ณเดชน์ คูกิมิยะ เผยชีวิตเบื้องหลังซูเปอร์สตาร์
พร้อมเปิดตัวมารดาผู้เป็นดั่งลมใต้ปีก
บทสัมภาษณ์นี้เกิดขึ้นบนรถไฟหัวกระสุนความเร็วกว่า 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มุ่งหน้าจากเมืองเซ็นดะอิ ประเทศญี่ปุ่นเข้าสู่กรุงโตเกียว ณเดชน์ คูกิมิยะ พระเอกหนุ่มขวัญใจคนไทยย้ายจากที่นั่งข้างๆ มารดาของเขามานั่งข้างๆ ผมเพื่อให้สัมภาษณ์ เสื้อยืดสีขาว กางเกงคาร์โก้ขายาวสีคาราเมลตัวโปรด รองเท้าผ้าใบสีเหลืองอ๋อย แว่นตาเลนส์หนา ผมหน้าม้าที่ปรกหน้าผากเนื่องจากยังไม่ได้ผ่านการตกแต่ง ทำให้เขาดูเด็กลงเมื่อเทียบกับมาดเท่ๆ แบบพระเอกในละคร
อาจเพราะความเป็นซูเปอร์สตาร์ยังเดินทางมาไม่ถึงแดนอาทิตย์อุทัย ณเดชน์จึงดูสบายๆ กว่าที่เคยเป็น ห้าวันที่ได้ทำงานใกล้ชิด ทำให้รู้สึกว่าเขาก็เป็นแค่เด็กวัยรุ่นคนหนึ่งที่กำลังเรียนรู้ถูก-ผิดจากสิ่งรอบตัว อาจดูซุกซนในบางครั้ง แต่ต้องบอกว่าเขาเป็นคนมีชื่อเสียงที่น่ารักมากถึงมากที่สุดคนหนึ่งเท่าที่เคยรู้จัก ไม่ถือตัว จิตใจดี มองโลกในแง่บวก มีน้ำใจ ที่สำคัญคือ เป็นวัยรุ่นที่สะกดคำว่า “ธรรมะ” เป็น และยึดถือเป็นแนวทางในการใช้ชีวิต …ณเดชน์หันไปมองซากุระนอกหน้าต่าง แกะข้าวปั้นไส้ปลาแซลมอนใส่ปากอย่างเอร็ดอร่อย ก่อนจะหันมาตอบคำถามที่ร่างขึ้นจากเมืองไทย ซึ่งแน่นอนว่าเป็นคำถามอันเนื่องมาจากความเป็นซูเปอร์สตาร์ของเขานั่นเอง
โลกทุกวันนี้เติมไปด้วยสารพัดสิ่ง มีทั้งดีและไม่ดี คิดว่าการเป็นวัยรุ่นที่อยู่ในศีลธรรมยากแค่ไหนครับสำหรับตัวเอง
จริงๆ แล้วไม่ยากนะครับ เพียงแต่เราจะมีสติพอที่จะนำมาใช้ให้เหมาะกับวัยและสถานะของตัวเองได้อย่างไร วัยรุ่นเป็นวัยอยากรู้อยากเห็น มีสิ่งที่ต้องเรียนรู้มากมาย แต่ก็ควรมีศีลธรรมกำกับการใช้ชีวิต สิ่งหนึ่งที่วัยรุ่นสมัยนี้ขาดคือเวลาที่ควรจะมีให้ครอบครัว เอาใจใส่ครอบครัว รวมถึงการดูแลข้างในตัวเอง คนสมัยนี้รูปร่างหน้าตาดีกว่าแต่ก่อนเยอะ เพราะวิทยาการหลายอย่างช่วย แต่มักดูแลกันแต่ภายนอกไม่ดูแลข้างใน คือสติและความนึกคิด ยกตัวอย่างง่ายๆ อย่างการมองโลก คนเราต้องรู้จักสร้างความสุขให้ตัวเองด้วยการมองโลกในแง่บวก ความทุกข์หลายๆ อย่างมาจากความคิดเราเอง บางคนนึกถึงแต่ความทุกข์ เก็บแต่ความทุกข์มาคิดจนติดเป็นนิสัย กลายเป็นคนนอยด์ เจออะไรหน่อยก็นอยด์ ทำให้ชีวิตไม่มีความสุข
