“ซูเปอร์ฮีโร่ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันแต่เป็นธรรมประจำใจ” เอ พศิน เรืองวุฒิ (จบ)
ผม เอ พศิน เรืองวุฒิ เคยแสดงหนัง แสดงละคร ถ่ายโฆษณามาตั้งแต่อายุ 5 ขวบด้วยการผลักดันของคุณพ่อ (เรืองนาม เรืองวุฒิ) ซึ่งเป็นนักข่าวบันเทิงในยุคนั้น แต่พออายุได้ 12 ขวบผมก็ตัดสินใจลาจากวงการบันเทิงเพื่อเรียนหนังสือเพียงอย่างเดียว
การเข้าวงการบันเทิงอีกครั้งของผมหลังเรียนจบจากมหาวิทยาลัยไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เหมือนในวัยเด็กอีกต่อไป ผมต้องเริ่มต้นชีวิตใหม่หมดส่งประวัติให้เขาดูเขาก็ไม่สนใจ ต้องไปทดสอบการแสดงกว่า 50 งาน ไม่มีใครสนใจว่าผมเคยเป็นดาราเด็กมาก่อน แต่เขาสนใจว่าผมจะแสดงบทที่เขาให้แสดงตอนนี้ได้หรือเปล่าเท่านั้น
ผมต้องแสดงเป็นตัวประกอบพูดไม่กี่ประโยค บางครั้งเห็นแค่เท้าก็มี ได้เงินบ้างไม่ได้เงินบ้างอยู่ 4 ปีเต็มๆ ก่อนจะแจ้งเกิดอีกครั้งอย่างไม่เคยนึกฝันมาก่อนจากบทของตำรวจที่ฆ่าพระเอกในหนังเรื่องฟ้าทลายโจร
การกลับมาแสดงครั้งแรกของผมเป็นการเล่นที่แข็งทื่อมาก แต่บังเอิญเป็นบุคลิกที่ตรงกับเรื่องราวในเรื่องที่เป็นหนังย้อนยุค ต้องเลียนแบบท่าทางของดาราสมัยก่อน ทำให้ผมแจ้งเกิดจากหนังเรื่องนี้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ชีวิตในวงการบันเทิงคนภายนอกอาจมองว่าสบาย สวยหรู แต่ความจริงแล้วบางครั้งเราก็อาจพบเจอกับเรื่องราวที่ทำให้เสี่ยงตายได้เหมือนกัน
ถึง “ร้าย” ก็ร้ายอย่างสร้างสรรค์
หลังจากเริ่มมีชื่อเสียงจากหนังเรื่องฟ้าทลายโจร ผมก็ได้รับงานจากช่องต่างๆ ค่ายต่างๆ มาเรื่อยๆ ตั้งแต่ช่อง 5 ของคุณบอย – ถกลเกียรติ วีรวรรณ ช่อง 3 ของคุณจิ๋ม – มยุรฉัตร เหมือน-ประสิทธิเวช และผู้จัดท่านอื่นๆ อีกมากมาย
ด้วยแววตาท่าทางของผมทำให้ส่วนใหญ่ได้รับบทผู้ร้าย ทุกครั้งที่ได้รับบทนี้ผมแสดงเต็มที่ ไม่กลัวว่าคนจะเกลียด เพราะคิดว่าทุกอย่างเป็นการแสดง และตัวจริงของผมก็แตกต่างจากบทที่ได้รับอย่างสิ้นเชิง
แม้ผมจะเป็นผู้ชาย แต่ผมไม่ชอบเรื่องท้าตีท้าต่อย ในชีวิตนี้นับได้เลยว่าไม่เคยมีเรื่องกับใคร ถ้าจะชกกับใครก็เป็นการชกบนเวที สมัยเป็นนักมวยสมัครเล่นเท่านั้น ส่วนบทตัวร้ายที่ผมได้รับนี้ผมมองว่าการเป็นนักแสดง เราสามารถที่จะเลวและร้ายได้อย่างสร้างสรรค์ คือร้ายเพื่อให้คนอื่นได้เห็นเป็นตัวอย่างว่าท้ายที่สุดแล้วจุดจบของคนที่ทำความชั่วนั้นไม่มีใครได้ดีเลยสักคน
แต่ปัจจุบันบทที่ผมคิดว่าต้องระมัดระวังในการนำเสนอสู่เด็กเยาวชนคนรุ่นใหม่คือ บทของพระเอกที่ชอบข่มขืนนางเอกหรือจับนางเอกขังมัดโซ่ เพราะ คนที่ทำตัวไม่ดีแล้วได้รับการเชิดชูว่าเป็นพระเอกผมคิดว่าเป็นเรื่องอันตราย
