“มีตำหนิ” เรื่องจริงของหญิงมีตำหนิ (ทางใจ)
ใดๆ ในโลกล้วนแล้วแต่มีตำหนิ ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้ เก้าอี้ นาฬิกา หรือแม้แต่เส้นผมใบหน้า…แต่ของ “มีตำหนิ” บางแห่งไม่ได้เกิดจากธรรมชาติ หากเป็นไปเพราะความหลงของตัวเอง!
ฉันกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นสาวเพอร์เฟ็กต์ เพราะชีวิตนี้ฉันมีครบหมดแล้วทุกอย่าง เกิดในบ้านสุดหรู ครอบครัวอบอุ่นมีเพื่อนฝูงมากมาย เรียนเป็นที่หนึ่งมาตลอดตั้งแต่อนุบาลถึงปริญญาโท ความสามารถและบุคลิกของฉันทำให้ก้าวเข้าสู่เบื้องหน้าในแวดวงสื่อได้อย่างไม่ต้องดิ้นรน ฉันมีรถขับ ถือกระเป๋าแบรนด์เนม และสวมเครื่องประดับราคาแพงระยับอย่างคนมีอันจะกินทั่วไป และแน่นอนว่าหญิงเพอร์เฟ็กต์อย่างฉันต้องควงคู่กับหนุ่มหล่อฐานะดี
ต้น เป็นหนุ่มต่างจังหวัดที่เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ เขาหน้าตาหล่อเหลา แถมครอบครัวยังร่ำรวย เขาเรียนไม่จบชั้นมัธยมต้นด้วยซ้ำ แต่อาศัยว่ามีประสบการณ์ทำงานสูง ทำให้เข้ามาทำงานอยู่ในแวดวงเดียวกัน…ไม่รู้ว่าพรหมลิขิตหรือกรรมบันดาลกันแน่ที่ทำให้เราโคจรมาพบกัน
เหมือนมีอะไรบางอย่างดึงดูดเราสองคน ฉันและเขาตกหลุมรักกันตั้งแต่แรกเห็นเขาบอกฉันว่าอยากใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ด้วยกัน เขาสัญญาว่าวันหนึ่งข้างหน้าเราจะแต่งงานกัน และมีลูกสักคนเป็นเครื่องหมายแห่งความรัก นั่นทำให้ฉันยอมพลีกายให้กับเขาตั้งแต่คบกันได้ไม่ถึงเดือน เราสองคนรักกันมากจนห่างกันไม่ได้ ที่ไหนมีเขาที่นั่นต้องมีฉัน
สองปีผ่านไป ต้นจำเป็นต้องกลับไปทำงานที่บ้าน จึงขอให้ฉันทิ้งชีวิตสุดเพอร์เฟ็กต์ที่นี่ไปอยู่กับเขา แม่ร้องไห้น้ำตาแทบเป็นสายเลือด วันที่ฉันหอบผ้าหอบผ่อนออกจากบ้าน คำขอร้องอ้อนวอนของแม่เป็นเพียงเสียงน่ารำคาญ พ่อโกรธและผิดหวังในตัวฉันจนไม่มีคำพูดใด ๆ หลุดออกมา แต่ฉันไม่สนใจใครอีกแล้ว นาทีนั้นชีวิตฉันมีแต่ต้นคนเดียวเท่านั้น เขาเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต เป็นเหมือนจิ๊กซอว์ชิ้นที่หายไป
ฉันไปอยู่บ้านต้นโดยที่พ่อแม่เขาไม่ได้ว่าอะไร ฉันสมัครทำงานเป็นลูกจ้างบริษัทเงินเดือนน้อยนิด ส่วนต้นทำงานอีกบริษัทที่เงินเดือนน้อยนิดกว่า แต่นั่นก็ไม่ได้มีผลอะไรกับเขา เพราะอย่างไรเสียเขาก็ยังอยู่บนกองเงินกองทอง
