เมียเงา

True story: ” เมียเงา ” เรื่องจริงของผู้หญิงที่เป็นได้เพียงภรรยาในนาม

True story: ” เมียเงา ” เรื่องจริงของผู้หญิงที่เป็นได้เพียงภรรยาในนาม

เรื่องราวการเป็น เมียเงา ของฉันเกิดขึ้นเมื่อกว่า 40 ปีที่แล้ว ค่านิยมของลูกผู้หญิงเชื้อสายจีนสมัยนั้นมีง่าย ๆ แค่แต่งงาน ปรนนิบัติสามี และมีลูก บางคนถ้าได้เลือกเองก็ดีไป บางคนผู้ใหญ่ก็จัดแจงให้เสร็จสรรพ แต่สำหรับฉัน…เพื่อนรักเป็นคนแนะนำให้

เพื่อนรักของฉันชื่อ “อาเง็ก” นอกจากเราสองคนมีอะไรเหมือน ๆ กัน เช่น มีเชื้อสายจีนเหมือนกัน เรียนห้องเดียวกันแล้ว บ้านของเรายังอยู่ทางเดียวกันอีกต่างหาก ฉันกับอาเง็กจึงสนิทกันตั้งแต่เรียนประถมหนึ่ง

บ้านของฉันเป็นครอบครัวใหญ่ มีทั้งอากง อาม่า อาอี๊ อากู๋ แล้วก็ป๊า หม่าม้า อาเจ้อีก 3 คน แล้วก็ฉันซึ่งเป็นน้องสาวคนเล็ก รวมทั้งหมด 10 คนพอดี ส่วนบ้านของอาเง็กเป็นครอบครัวเล็ก ๆ มีกันแค่ 4 คน อาป๊า อาม้า อาเฮีย และอาเง็ก ครอบครัวเราทั้งสองสนิทกัน มีอะไรก็คอยช่วยเหลือกันไม่ต่างจากญาติสนิท

แต่แล้ววันหนึ่งอาเง็กก็เดินหน้าเศร้ามาบอกฉันว่า “อาลี่ เดือนหน้าฉันต้องย้ายไปอยู่ชลบุรีแล้วนะ เราคงไม่ได้เจอกันอีก” ได้ยินอย่างนั้นฉันถึงกับร้องไห้เพราะไม่อยากให้อาเง็กย้ายไปเลย เราสองคนได้แต่สัญญากันว่าจะเป็นเพื่อนกันตลอดไป ไม่มีวันทิ้งกัน

แรก ๆ ที่อาเง็กย้ายออกไป เราต่างเขียนจดหมายหากันตลอด แต่พอเราโตขึ้นเรียนหนักขึ้น ก็เริ่มห่างกันไปโดยปริยาย นาน ๆ จึงก็จะเขียนจดหมายคุยกันบ้างพอให้ได้รู้ว่า ใครทำอะไร ที่ไหน อย่างไร

กระทั่งฉันเรียนจบชั้น มศ. 5 ป๊าก็ไม่ให้ฉันเรียนต่ออีก พร้อมกับยืนกรานให้ฉันแต่งงานกับผู้ชายที่ป๊าเลือกให้ในช่วงต้นปีหน้า เท่านี้ก็เศร้าใจมากพออยู่แล้ว ยิ่งพอได้รู้ว่า ผู้ชายคนนั้นอายุน้อยกว่าป๊าของฉันไม่กี่ปี ฉันก็ยิ่งเศร้าใจไปใหญ่…

แต่แล้ววันหนึ่ง จู่ ๆ อาเง็กเพื่อนรักก็แวะมาเยี่ยมฉันถึงที่บ้าน ทันทีที่เห็นหน้าอาเง็ก ฉันแทบจะร้องไห้ เพราะว่า “อาเง็กช่างมาได้ถูกเวลาเสียจริง ๆ” ความที่ไม่ได้เจอกันนาน เราสองคนต่างถามไถ่สารทุกข์สุขดิบของกันและกันแทบไม่หยุด รวมทั้งเรื่องที่ฉันถูกบังคับให้แต่งงานกับผู้ชายที่แก่คราวพ่อด้วย