นอกจากนั้นผมก็เป็นนักแสดงที่ไม่เลือกบท เพราะคิดว่าการที่ผู้จัดแต่ละท่านติดต่อเรามาแสดงนั้นคงมีการกลั่นกรองคัดเลือกจากทีมงานเรียบร้อยแล้วว่าเราเหมาะสมกับบทนั้นๆ นักแสดงที่ดีไม่มีสิทธิ์เลือกว่าจะเล่นหรือไม่เล่นบทไหน เพราะหากวันหนึ่งเมื่อวันเวลาเปลี่ยนไปแล้วคุณเลือกบทไม่ได้ ตอนนั้นคุณจะลำบาก เพราะฉะนั้นต้องยึดถือคำว่า “งานเลือกคุณ ไม่ใช่คุณเลือกงาน”
ดารารุ่นก่อนอย่างคุณหมู – ดิลก ทองวัฒนา หรือคุณสะอาด เปี่ยมพงษ์สานต์ ผมถือว่าเป็นแบบอย่างที่ดีของคนในวงการบันเทิง เพราะท่านเหล่านี้มีทัศนคติและประสบการณ์มาสอนเราว่า “การเป็นนักแสดงไม่ใช่ดารา” นักแสดงต้องทำตามบทบาทหน้าที่ อย่ามาเป็นดาราที่ใครสัมผัสไม่ได้ ใครขอถ่ายรูปก็ทำหน้าบึ้งตึง แต่ต้องระลึกว่าถ้าเราไม่ทำอาชีพนี้ก็ไม่มีใครสนใจเราหรอก นอกจากนั้นอาชีพนี้มีความไม่แน่นอน อย่าคาดหวังอะไร อย่าไปยึดติด ชีวิตคือความไม่เที่ยง วันหนึ่งสังขารของเราก็ต้องโรยรา
ดังนั้นการทำงานทุกวันนี้ สิ่งที่ผมยึดถือคือการทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด แสดงสุดความสามารถในทุกบทบาทที่ได้รับและตรงต่อเวลาส่วนใหญ่ผมจะไปก่อนเวลานัดหมายประมาณครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมงเสมอ เพราะผมไม่อยากเป็นภาระของทีมงานหรือทำให้ใครต้องเดือดร้อนเพราะผม เกือบพิการเพราะเอฟเฟ็คท์
บทบาทที่ผมเล่นบางครั้งก็ต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเช่นกันครั้งหนึ่งในเรื่อง สืบรักรหัสลับ ผมเล่นบทของคนที่ทำงานให้รัฐบาลซึ่งได้รับบาดเจ็บ ต้องนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล แล้วหลังจากนั้นจะมีคนร้ายมายิงผมที่เตียง
ทีมงานจัดแจงฝังเอฟเฟ็คท์ไว้ที่หลังของผม ตอนแรกเราซ้อมบทนี้กันเป็นสิบๆ รอบเพื่อป้องกันความผิดพลาด แต่เมื่อถึงเวลาแสดงจริง เกิดความผิดพลาด เอฟเฟ็คท์ระเบิดผิดจังหวะ แรงจากระเบิดทำให้หลังของผมกลายเป็นรูโหว่ขนาดเท่าลูกเทนนิสครึ่งลูก คุณหมอที่ให้การรักษาบอกว่าอีกนิดเดียวก็อาจพิการได้ เพราะอยู่ใกล้กับเส้นประสาทที่สำคัญ
จากเหตุการณ์นี้ผมไม่ได้โกรธหรือคิดโทษใคร แต่ผมกลับได้แง่คิดว่า ชีวิตคนเราสั้นนิดเดียว ไม่ต่างกับชื่อของเราที่ขีดเขียนลงไปบนหาดทราย คลื่นซัดมาทีเดียวก็จางหาย ชีวิตก็จบสิ้นได้ง่ายๆ ดังนั้นเราต้องใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาท โดยเฉพาะผมซึ่งยังต้องดูแลคุณพ่อคุณแม่ ผมอยากดูแลเอาใจใส่ท่านให้ดีที่สุด รักท่านให้เหมือนกับที่เรารักตัวเอง ที่สำคัญ ผมไม่คิดว่าการโอนเงินให้ท่านแสนหนึ่งจะมีค่ามากไปกว่าโทรศัพท์ไปหาท่านหรือไปเยี่ยมท่านด้วยตัวเอง