ทราบว่าณเดชน์เข้าวัดตั้งแต่เด็กและมีพระที่นับถืออยู่หลายรูป
ถือเป็นบุญครับที่ผู้ใหญ่พาเข้าวัด ผมเกิดวันอังคาร ตอนเป็นเด็ก ทุกวันอังคารคุณแม่จะพาไปใส่บาตรหน้าบ้าน แต่ถ้าเป็นวันพระ จะพาไปวัด ถวายสังฆทาน รวมถึงถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของหลวงพ่อ คุณแม่มีพระที่นับถืออยู่หลายรูป ท่านมักจะพาผมไปนมัสการ หลวงพ่อเฉย วัดสระเกษ (อำเภอแวงใหญ่ จังหวัดขอนแก่น) หลวงพ่ออุ้มผมมาตั้งแต่เด็ก ตอนเด็กผมงอแง ร้องไห้เก่ง คุณแม่เลยเอาไปถวายพระเหมือนยกให้เป็นลูกพระ ทำให้เลี้ยงง่ายขึ้น ทุกวันนี้ถ้ามีเวลาว่างก็ยังไปนมัสการอยู่
พอโตขึ้นหน่อยคุณแม่ก็พาไปนมัสการ หลวงพ่อกล้วย ที่จังหวัดอุดรธานี และ พระอาจารย์จอง ที่อำเภอภูเวียง ผมกับคุณแม่ได้สร้างเจดีย์และนำผ้าป่าไปถวายที่วัดมาสองปีแล้ว ก่อนเข้ามาทำงานในวงการบันเทิงก็ไปนมัสการ หลวงพี่อุเทน (พระครูปลัดอุเทนสิริสาโร) วัดท่าไม้ จังหวัดสมุทรสาคร ท่านสอนอะไรดีๆ ให้ผมหลายอย่าง ไม่นานมานี้ก็ได้ไปนมัสการ ท่าน ว.วชิรเมธี กับโครงการ “คนหล่อขอทำดี” ของนิตยสาร สุดสัปดาห์
มีโอกาสได้เสวนาธรรมและตักบาตรหนังสือกับท่าน ท่าน ว.ให้หนังสือและซีดีธรรมะมาฟัง ผมเปิดฟังและอ่านหมดเลย ชอบที่ท่านประยุกต์ธรรมะเข้ากับโลกปัจจุบัน ทำให้เข้าใจง่าย อย่างการสอนเรื่องสิ่งที่สูงค่ากว่าเงินหรือ “กฎแห่งการแบ” คือการรู้จักให้โดยไม่ทุกข์ ให้อย่างมีความสุข ซึ่งไม่ใข่การให้เงินหรือให้ของ แต่เป็นการให้อภัย ให้ใจ ให้ด้วยคำพูด ทำให้ผมกลับมามองการเป็นนักแสดงว่าเราก็อยู่ในกฎของการแบได้เหมือนกัน
ช่วงวัยรุ่นผมก็เคยติดเพื่อน ติดเกม และนอนตื่นสาย ทำให้ห่างจากศาสนาไปบ้าง จากที่เคยลุกไปใส่บาตร ก็ไปบ้างไม่ไปบ้าง บ้างครั้งขี้เกียจมาก ไม่ยอมตื่น คุณแม่ต้องลากลงจากเตียง พอมาทำงาน ยิ่งไม่ค่อยมีเวลา รู้สึกว่าตัวเองห่างวัดไป บางครั้งอยากสวดมนต์ แต่เหนื่อยมาก พอถึงเตียงก็นอนเลย แต่ก็เพราะการทำงานนี่เองที่ทำให้ผมได้กลับไปหาธรรมะอีกครั้ง