อาเง็กดูจะตกใจและเห็นใจฉันไม่น้อยก่อนจะถามฉันว่า “ลี่ ฉันถามจริง ๆ นะ เธอมีคนที่ชอบอยู่หรือเปล่า” เมื่อรู้ว่าไม่มี อาเง็กก็ทำท่าคิดใคร่ครวญอยู่สักพักแล้วจึงค่อย ๆ พูดขึ้นมาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ว่า

“ถ้าอย่างนั้น สนใจเฮียตงพี่ชายฉันไหมล่ะ เฮียตงทำแต่งาน ไม่เคยมองผู้หญิงที่ไหนเลย ฉันเองก็อยากหาผู้หญิงดี ๆ สักคนให้มาแต่งงานกับเฮีย ถ้าเธอไม่รังเกียจ เธอลองให้โอกาสเฮียตงดูก่อนไหม”

ภาพผู้ชายร่างอวบที่ขยันขันแข็งพูดน้อย ยิ้มยาก แต่ใจดีเป็นที่สุดผุดขึ้นมาในความคิดทันที แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังไม่กล้าตัดสินใจอะไร นอกจากขอเวลาคิดก่อน เพราะการแต่งงานไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ

เวลาผ่านไปราวสองสัปดาห์ เมื่อเห็นฉันยังนิ่งอยู่ อาเง็กจึงพาเฮียตงมาหาฉันถึงบ้าน นัยว่ามาดูตัวก็คงไม่ผิดนัก ทันทีที่ได้พบกัน ฉันก็รู้ว่าเราต่างพอใจซึ่งกันและกันไม่น้อย ฉันกับเฮียตงจึงเริ่มคบหากันและในที่สุดฉันก็ตัดสินใจจะแต่งงานกับเฮียตง

พอป๊ารู้เรื่องนี้เข้าก็ไม่พูดอะไรนอกจาก “ตามใจลื้อ แต่ถ้าอีไม่ลี (ดี) พอ ก็อย่ามาร้องไห้ให้อั๊วเห็นนะ” ถึงคำตอบนี้จะดูประชดประชันหน่อย ๆ แต่ฉันก็ดีใจที่สุดแล้วที่ป๊ายอมฟังลูกสาวอย่างฉันพูดบ้าง

หนึ่งเดือนต่อมา…

ฉันเข้าพิธีแต่งงานกับเฮียตง โดยมีอาเง็กรับหน้าที่เป็นธุระจัดแจงพิธีการให้ทุกอย่าง โดยที่ฉันและเฮียตงแทบไม่ต้องทำอะไรเลย ใคร ๆ จึงอดแซวไม่ได้ว่า  อาเง็กทำตัวเหมือนอาเจ้ หรือไม่ก็หม่าม้าของเฮียตงมากกว่าจะเป็นน้องสาว บ้างก็แซวหนักถึงขั้นว่าอาเง็กทำตัวเหมือนเป็น “อาซ้อบ้านใหญ่” ที่หา “บ้านเล็ก” ให้เฮียตง

ฟังแล้วฉันก็อดขำไม่ได้ เพราะรู้ดีว่าพี่น้องคู่นี้รักกันมาก ยิ่งพอเหลือกันอยู่แค่สองคน ก็คงยิ่งรักกันเป็นธรรมดา

พอได้ฤกษ์ส่งตัว ก็เป็นอาเง็กอีกเช่นกันที่จัดแจงให้บ่าวสาวเข้าหอ โดยมีข้อแม้ที่พิลึกพิลั่นว่า “ต้องแยกห้องนอนกัน 7 วันหากอยากมีลูกชายไว้สืบสกุล” ฉันเองก็ไม่ได้ติดใจอะไร เฮียตงว่าอย่างไรก็ว่าตามกัน