ความรักความเข้าใจจากคนในครอบครัวทำให้ชีวิตของผมในแต่ละวันมีพลัง รู้ว่าเรามีชีวิตอยู่เพื่อใคร ดังนั้นต้องดูแลตัวเองให้ดีๆ ห้ามตาย ห้ามป่วยครับ
ศิลปะน้อมนำใจเข้าสู่ธรรม
ตอนเด็กๆ ผมเป็นคนที่ไม่ชอบเข้าวัด เพราะไม่ชอบเมรุ ไม่ชอบเสียงพระสวด แต่พอโตขึ้นผมกลับชอบหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า โดยเฉพาะในหลักกาลามสูตรที่ทรงสอนว่า อย่าเชื่อเพราะเหตุนั้นเหตุนี้ อย่าเชื่อเพราะคิดว่าเขาเป็นครู อย่าเชื่อเพราะเขาว่าต่อๆกันมา แต่ธรรมะเป็นเรื่องมีเหตุมีผล คนทุกคนสามารถค้นหาความจริงได้ด้วยตัวเอง
ความสนใจในเรื่องธรรมะของผมเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เมื่อผมเริ่มปฏิบัติอย่างจริงจังด้วยการไปปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิตามวัดต่างๆรวมทั้งการที่ผมสนใจวาดรูปมาตั้งแต่เด็ก ผมนำความรู้ทางด้านนี้มาใช้ในการวาดรูปพระพุทธเจ้า ซึ่งได้ทั้งสมาธิและได้ช่วยเหลือสังคมไปในคราวเดียวกัน เนื่องจากมีองค์กรการกุศลต่างๆ ขอรูปวาดของผมเพื่อนำไปประมูลหารายได้ เช่น สำนักพิมพ์ DMG และ DC. Comic ของคุณดนัย จันทร์เจ้าฉาย สาวิกาสิกขาลัยของแม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต
นอกจากนั้นความรู้ทางด้านศิลปะที่ผมมีก็ทำให้ผมได้ช่วยออกแบบเหรียญรูปพระเอกาทศรถเพื่อนำไปมอบให้แก่ทหารที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งได้ทำโครงการเพื่อช่วยเหลือสังคมร่วมกับคุณต้น -จักรกฤษณ์ อำมะรัตน์ และดารานักแสดงท่านอื่นๆ ในโครงการ“Sharing Little Project” ด้วยการนำภาพถ่ายดารามาทำเป็นโปสต์การ์ดแล้วนำไปจำหน่ายเพื่อหารายได้มอบให้มูลนิธิหรือบุคคลที่ทำงานเพื่อสังคม โดยงานนี้ผมรับทำโปสเตอร์เพื่อประชาสัมพันธ์ และติดต่อประสานงานต่างๆ
แม้การทำบุญด้วยวิธีนี้จะเหน็ดเหนื่อย แต่สำหรับผม สิ่งนี้ให้ผลทางใจ ให้ความภาคภูมิใจ อิ่มเอมใจกลับมาไม่รู้กี่ร้อยเท่า
ในอนาคตข้างหน้า นอกจากการทำหน้าที่ลูกที่ดี นักแสดงที่ดีแล้ว ผมยังอยากทำงานช่วยเหลือสังคมเท่าที่ความรู้ความสามารถและเท่าที่กำลังกายกำลังใจจะอำนวยอีกด้วย
สำหรับผม ซูเปอร์ฮีโร่ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน ทุกคนสามารถเป็นฮีโร่ได้เมื่อวาระและโอกาสนั้นมาถึง อยู่ที่ว่าเราจะเลือกทำหรือไม่ทำเท่านั้นครับ
Secret Box
Do what you can, with what you have,where you are. จงทำในสิ่งที่คุณสามารถจะทำได้ด้วยสิ่งที่คุณมีและในที่ที่คุณอยู่ ธีโอดอร์ รูสเวลท์ ประธานาธิบดีคนที่ 26 ของสหรัฐอเมริกา
บทความน่าสนใจ
การพลัดพราก ความกังวลใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในรัก
ความรักรสบาร์บีคิว ของ “ครูอารี” ฝรั่งคนเก่งขับซาเล้งขายบาร์บีคิว