หลายครั้งรู้สึกว่าพลังชีวิตถดถอย นอกจากครอบครัวแล้ว ก็มีพุทธศาสนานี่แหละที่ช่วยได้ ถ้าเจอเรื่องหนักๆ ผมจะเข้าไปนั่งในห้องพระ นั่งเฉยๆ นิ่งๆ บอกตัวเองว่า ถ้ายังคิดไม่ออกก็ไม่ต้องคิด เพราะผมรู้สึกว่าบางครั้งยิ่งคิดก็ยิ่งพัน การคิดหาทางแก้ในเวลาที่สมองวุ่นวายอาจพบกับทางออกผิดๆ เลยนั่งนิ่งๆ แทน ให้เวลาช่วยแก้ไข
มีเรื่องไหนบ้างครับที่ทำให้ชีวิตตกอยู่ในสภาวะนั้น
ความเหน็ดเหนื่อยจากการทำงาน ปัญหากับคน และสิ่งรอบตัว ผมทำงานเกินตัว เกินวัย บางครั้งความคิดความอ่านที่มีก็ไม่พอจะแก้บางปัญหาได้ ถ้าเป็นอย่างนั้น ผมจะไปคุยกับคุณแม่และคุณพ่อก่อน แต่ถ้ายังไม่หาย ก็จะอยู่นิ่งๆ กับตัวเอง ซึ่งก็ช่วยได้ บางปัญหาตื่นเช้าขึ้นมาก็ลืม ผมเริ่มทำงานตอนอายุ 17 ย่าง 18 เรียนอยู่ชั้น ม.5 จะขึ้น ม.6 ตอนเล่นละครเรื่องแรก จู่ๆ ก็รู้สึกว่าทำไม่ไหวเกิดคำถามว่า ทำไมเราต้องตื่นตั้งแต่ตีสี่เพื่อทำงานด้วย แต่สุดท้ายก็คิดได้ว่า เรามาทำตรงนี้ก็เพื่อตัวเอง เพื่อครอบครัว คุณพ่อสอนอยู่เสมอว่า “ถ้ามีลูก ต้องเลี้ยงลูกให้ดีนะ ต้องส่งลูกเรียนหนังสือ ต้องทำงาน ต้องรู้จักเก็บเงิน” พอผมมองกลับไป ก็เห็นภาพของคุณพ่อและคุณแม่ทำงานหนักมาตลอด ท่านต้องฝ่าฟันสารพัดกว่าจะสร้างครอบครัวขึ้นมาได้ ทำให้ผมสู้และทำงานมาจนถึงทุกวันนี้
ยังจำคำพูดของ คุณเอ-ศุภชัย (ผู้จัดการส่วนตัว) วันที่ชวนมาทำงานในวงการบันเทิงได้ไหมครับ
จำได้ครับ พี่เอบอกว่า “พี่จะพาไปเป็นดารา” เมื่อก่อนผมมีอคติกับวงการบันเทิงค่อนข้างสูง ผมไม่เคยดูละครเลย รายการโทรทัศน์ที่ดูตอนเด็กคือรายการ เจ้าขุนทอง เท่านั้น พี่เอเห็นผมจากรูปถ่ายและรู้จักกับอาจารย์ที่โรงเรียน (โรงเรียนขอนแก่นวิเทศศึกษา) หลังจากนั้นพี่เอก็มาหาคุณแม่ที่บ้าน ผมให้แม่คุยแทน สักพักผมก็ขอตัวไปอาบน้ำ แล้วหนีไปเที่ยวเลย (หัวเราะ)