เช้าวันแรกหลังแต่งงาน ฉันตื่นแต่เช้าตั้งใจมาช่วยอาเง็กทำกับข้าว พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นเด็กชายเล็ก ๆ อายุประมาณ 2 ขวบนั่งอยู่กลางบ้าน ความที่เห็นเด็กคนนี้เป็นครั้งแรก ฉันจึงเกิดคำถามขึ้นในใจมากมายว่า “เด็กคนนี้เป็นใคร” อาเง็กคงพอจะเดาใจฉันออกจึงรีบบอกว่า อาตงเห็นว่าน่าสงสารเพราะเป็นเด็กปัญญาอ่อน จึงขอมาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม ฉันจึงไม่ติดใจอะไรอีก

ชีวิตคู่ของฉันดำเนินไปแบบแปลก ๆ เพราะไม่ว่าฉันกับเฮียตงจะทำอะไร ก็มักมีอาเง็กร่วมวงเป็นเราสามคนด้วยทุกครั้งไปและถึงจะเลยกำหนดข้อแม้ 7 วันที่แสนพิลึกพิลั่นไปแล้ว เฮียตงก็ไม่ได้ย้ายมานอนห้องเดียวกับฉัน และไม่เคยแตะเนื้อต้องตัวฉันเลย ผิดวิสัยสามีภรรยาทั่วไป ทำให้ฉันได้แต่ “งง” และเริ่มคิดไปสารพัด เช่น ฉันมีอะไรที่น่ารังเกียจหรือเปล่า หรือเฮียตงเป็นขันที

กระทั่งย่างเข้าเดือนที่หกของการแต่งงาน ทุกอย่างก็ยังคงเหมือนเดิม ด้วยความสงสัยเต็มแก่ฉันจึงตัดสินใจถามอาเง็กตรง ๆ ว่า “ทำไมเฮียตงถึงไม่เคยมีคนรักมาก่อน” อาเง็กนิ่งไป ก่อนจะหัวเราะออกมาดัง ๆ ว่า “รู้นะว่าเธอคิดอะไร แต่รับรองได้ว่าเฮียเป็นผู้ชายจริง ๆ”

คำตอบนี้ทำเอาฉันกังวลต่อไปอีกสารพัดว่า “เฮียตงต้องมีปัญหาสุขภาพแน่ ๆ” แต่ไม่เป็นไร เอาเป็นว่า อย่างน้อย ๆ ทุกวันนี้ฉันก็มีความสุขดี ดังนั้นเรื่องแค่นี้ช่างมันเถอะ

จากนั้นไม่นานฉันก็เริ่มสังเกตเห็นว่าแทบทุกวันหยุด พอถึงช่วงบ่าย ๆ อาเง็กก็มักจะถือเอกสารตั้งใหญ่หายเข้าไปในห้องนอนของเฮียตง กว่าจะกลับออกมาอีกทีก็ช่วงเย็น ๆ ที่ฉันเตรียมอาหารขึ้นโต๊ะเสร็จแล้ว หลังสังเกตพฤติกรรมนี้อยู่นานร่วมเดือนฉันก็ตัดสินใจจะหาความจริงให้ได้ว่า อาเง็กเข้าไปทำอะไรในห้องเฮียตงกันแน่ ด้วยการทำทีออกจากบ้านไปจ่ายตลาดให้อาเง็กเห็นก่อน จากนั้นจึงย้อนกลับเข้ามา “แอบดู”

ภาพแรกที่เห็นคือ เฮียตงกำลังนั่งทำงานอย่างขันแข็งอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือแต่พออาเง็กเดินเข้ามาใกล้เท่านั้น ทั้งสองก็โผเข้าหากันราวกับมีแม่เหล็กดึงดูด ท่าทางไม่ต่างจากคนรักกันเลยสักนิด!

สิ่งที่เห็นตำตาสามารถอธิบายและตอบคำถามที่ค้างคาใจฉันได้อย่างหมดเปลือก

ที่จริงแล้ว…อาเง็กก็คือภรรยาตัวจริงของเฮียตง ส่วนฉันเป็นได้แค่ “เงา” ที่ไร้ตัวตน หากพอจะมีตัวตนขึ้นมาบ้าง ก็แค่เวลาออกนอกบ้านไปงานด้วยกันเท่านั้นเอง!