แต่แล้วชีวิตก็ไม่ได้ราบรื่นเหมือนอย่างที่ฝัน ต้นเริ่มงานยุ่ง กลับบ้านดึกติดกันหลายวัน บางคืนต้องนอนค้างที่ทำงาน ชวนให้ฉันอดคิดมากไม่ได้ว่าเขาอาจแบ่งเวลาไปให้หญิงอื่น กระทั่งวันหนึ่งความเป็นจริงก็กระจ่าง เมื่อจู่ ๆ มีหญิงสาวนิรนามโทรศัพท์มาหาฉัน เธอพูดจาเย้ยเยาะถากถางว่าฉันโง่เง่าที่โดนต้นหลอกมานานแสนนาน ต้นบอกเธอว่ารักเธอมาก และสัญญาว่าจะแต่งงานกัน หลายเดือนมาแล้วที่ทั้งสองแอบไปอยู่กินด้วยกันลับหลังฉัน ฉันตัวชา แทบไม่เชื่อหูตัวเอง ในใจมีแต่คำถามว่าทำไมต้นถึงเอาคำว่า “แต่งงาน” ไปใช้กับผู้หญิงคนอื่น
เมื่อต้นกลับถึงบ้าน ฉันไม่รอช้า รีบถามถึงผู้หญิงคนนั้น ต้นหน้าถอดสี ก่อนจะรีบโผเข้ามากอดฉันเต็มแรง เขายอมรับในสิ่งที่ทำผิดไปและขอโอกาสแก้ตัว…เวลานั้นฉันรักเขามากเกินกว่าจะใจแข็งตัดสัมพันธ์กับเขา ฉันจึงให้โอกาสเขาแก้ตัวอีกครั้ง
หลังจากเหตุการณ์วันนั้น ฉันเหมือนมีปีศาจร้ายมาสิง เพราะกลายเป็นคนหวาดระแวง ไม่ไว้ใจเขา วัน ๆ เอาแต่เช็กโทรศัพท์ จนไม่เป็นอันทำงาน ไม่ว่าเขาอยู่ที่ไหน ฉันต้องตามไปนั่งเฝ้าทุกที่ ไม่เว้นแม้แต่เวลางาน เพียงเพื่อให้เห็นกับตาว่าเขาไม่ได้นอกใจส่วนต้นก็เริ่มกลายเป็นคนเกรี้ยวกราด โมโหร้าย และด่าทอฉันด้วยคำหยาบคาย
อย่างไรก็ตามสัญชาตญาณของผู้หญิงแม่นยำเสมอ เพราะในที่สุดสิ่งที่ฉันเฝ้าระแวงก็เป็นจริง ไม่นานนักก็มีหญิงนิรนามคนที่สอง สาม และสี่ โทร.มาหาฉันในทำนองเดียวกัน ต้นล้วนสัญญากับผู้หญิงทุกคนว่าจะแต่งงานด้วย เพื่อหวังความสัมพันธ์ชั่วข้ามคืน ฉันร้องไห้จนไม่มีน้ำตาทั้งแค้น เจ็บใจ และเสียใจอย่างสุดประมาณ เวลานั้นฉันรู้แล้วว่าไม่ควรให้โอกาสแก่คนที่ไม่เห็นค่า ฉันตั้งใจจะเก็บข้าวเก็บของเตรียมหนีออกไปให้ไกลจากชีวิตต้น…ทว่าชีวิตไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น
ต้นสารภาพผิดอีกครั้ง เขาขอโอกาสแก้ตัวอีกหน ต้นทั้งรั้งทั้งยื้อไม่ให้ฉันจากไป แต่เมื่อเห็นว่าใช้ไม้เดิมไม่ได้ผล เขาก็เริ่มเล่นบทโหด ด้วยการพุ่งเข้ามากัดฉันที่คอแขน และหลังจนเลือดออกซิบ ๆ เขาล็อกรั้วบ้านไม่ให้ฉันออกไปไหนได้ พร้อมกับโทร.ไปบอกเจ้านายของฉันให้เสร็จสรรพว่าฉันขอลาหยุดยาว
ตีหนึ่งคืนนั้นฉันกับต้นด่าทอขว้างปาข้าวของใส่กันไม่ยอมเลิก ฉันร้องไห้เหมือนคนบ้า ทั้งเจ็บที่โดนเขาทำร้ายและเจ็บยิ่งกว่าที่เขาทำกับฉันเหมือนเป็นของตาย ที่นึกอยากจะไปมีใครคนอื่นก็ไป นึกอยากจะกลับมาก็มา แม้จะรักเขาขนาดไหน แต่ฉันก็ทนใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไปไม่ไหวแล้ว ในที่สุดฉันจึงตัดสินใจ…หนี!