ผมเคยดูถูกอาชีพนักแสดงว่าทำได้ไม่ยาก แค่หน้าตาดีก็ทำได้ สู้เรียนให้จบมหาวิทยาลัยแล้วไปหางานดีๆ ทำดีกว่า เป็นความคิดแบบเด็กๆ เมื่อก่อนผมอยากเรียนสถาปัตย์ แต่พอขึ้น ม.4 ก็เริ่มอยากทำรายการทีวี ความชอบเกิดตอนทำหนังสารคดีกับเพื่อนๆ เกี่ยวกับประวัติศาสตร์สากล ทำกันถึงตีสาม พอผลงานออกมามีคนชอบก็ดีใจ เคยทำโฆษณารณรงค์ให้เลิกเหล้าส่งอาจารย์ ผมกำกับแล้วให้เพื่อนแสดงใช้กล้องธรรมดา ถ่ายไปลมเข้าไปดังพั่บๆ (หัวเราะชอบใจ)
ถึงตอนนี้ถ้ามีใครสักคนพูดว่า วงการนี้แค่หน้าตาดีก็ทำได้แล้ว จะบอกเขาว่า
บอกว่า คุณเข้าใจผิดแล้ว หน้าตาเป็นแค่ส่วนหนึ่ง สิ่งที่สำคัญกว่าหน้าตาคือ คุณต้องแข็งแกร่งมาก ต้องอดทนสูง ต้องรักและดูแลตัวเอง อาชีพนี้ถือเป็นอาชีพที่ประเสริฐอาชีพหนึ่ง เพราะได้มอบความสุขให้กับคน ทั้งยังเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจใครๆ หลายคน จึงต้องเป็นแบบอย่างที่ดี คำว่าอดทน มีทั้งความอดทนทางด้านร่างกาย คืออดทนต่อความเหนื่อยล้า กับความอดทนทางใจ อย่างเรื่องข่าว ถ้าท้อแท้หรือกลัวสิ่งที่เข้ามาชีวิตจะพังทลายได้ง่ายๆ คุณกลัวได้เพื่อเตือนสติตัวเอง ถ้ารู้ว่าอะไรไม่ดีก็จงกลัวที่จะทำ แต่ถ้าอะไรดีก็จงกล้าเผชิญกับมัน
เห็นถูกนักข่าวรุมสัมภาษณ์บ่อยๆ มีครั้งไหนที่รู้สึกว่าหนักมากในการรับมือ
คงเป็นเรื่องสัญชาติ ผมโดนถามถี่มากในช่วงนั้น คนนั้นถาม คนนี้ถาม ไม่ได้ถามพร้อมกันทีเดียว ซึ่งบางครั้งก็เหนื่อยที่จะตอบ บางเรื่องพูดมากเกินไปก็ไม่ดีกับตัวเอง พูดน้อยๆ ให้คนเข้าใจง่ายๆ เป็นสิ่งที่ดีที่สุด บางอย่างที่ไม่พูดหรือไม่บอกเพราะผมคิดว่ามันไม่จำเป็น อีกอย่างผมมองว่าเรื่องครอบครัวเป็นเรื่องส่วนตัว การที่สังคมไทยบอกว่าเมื่อคุณเป็นคนของประชาชน ประชาชนจึงสามารถรู้เรื่องของคุณได้หมด ผมว่าไม่ใช่สิ่งที่ถูกนัก เพราะบางเรื่องก็เป็นสิทธิส่วนบุคคล
ดูผูกพันกับครอบครัวค่อนข้างมาก