น้ำตาอุ่น ๆ ไหลอาบแก้มด้วยความรู้สึกคับแค้นใจที่ถูกหลอกมานานร่วมปี แถมคนที่หลอกก็ไม่ใช่ใครอื่น คนหนึ่งเป็นเพื่อนรัก ส่วนอีกคนก็คนคุ้นเคยกันมานานแท้ ๆ…จะมีอะไรที่เจ็บปวดกว่านี้อีกไหม

ฉันพยายามตั้งสติเดินกลับเข้าไปเตรียมอาหารเย็น ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่น้ำตาเจ้ากรรมก็ยังไหลไม่หยุด กระทั่งได้เวลาอาหารเย็น อาเง็กคงสังเกตเห็นว่าฉันตาบวมเหมือนเพิ่งผ่านการร้องไห้มาหมาด ๆ เธอจึงรีบถามด้วยความเป็นห่วงทันทีว่า

“ลี่ เธอเป็นอะไร ร้องไห้ทำไม ใครทำอะไรเธอ”

“ฉันขอถามเธอกับเฮียตงดีกว่าว่าพวกเธอทำกับฉันอย่างนี้ทำไม คิดว่าฉันโง่มากใช่ไหม”

อาเง็กกับเฮียตงถึงกับหน้าถอดสี รีบปฏิเสธเป็นพัลวันว่าฉันพูดเรื่องอะไร ถ้าเรื่องที่ฉันร้องไห้เกิดจากความไม่พอใจเด็กน้อยปัญญาอ่อนคนนั้น ก็จะยอมตัดใจเอาไปคืนพ่อแม่เดิมให้ก็ได้

ฉันยิ่งฟังก็ยิ่งนึกรังเกียจสองผัวเมียนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ ที่ไม่ยอมรับความจริง แถมยังโยนความผิดไปให้เด็กที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอีกฉันพยายามถามย้ำแล้วย้ำอีก จนในที่สุดอาเง็กก็รับสารภาพด้วยน้ำตานองหน้าว่า เธอกับเฮียตงอยู่กินกันเยี่ยงสามีภรรยามาหลายปีแล้ว จนมีลูกชายด้วยกันคนหนึ่ง ซึ่งก็คือเด็กผู้ชายคนนั้นนั่นเอง พอรู้ความจริง ฉันถึงกับชาไปทั้งตัว ก่อนจะระเบิดอารมณ์ออกมาว่า

“พี่น้องกันแท้ ๆ แต่มาเป็นสามีภรรยากันและมีลูกด้วยกันอีก พวกเธอทำได้อย่างไร แล้วที่ให้ฉันมาแต่งงานกับเฮียตงหมายความว่าต้องการใช้ฉันบังหน้าใช่ไหม”

ทั้งสองต่างก้มหน้านิ่งพูดไม่ออก มีแต่ฉันที่เป็นฝ่ายพูดต่อไปเรื่อย ๆ

“เวรกรรมมันมีจริงไม่ต้องรอชาติหน้าเพราะอย่างน้อยสิ่งที่เธอสองคนทำมันก็ฟ้องอยู่ที่ความไม่สมประกอบของชีวิตบริสุทธิ์ที่พวกเธอทำให้เกิดขึ้นมา ฉันไม่จำเป็นต้องเรียกร้องหรือลงโทษอะไรพวกเธออีก จบกันแค่นี้พอ เราจะไม่ยุ่งเกี่ยวกันอีกต่อไป”

พูดจบปั๊บฉันก็รีบเก็บเสื้อผ้าข้าวของลงกระเป๋าทันที โดยไม่แตะต้องทรัพย์สินใด ๆ ของสามีในนามเลยแม้แต่ชิ้นเดียว เพราะต้องการรีบออกจากบ้านหลังนั้นให้เร็วที่สุดทิ้งให้สองพี่น้องหรือสองผัวเมียใช้ชีวิตกันอย่างมีความสุขปนความระทมทุกข์ต่อไป