ฉันวิ่งออกจากตัวบ้าน รีบปีนรั้วออกมาด้วยความหวาดกลัวสุดจะบรรยาย ในใจคิดเพียงแค่ว่าจะต้องหนีไปให้ไกลที่สุด ถ้าหนีไปซ่อนที่บ้านคนรู้จัก ไม่นานเขาคงตามมาจนเจอ ไม่มีเวลาให้คิดนานนัก ในที่สุดฉันจึงตัดสินใจวิ่งหนีเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในป่าท้ายหมู่บ้าน
ฉันนั่งขดตัวอยู่หลังพงไม้ มองไม่เห็นอะไรนอกจากความมืด แม้ป่าในยามวิกาลจะน่ากลัวขนาดไหน แต่ฉันเชื่อว่าไม่เท่านรกในบ้านตอนนี้ ฉันร้องไห้จนน้ำตาแทบเป็นสายเลือด ภาวนาขออย่าให้เขาตามมาเจอตอนนั้นเอง จู่ ๆ ภาพของแม่ที่พยายามรั้งฉันไว้ไม่ให้มาที่นี่ก็ปรากฏชัดขึ้นมาในห้วงความคิดและฉายวนซ้ำไปมาอยู่อย่างนั้น แม่คงรู้สึกเจ็บช้ำมากกว่านี้หลายเท่า ความละอายบาดลึกถึงขั้วหัวใจ…ฉันอยากกลับบ้าน ถ้าย้อนเวลาได้ฉันจะไม่มาเหยียบที่นี่แต่แรก
เมื่อแสงแรกของวันรุ่งขึ้นเริ่มส่องฉันรีบวิ่งออกจากป่าไปยังบ้านเพื่อนที่อยู่ห่างออกไป สภาพฉันตอนนั้นไม่ต่างจากคนบ้าเท่าไหร่ เพราะไม่แค่หน้าผมมอมแมม เสื้อผ้าขาดวิ่น หรือรอยแผลตามตัวเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสติสตังของฉันที่ไม่ครบร้อยเหมือนเดิมแล้ว ฉันมองเห็นต้นตามมาหลอกหลอนอยู่ตลอดเวลา พาให้รู้สึกหวาดกลัวและเสียใจในคราวเดียวกัน ตอนนั้นฉันกลายสภาพจากดาวเด่นในสายตาเพื่อนฝูงเป็นอีบ้าที่สุดแสนจะน่าเวทนาไปเสียแล้ว
เพื่อนช่วยฉันให้กลับบ้านที่กรุงเทพฯโชคยังดีที่แม่ยินดีต้อนรับฉันกลับบ้าน ส่วนพ่อยังคงโกรธฉันไม่ยอมหาย ความบอบช้ำทางกายและใจทำให้ฉันต้องรักษาตัวเป็นเวลานาน นอกจากรักษาแผลที่โดนทำร้ายแล้วยังต้องพบจิตแพทย์เพื่อบำบัดอาการทางจิตอยู่เป็นปี ๆ
เมื่อพายุร้ายจางหายไป ก็ถึงเวลาของสายรุ้ง ฉันเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่สำนึกแห่งความผิดบาปที่มีต่อพ่อแม่ผลักดันให้ฉันทำทุกอย่างให้ท่านภูมิใจ ฉันเรียนต่อพร้อมกับเริ่มทำงานในอาชีพและตำแหน่งที่สามารถเลี้ยงดูท่านได้อย่างสบาย ฉันเฝ้าดูแลท่านไม่ห่าง ทำหน้าที่ลูกอย่างสุดกำลังเพื่อชดเชยวันเวลาหนึ่งปีที่ฉันต้องทำให้ท่านร้องไห้ แม้ฉันจะกลับไปแก้ไขอดีตไม่ได้แล้วแต่อย่างน้อยเวลานี้ครอบครัวของเราก็กลับมามีความสุขกันได้อีกครั้ง