ผมใช้ชีวิตกับแม่ๆ ป้าๆ และน้าๆ เยอะ คุณยายของผมมีลูกสาว 5 คน ผมเป็นผู้ชายคนที่สองของบ้าน บรรยากาศในครอบครัวของเราอบอุ่นเฮฮาแบบคนอีสานซึ่งชอบความสนุกอยู่แล้ว คุณยายเป็นศูนย์รวมของครอบครัว ถ้ามีวันหยุดลูกๆ หลานๆ จะมารวมตัวกันที่บ้านคุณยายที่ขอนแก่น พอท่านเสียไป รู้สึกว่าครอบครัวเราเล็กลง เหมือนไม่มีศูนย์รวมใจ อีกอย่างคุณยายของผมก็ตัวใหญ่ (ยิ้ม) จึงเหมือนว่ามีบางอย่างขาดหายไป ป้าบางคนก็ไปทำงานต่างประเทศ นานๆ ถึงจะกลับ แต่ก็ยังรักกันเหมือนเดิมครับ
คุณแม่มีวิธีเลี้ยงดูอย่างไรครับ
คุณแม่จะสอนรายละเอียดในการใช้ชีวิต ส่วนคุณพ่อจะสอนเรื่องความรับผิดชอบแบบผู้ชาย ตอนประถม คุณพ่อจะเน้นเรื่องการเก็บเงิน พอขึ้นมัธยม เน้นเรื่องครอบครัวและการมีครอบครัวของตัวเองในอนาคต ท่านมักจะบอกว่า ให้หางานดีๆ ทำ เก็บเงิน อย่าใช้เงินเยอะ ถ้าจะใช้ ให้ใช้ในส่วนของพ่อกับแม่ ให้แบ่งเงินจำนวนหนึ่งไว้ให้ลูกเรียน ให้ฝากเงินไว้ที่ภรรยา และต้องเลือกแม่ของลูกที่ดี แต่ทุกวันนี้ท่านไม่พูดแล้ว คิดว่าท่านคงเห็นในสิ่งที่ผมทำ ตอนนี้ผมก็เริ่มเก็บเงินให้ลูกแล้วนะครับ นานๆ ทีถึงซื้อของ
คุณแม่จะเน้นเรื่องความประหยัด สมัยเด็กขอเงินยากมากต้องจำเป็นจริงๆ ถึงจะซื้อให้ เวลาอยากได้อะไรจากคุณแม่ ผมจะเข้าไปประจบ ทำตัวเหมือนแมว เดินไปสีข้างตัวท่าน ของที่ได้ตอนเป็นเด็กโดยมากเป็นของรางวัลที่ท่านให้จากการเรียนหรือเห็นว่าทำตัวดี ก็มีเลโก้ จักรยาน ส่วนของชิ้นใหญ่ที่สุดที่คุณแม่ซื้อให้คือคอมพิวเตอร์
ทราบจากคุณแม่ของณเดชน์ว่า วิธีเลี้ยงลูกของท่านคือเลี้ยงแบบเพื่อน
ใช่ครับ คุยกันง่ายๆ มีอะไรก็ปรึกษากัน มันอาจจะเป็นสิ่งที่ยากสำหรับวัยรุ่น ที่จะคุยทุกเรื่องกับพ่อแม่ แต่มันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ควรทำ เรื่องบางเรื่องคุยกับเพื่อนได้คำตอบอย่างหนึ่ง คุยกับคนสายเลือดเดียวกันหรือต่างสายเลือดกันก็ได้อีกอย่างหนึ่ง การคุยกับครอบครัวเป็นสิ่งที่วัยรุ่นมักจะคิดว่ายากที่สุด “เดี๋ยวแม่ด่า ไม่เอาดีกว่า” คิดว่าตายแน่ถ้าคุยกับคุณแม่เรื่องนี้ จึงหันไปหาที่พึ่งอื่น
จริงๆ ปัญหาวัยรุ่นก็มีไม่กี่เรื่อง อาทิ ความรัก
