัตรูกับคนคนหนึ่งด้วยเรื่องแค่นี้ เราไม่จำเป็นต้องเป็นเพื่อนรักกัน หรือเจอกันแล้วไม่ต้องเข้าไปกอดกันก็ได้ แหม่มไม่ได้ต้องการยื้อแย่งแข่งขันกับใคร แต่ทุกวันนี้ต้องกลายเป็นศัตรูกันไปโดยปริยาย ต่างคนต่างอยู่ เพราะอีกฝ่ายไม่พร้อมจะเปิดใจกับแหม่ม
สุดท้ายเมื่อทำอะไรไม่ได้แล้ว แหม่มก็ได้แต่ทำใจว่าชาติที่แล้ว เราคงทำเขาไว้ ชาตินี้เขาถึงมาเอาคืน แหม่มอยากให้เราอโหสิกรรมแก่กัน แล้วอยากบอกว่าเรามาทำดีให้กันเถอะ เราจะมีชีวิตอีกสักกี่ปีกี่วัน ก็ไม่มีใครรู้ได้ ทุกวันนี้แหม่มจึงไม่พยายาม “ต่อกรรม” ให้ยืดเยื้ออีกต่อไป และหวังว่าเรื่องราวจะจบลงแต่เพียงเท่านี้
อย่างไรก็ตาม เพื่อนที่รู้จักแหม่มจะรู้ว่าแหม่มเป็นคนกล้าได้กล้าเสีย ไม่กลัวอะไร นิสัยคล้ายผู้ชาย ลุยๆ ไม่จุกจิกหยุมหยิมและเป็นคนจริงใจ ไม่ซับซ้อน ถ้าแหม่มให้ใจใครแล้ว แหม่ม “ให้”จนคน “รับ” อาจตกใจว่าทำไมต้องทำดีขนาดนี้ แต่นั่นเป็นความรู้สึกจากใจของแหม่มจริงๆ ส่วนเวลาไม่เข้าใจอะไร แหม่มก็จะถามตรงๆ บางครั้งน้ำเสียงท่าทางอาจเหมือนหาเรื่อง แต่ความจริงไม่มีอะไร ที่ถามเพราะไม่รู้จริงๆ ค่ะ
ทุกวันนี้แหม่มใช้ชีวิตอยู่บนความจริง อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดไม่ยึดติดกับอะไรมาก และพยายามทำแต่สิ่งดีๆ เพื่อคุณพ่อคุณแม่เพราะถ้าไม่มีท่าน แหม่มก็ไม่อาจมีวันนี้ได้ ยิ่งไปกว่านั้น แหม่มยังจินตนาการไม่ออกเลยว่าวันหนึ่งถ้าไม่มีท่านทั้งสองแล้วชีวิตจะเป็นอย่างไร
เมื่อเติบโตขึ้น หลายคนอาจคิดถึงการแต่งงานมีครอบครัว แต่สำหรับแหม่ม คุณพ่อและคุณแม่คือครอบครัว คือทุกสิ่งทุกอย่างของแหม่ม และแหม่มจะขอมีชีวิตเพื่อทดแทนพระคุณของท่านทั้งสองค่ะ
Secret Box
“การรู้จักเอาตัวรอดเป็นสิ่งที่ดี แต่ไม่ได้หมายความว่าต้องกลายเป็นคนแข็งกระด้าง ลองมีน้ำใจกับคนรอบข้างบ้าง แล้วชีวิตจะมีความสุขเอง”
แหม่ม – วิชุดา พินดั้ม