ไม่นานนักก็มีชายหนุ่มแสนดีเข้ามาในชีวิตฉัน เขาทั้งอบอุ่น ใจเย็น เป็นผู้นำเป็นสุภาพบุรุษ และแสนดีที่สุดเท่าที่เคยเจอมา แม้จะไม่ใช่ผู้ชายหล่อเหลา ไม่ใช่ผู้ชายกระเป๋าสตางค์หนา แต่ฉันก็รักเขาหมดหัวใจเขามองข้ามอดีตอันแสนเลวร้ายของฉันไปหมดและขอให้ฉันปล่อยวางมันลงเช่นกัน…แต่นี่ยังไม่ถึงตอนจบของเรื่อง
ระหว่างชีวิตกำลังไปได้สวย หญิงนิรนามหลายคนที่เคยโทร.มาเยาะเย้ยฉันคราวนี้กลับโทร.มาร้องห่มร้องไห้ว่าต้นทิ้งพวกเธอไป หนำซ้ำผู้หญิงบางคนบอกว่าเธอกำลังตั้งท้องกับต้นและจะไปทำแท้ง ได้ยินอย่างนั้นฉันก็ทิ้งความแค้นไปชั่วขณะ หันมาปลอบโยน ให้ข้อคิดและกำลังใจ เพื่อให้เธอหยุดความคิดบาปเหล่านั้น นั่นทำให้หญิงสาวหลายคนกลายมาเป็นเพื่อนที่ดีกับฉัน ขณะเดียวกันก็มีหญิงสาวหน้าใหม่โทร.มาเยาะเย้ยฉันเป็นระยะ ๆ
ทุกวันนี้ฉันพยายามลบภาพความทรงจำที่เคยมีกับต้นเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่กับผู้ชายคนปัจจุบันแต่เรื่องร้าย ๆ ก็มักตามมาหลอกหลอนอยู่เสมอ ต้นยังใช้เบอร์โทรศัพท์แปลก ๆ โทร.เข้ามาเป็นระยะหลายครั้งโทร.มาขอคืนดี หลายครั้งโทร.มาขอมีเพศสัมพันธ์อย่างหน้าไม่อาย ทว่าผู้ชายแสนดีของฉันกลับให้อภัยและคอยเป็นกำลังใจให้กัน
แม้ฉันจะเจอผู้ชายที่ดีที่สุดในชีวิตแล้วแต่ฉันกลับไม่อาจเป็นหญิงแสนดีสุดเพอร์เฟ็กต์ให้เขาได้ บทเรียนในอดีตทำให้ฉันกลายเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย งี่เง่า ตามเฝ้าตามหึงหวงคนรัก ทั้ง ๆ ที่เขาไม่เคยนอกใจฉันเลยแม้ในความคิด ฉันอารมณ์ร้าย ฉุนเฉียว เกรี้ยวกราด ทำลายข้าวของรุนแรงขึ้นทุกวัน โดยที่ฉันไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เลย และที่แย่ไปกว่านั้น คือฉันก็ไม่รู้ว่าเขาจะอดทนกับฉันได้นานสักแค่ไหน