คุณแม่ไม่ค่อยห้ามผมเรื่องนี้ คุณแม่บอกว่า ท่านไม่เคยมีแฟนจนกระทั่งเรียนจบมหาวิทยาลัย เพราะสมัยก่อนครอบครัวหวง ท่านบอกว่า จริงๆ แล้วความรักแบบกุ๊กกิ๊กก็สร้างสีสันและเป็นกำลังใจได้ ผมเองก็คิดว่ามันทำให้หัวใจกระช่มุ กระชวย เชื่อไหมผมมีแฟนตั้งแต่อยู่อนุบาล พอบอกคุณแม่ว่าผมมีแฟนแล้วนะ ท่านก็ถามว่าคนไหน ชี้ให้ดูหน่อยสิ ยังจำได้ เขาชื่อ พลอย เจอกันตอนเรียนอนุบาล 2 เด็กอนุบาลต้องนอนกลางวัน ผมชอบไปนอนข้างๆ เขา
ช่วง ป.1 ถึง ป.5 ผมเรียนโรงเรียนชายล้วน แต่ย้ายมาเรียนที่โรงเรียนขอนแก่นวิเทศศึกษา ซึ่งเป็นโรงเรียนสหศึกษาตอน ป.6 วันหนึ่งมีเพื่อนคนหนึ่งมาบอกว่า “แบรี่ (ชื่อเล่นของณเดชน์) ผู้หญิงคนนี้ชอบแบรี่นะ” ผมถามว่า “คนไหนเหรอ” เขาชี้ไปที่ผู้หญิงคนหนึ่ง ผมตื่นเต้นมาก คิดว่าเราเพิ่งเข้ามาเรียน แต่มีผู้หญิงชอบแล้วหรือนี่ เลยเดินเข้าไปถามว่า “เธอชอบเราเหรอ” ผู้หญิงอายแล้ววิ่งหนีไปเลย (หัวเราะ) มารู้ตอนหลังว่าเขาชื่อ แคท เป็นลูกครึ่ง
ช่วงนั้นผมนั่งรถบัสของโรงเรียนไปกลับ ได้นั่งข้างกัน ผมชอบเพราะเขาน่ารัก บางทีก็แกล้งหลับแล้วไปพิง เขาก็ตี แต่ตอนหลังก็เป็นเพื่อนกัน ผมเป็นคนไม่กล้าเข้าหาหรือจีบใครก่อน โดยมากจะเป็นเพื่อนของเพื่อน ไปดูหนังเป็นกลุ่มๆ แล้วเจอกัน ถ้าชอบก็ถามเพื่อนว่าเขามีแฟนหรือยัง ผมว่า ถ้าพ่อแม่เข้าใจ วัยรุ่นจะไม่มองว่าความรักเป็นความลับ เขาจะคิดว่าเป็นเรื่องที่เปิดเผยกับพ่อแม่ได้ วันหนึ่งถ้าอกหักเสียใจ เขาจะหันหน้ามาคุยกับพ่อแม่และไม่ทำร้ายตัวเอง ที่ครอบครัวผมคุยเรื่องนี้ได้ เพราะเราเลี้ยงดูกันด้วยความรัก ถ้าไม่มีความรัก คำว่าครอบครัวก็ไม่มีความหมาย ความรักทำให้ครอบครัวเป็นปึกแผ่น
ทุกวันนี้รู้สึกอย่างไรกับชื่อเสียงของตัวเองครับ
ผมไม่รู้สึกอะไรเลย จะคำว่า “ซูเปอร์สตาร์” หรือ “อันดับหนึ่ง” รู้สึกว่าไม่มีอะไรเลยในคำเหล่านี้ แต่มันก็สอนเราให้รู้จักตัวเอง รู้จักวางตัว รู้จักใช้ชีวิตในสังคม ยิ่งอยู่สูงก็ยิ่งมีสิ่งต่างๆ เข้ามาหา จึงต้องมีสติอยู่ตลอด
ในวันที่ชีวิตมาถึงจุดที่ขยับตัวนิดก็เป็นข่าว เตือนตัวเองหรือบอกตัวเองอย่างไรให้ไกลจากการถูกตำหนิติเตียน เพราะถ้าอยากไปเที่ยวกลางคืนก็ทำได้ยาก อยากจีบผู้หญิงก็ไม่ได้…