ฉันตัดสินใจกลับมาอยู่บ้านเดิมที่กรุงเทพฯ หลังจากปล่อยให้เวลาช่วยเยียวยาหัวใจอยู่นานนับปี ฉันก็ได้รู้จักกับหนุ่มใหญ่ชาวฮ่องกงคนหนึ่ง ตอนแรกก็กลัว ๆ กล้า ๆ เพราะประสบการณ์การแต่งงานครั้งก่อนยังตามมาหลอกหลอนอยู่เสมอ แต่หนุ่มใหญ่ชาวฮ่องกงคนนี้ได้ใช้เวลาพิสูจน์ตัวเองอยู่ถึง3 ปี ในที่สุดฉันจึงกล้าตัดสินใจแต่งงานเป็นครั้งที่สอง

โชคดีเหลือเกินที่ครั้งนี้ฉันไม่ถูกหลอกผู้ชายคนนี้รักฉันด้วยหัวใจจริง ๆ ทุก ๆ วันของเรามีแต่รอยยิ้ม…และนั่นทำให้เราร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันมาจนถึงวันนี้

            ปิดฉากประสบการณ์ความรัก (หลอกๆ) ที่ “เน่า” ยิ่งกว่านิยายได้อย่างสวยงามที่สุด 

TS-146_Ex100

คำแนะนำจากพระอาจารย์ ดร.พระมหาบวรวิทย์รตนโชโต

                กัมมัสสกตา คือ ความเชื่อ ความมั่นใจว่าทุกคนล้วนมีกรรมเป็นของตน ใครทำกรรมใดไว้ก็ย่อมได้รับผลแห่งกรรมนั้นโดยไม่ต้องสงสัย หากการกระทำนั้นไม่ยอมเปลี่ยนตัวแปรแห่งเหตุปัจจัย ทำแต่กรรมนั้นซ้ำ ๆ ซาก ๆ

                เมื่อเรามองเห็นความเป็นจริงอย่างนี้แล้ว ต้องเลือกทางเดินของชีวิตก่อนว่าจะเดินไปทางไหน จุดหมายปลายทางเป็นอย่างไร ขณะที่เดินก็เดินด้วยความระมัดระวังด้วยความพากเพียรพยายามอย่างห้าวหาญ และมีอุปกรณ์หรือเสบียงทางอย่างครบครัน 

                เพราะหนทางนั้นมีหลากหลาย บางเส้นทางก็มีแต่ขวากหนาม มีสัตว์ร้าย บางเส้นทางก็เป็นหลุมเป็นบ่อ บางเส้นทางลาดยางอย่างดี บางเส้นทางก็โรยด้วยกลีบดอกไม้อันอ่อนนุ่ม ไม่ต่างกับทางเดินแห่งชีวิต บางเส้นทางก็นำไปนรก ไปเป็นเปรตอสุรกาย สัตว์เดียรัจฉาน บางเส้นทางก็นำไปสู่ความเป็นมนุษย์ เป็นเทพ เป็นพรหม บุญย่อมตะล่อมผู้ทำดีไปพบกับคนและสิ่งที่ดี

                กรรมหรือการกระทำเป็นของเฉพาะตน คนอื่นจะทำอย่างไรนั้นเขาย่อมรับวิบากกรรมเอง ไม่เกี่ยวกับเรา เราควรมุ่งแต่สร้างเสริมบุญบารมีของเราให้ดีที่สุดด้วยการกระทำความดีทั้งกาย วาจา และใจ แล้วจะพบเจอแต่ความสุข ความสมหวังสถาพรตลอดไป

 

เรื่อง ปาปิรัสภาพสรยุทธพุ่มภักดีผู้ช่วยช่างภาพภูติรัตน์เหลืองชูเกียรติ, ศุภิดา กิจจะตุกายา แบบ นิธิชญาภาวิ์ลือสิงหนาท, ศรีประภา ชนหิรัญทรัพย์, พีรภัทร โพธิสารัตนะแต่งหน้าณัฐชาสุขเจริญ ขอขอบคุณ ศาลเจ้าพ่อกวนอู สมเด็จเจ้าพระยาซอย 3 เอื้อเฟื้อสถานที่ถ่ายทำ

Secret Magazine (Thailand)

Posted in MIND
BACK
TO TOP
A Cuisine
Writer

© COPYRIGHT 2024 AME IMAGINATIVE COMPANY LIMITED.