นั่นอาจเป็นเพราะความสะเพร่าของฉันในอดีตที่ได้ทิ้งรอยตำหนิเอาไว้ให้ดูต่างหน้า…ตำหนิที่ไม่ใช่บาดแผลร่างกายหากแต่เป็นตำหนิที่เป็นแผลลึกลงในใจที่อาจทำให้ฉันสูญเสียคนดี ๆ คนหนึ่งไปสักวัน
แง่คิดจากพระมหาวีระพันธุ์ ชุติปัญโญ (นามปากกา ชุติปัญโญ) วัดป่าอกาลิโก จังหวัดกาฬสินธุ์
ตำหนิที่น่ากลัวยิ่งกว่าสิ่งใด มิใช่ตำหนิที่เป็นบาดแผลอันเกิดจากการถูกกระทำของผู้อื่น แต่คือ “การทำใจให้รู้สึกร้ายกับตัวเอง” ต่างหาก เพราะเมื่อคนอื่นกระทำต่อเรา แม้อาจเจ็บปวดเมื่อครั้งถูกทำร้าย ถ้าหากรู้จักเรียนรู้ที่จะให้อภัยและวางใจเป็น เรื่องร้าย ๆ เหล่านั้นย่อมทำให้เรารู้สึกเจ็บปวดน้อยลงและหายไปได้สักวัน
แต่คราใดเมื่อถูกผู้อื่นทำร้ายแล้วเราทำใจให้ “จมอยู่กับความรู้สึกร้าย” นั้นพร้อมกับสร้างความโกรธเกลียดชิงชังขึ้นมาในใจตน ความทุกข์ที่ถูกฝังลงไปโดยมีเราเป็นผู้ยินดีที่จะเสพอารมณ์แห่งความร้ายกาจในจิตตนนั้น ย่อมกลายเป็นเชื้อโรคร้ายที่จะทำลายเราทุกขณะ และพร้อมจะแพร่ความร้ายนั้นไปสู่ผู้อื่นอย่างไม่มีประมาณ
ฉะนั้น หากมีตำหนิที่เกิดขึ้นจากการใช้ชีวิต จงนำ “ตำหนิคือความผิดพลาดนั้น” มาเป็นครูสอนชีวิตให้ฉลาดขึ้น มิใช่ขลาดเขลากว่าเดิม มิควรจมอยู่กับอดีตที่ปวดร้าวจนลืมเยียวยาชีวิตที่เหลืออยู่ แต่ควรทำบาดแผลแห่งอดีตให้กลายเป็น “แผลเป็น” ให้ได้ คือแม้เหตุการณ์นั้นไม่เคยหายไปจากใจแต่ก็ไม่อาจทำให้ใจเรารู้สึกเจ็บปวดเมื่อคิดถึงมัน จงเรียนรู้ความผิดพลาดเมื่อคราอดีตเพื่อสร้างปัจจุบันให้ทรงคุณค่าแล้วปัจจุบันที่ถูกหล่อเลี้ยงด้วยสิ่งที่มีความหมายที่งดงามกว่าจะกลายเป็นสิ่งที่ช่วย “ก่อสุข” ให้กับเรา ทั้งในปัจจุบันที่มีชีวิตอยู่และอนาคตที่กำลังจะก้าวไป…
เรื่อง พเยีย เรียบเรียง รำไพพรรณ บุญพงษ์ ภาพ สรยุทธ พุ่มภักดี สไตลิสต์ สุธีร์ รติวัฒน์บุญญา
บทความน่าสนใจ
Dhamma Daily : เผลอพูดจาตำหนิพ่อแม่เป็น บาป หรือไม่ แก้ไขอย่างไรดี
ชวนเที่ยว 5 วัด ลดเครียด-ใจสงบวันหยุด
10 เรื่องน่าสงสัยเกี่ยวกับการใส่บาตรพระ (เรื่องน่ารู้)
Dhamma Daily: ทำอย่างไรไม่ให้รู้สึกแย่กับ คำวิพากษ์วิจารณ์ ของคนอื่น