ผมว่าทุกอย่างมีทางออก ไปสังสรรค์กับเพื่อนๆ ผมก็ไปนะ ไม่ใช่ไม่ไปเลย แต่จะเลือกไปร้านที่คนน้อยหน่อยหรือสังสรรค์ที่บ้านแทน แม่จะได้ไม่เป็นห่วงด้วย เรื่องสาวๆ ถ้าเจอก็รู้จักกันได้ วันหลังมีโอกาสสานต่อก็คุยกัน แต่คงไม่ถึงกับเดินเข้าไปขอเบอร์ ผมไม่กล้า ไม่เกี่ยวว่าผมคือณเดชน์ แค่เขินเรื่องอื่นๆ ที่ไม่ดีไม่ค่อยมี เพราะเมื่อไรที่กำลังจะทำสิ่งที่ไม่ดี ผมจะบอกตัวเองตอนนั้นเลยว่าไม่ดีๆ แล้วถอยออกมา
ถ้าวันหนึ่ง ณเดชน์ไม่ดังเท่าวันนี้ รายได้ไม่เท่าวันนี้ จะรับได้ไหม
รับได้ครับ (ตอบทันที) อาจจะไม่เหนื่อยเท่าวันนี้ด้วย ถ้าถึงวันนั้นทำงานเบื้องหลังได้ก็จะทำ อาจทำรายการของตัวเอง เปิดโรงเรียนสอนเด็กๆ เรื่องเงินถามว่าหลงกับมันไหม ก็หลงนะ ทำงานทุกวันนี้นอกจากความสุขก็คือเงิน แต่ผมหลงกับการวางแผนที่จะนำเงินไปใช้ในอนาคต ไม่ใช่หลงกับตัวเลขที่ได้รับ มองอีกแง่ กิเลสก็เป็นสิ่งที่ดี มันทำให้เรามีความพยายาม เช่น อยากประสบความสำเร็จ อยากทำความดีเพื่อให้คนยอมรับ ฯลฯ แต่ไม่ใช่มัวเมาไปกับชื่อเสียงเงินทอง หลายงานที่ทำผมไม่รู้หรอกว่าได้เงินเท่าไร ปล่อยให้ผู้ใหญ่เขาคุยกัน พอได้มาคุณแม่จะเก็บและจดว่างานนี้ได้เท่านี้ ถ้าเหนื่อยก็บอกผู้จัดการว่าไม่ไหว ขอพักสักวัน ถ้าเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ผมก็จะหยุด ไม่ได้หยุดทำงาน แต่หยุดเพื่อเลือกทำบางอย่างที่สบายขึ้น แล้วแต่งงานมีครอบครัวเลย
ความเปลี่ยนแปลงคือสัจธรรม แต่เคยได้ยินนักข่าวตั้งคำถามว่า “ณเดชน์เปลี่ยนไป ไม่เหมือนเดิม”
ผมว่า ชีวิตคนเราก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ นะ ไม่มีอะไรแน่นอน จิตใจ การกระทำ ความคิดความอ่าน…ผมว่า คนเราเปลี่ยนแปลงตามวัยและสิ่งใหม่ๆ ที่เข้ามา ทุกอย่างมีเหตุและผล ผมเคยถูกถามว่าทำไมไม่พูดภาษาอีสานแล้ว จะบอกว่าผมพูดบ่อยมาก (เน้นเสียง) เวลาอยู่กองถ่าย อยู่กับช่างไฟ แม่บ้าน และช่างแต่งหน้าที่เป็นคนอีสาน เพียงแต่ไม่ได้พูดออกสื่อและพี่ๆ สื่อไม่ได้เห็นตอนที่ผมพูด ถามว่าผมเปลี่ยนไปไหม ก็เปลี่ยนบ้าง แต่เป็นการเปลี่ยนเพื่อให้อยู่ในสิ่งแวดล้อมหรือบางสถานการณ์ได้เท่านั้นเองครับ
เกิดเป็นณเดชน์ ทั้ง หล่อ รวย มีชื่อเสียง ทำให้มีแต่คนอยากเป็นแบบนี้บ้าง อยากรู้ชีวิตณเดชน์ในมุมที่น้อยคนจะรู้
เกิดเป็น ณเดชน์ คูกิมิยะ เหนื่อยนะครับ แต่มันสอนอะไรหลายอย่าง ถ้าทุกวันนี้ผมเป็นแค่นักศึกษาในมหาวิทยาลัยคนหนึ่ง ผมคงไม่ได้ทำอะไรแบบนี้ ไม่ได้เรียนรู้โลกเร็วขนาดนี้ แต่เกิดเป็นใครผมว่ามันก็ยากทั้งนั้นแหละ ไม่ใช่แค่ผม แต่ละคนก็มีสิ่งที่ต้องรับผิดชอบต่างกันไป และคนแต่ละคนก็มีมุมที่ดีของตัวเอง ความยากในการเกิดเป็นณเดชน์คือ การเป็นคนในแบบที่คนอื่นอยากให้เป็น ต้องเป็นคนดีตลอด ห้ามโกรธ การทำให้คนที่ยังไม่รู้จักตัวเราดีพอผิดหวังกับสิ่งที่เขาคาดหวัง มันหนักนะครับ ไปทำให้เขาเสียใจเราก็รู้สึกผิด การที่เขาเอาตัวเองมายึดเหนี่ยวกับคนที่เขาชอบหรือศิลปินที่ชื่นชอบ ความคลาดเคลื่อนของสิ่งที่ค้นพบเพียงนิดเดียวก็อาจทำให้เขารู้สึกแย่ได้
พอทราบไหมว่าคนส่วนใหญ่คาดหวังอะไรจากณเดชน์บ้าง
ความดีงาม (ยิ้ม) ไม่ถึงกับเป็นภาระที่ต้องแบก แต่เป็นความท้าทายที่ต้องทำให้ได้ เมื่อก้าวมายังจุดที่มีคนจับตามอง มีคนจ้องดูทุกวินาทีที่อ้าปากพูด มองเห็นแม้แต่น้ำลายที่กระเด็นออกจากปาก ก็ต้องทำตัวให้ดี ณเดชน์ที่อยู่ข้างนอกเปรียบเทียบกับความเป็นณเดชน์ที่อยู่บ้านบางครั้งก็มีความห่างไกลกัน เวลาผมยืนอยู่ในจุดที่ทุกคนมองเห็น ผมต้องทำตัวเป็นผู้ใหญ่มากกว่าที่เป็น เป็นแบบอย่างที่ดี…ซึ่งมันอาจจะมากกว่าตัวจริงที่ผมเป็น ผมต้องนำเสนอด้านลบของตัวเองออกไปให้น้อยที่สุด แต่ถามว่าผมมีความสุขไหมกับอาชีพนี้ ผมมีความสุข มีพี่ๆ นักแสดงหลายคนบอกผมให้นึกถึงมุมที่ดีๆ ของอาชีพนี้ ทำให้ผมเกิดความภูมิใจ ดีใจที่ได้ทำให้คนอื่นมีความสุขและยิ้มกับสิ่งที่เรามอบให้
บทความน่าสนใจ
เจาะใจ 3 นางร้าย เจ้าของหัวใจนางเอ๊ก นางเอก
ชีวิต “จริง” ของนางเอกสาวขาลุย ต่าย สายธาร นิยมการณ์
เรื่องเล่าของคุณยายอัลไซเมอร์ ที่จะทำให้คุณเห็น คุณค่าของความทรงจำ
สารพัด ” ทุกข์ของคนเป็นแม่ ” แก้ไขได้ด้วยธรรมะ