กฎของธรรมชาติมีอยู่ว่า เราเลือกเกิดไม่ได้ และเลือกตายไม่ได้ เพราะถ้าเลือกเกิดได้เราคงเลือกเกิดในที่สบาย อยู่ดีมีสุข และถ้าเลือกตายได้ เราก็คงอยากตายอย่างสงบไม่ทุรนทุราย ไม่เจ็บปวดทรมาน ไม่เดือดร้อนคนข้างหลัง
ความตายนี้ ใครๆ ก็ว่าอยู่ใกล้แค่ปลายจมูก แต่ในวันที่ยังมีความสุขสนุกสนาน เราก็ลืมความจริงข้อนี้ไปสิ้น คิดแต่เพียงว่า“ยังอีกนาน” และ “ยังไม่ถึงตาเรา”
ดิฉัน (อรสา พรหมประทาน) คิดว่าทุกวันนี้คนส่วนใหญ่ยังใช้ชีวิตแบบประมาทกันทั้งนั้น ประมาทว่ายังมีเงินมีทองใช้ ประมาทว่ายังมีพ่อแม่พี่น้องพร้อมหน้าพร้อมตา ประมาทว่ายังมีเวลาเหลือเฟือที่จะตอบแทนผู้มีพระคุณฯลฯ
ก่อนหน้านี้ดิฉันไม่เคยคิดจินตนาการถึงความตายมาก่อนว่าจะเกิดขึ้นกับตัวเองในรูปแบบไหน จนกระทั่งวันที่ชีวิตเข้าใกล้ความตายในแบบไม่ทันตั้งตัว ถึงได้รู้ว่าที่ผ่านมาตัวเองใช้ชีวิตประมาท ประมาทในการดูแลสุขภาพของตัวเอง เพราะคิดว่าการออกกำลังกาย ไปหาหมอเช็กสุขภาพเป็นประจำทุกปีนั้นเพียงพอแล้ว
แต่เมื่อย้อนมองชีวิตของตัวเองที่ผ่านมาก็พบว่าใช้ชีวิตอย่างสมบุกสมบันมาก คำว่า “เพียงพอ” ไม่เคยอยู่ในพจนานุกรมของชีวิต มีแต่อยากได้ อยากทำ อยากเก็บตังค์ให้ได้เยอะๆ งานมีมาเท่าไร รับหมด ทำอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย ขับรถด้วยตัวเองตะลอนไปทั่ว แล้วอย่างนี้จะไม่เรียกว่าประมาทในการดูแลสุขภาพได้อย่างไร
แต่กว่าจะสำนึกได้อย่างนี้ ดิฉันก็เกือบแลกมาด้วยชีวิต
เข้าประกวดนางสาวไทย
ดิฉันไม่เคยคิดสักนิดว่าตัวเองจะได้เป็นดาราที่ผู้คนรู้จักชื่อเสียงเรียงนาม ตอนเด็กๆ ฝันของเด็กผู้หญิงคนนี้คือการเป็นครูเท่านั้น แต่ในช่วงหนึ่งชีวิตก็หักเหจนนำมาสู่วงการบันเทิง
หลังจากที่คุณพ่อคุณแม่เสีย ดิฉันซึ่งอยู่ในวัยกำลังโตเป็นสาวต้องจากบ้านที่พิษณุโลกมาอยู่และช่วยงานในร้านของคุณอาที่เปิดร้านทำผมอยู่ในกรุงเทพฯ ชื่อร้าน “ลัดดา” เป็นร้านที่มีชื่อเสียง มีดาราดังๆ ในยุคนั้นมาใช้บริการ ทั้ง เพชรา เชาวราษฎร์, ชูศรี มีสมมนต์,ปรียา รุ่งเรือง ฯลฯ
ดิฉันมีพี่น้อง 5 คน ตัวเองเป็นคนที่สอง ตอนที่คุณพ่อคุณแม่เสียดิฉันมีอายุเพียง 14 ปี ชีวิตต้องต่อสู้ดิ้นรนผ่านความยากลำบากมามากตอนเด็กๆ ดิฉันเองตั้งใจว่าจะเรียนครู ป.กศ.ที่พิษณุโลกให้จบ จบแล้วจะได้เป็นครูไปสอนนักเรียน โตขึ้นก็อยากมีชีวิตครอบครัวที่ดี คิดว่าแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว แต่สุดท้ายก็ได้อยู่ที่ร้านเสริมสวยของคุณอาในกรุงเทพฯมาตั้งแต่บัดนั้น
ด้วยความที่ร้านเสริมสวยของคุณอามีดารามาใช้บริการเยอะวันหนึ่ง คุณเพชรา เชาวราษฎร์ ซึ่งมาทำผมที่ร้านก็บอกคุณอาว่าน่าจะส่งดิฉันเข้าประกวดนางสาวไทย ตอนนั้นดิฉันหุ่นเก้งก้าง ยังไม่เป็นสาวเต็มตัวด้วยซ้ำ แต่เมื่อคุณอาสนับสนุนให้ประกวด ดิฉันก็ประกวด ในช่วงปลายปี 2512
ปีนั้นหนังสือพิมพ์ไทยรัฐลงข่าวหน้าหนึ่งว่า “สาวลูกกำพร้าสมัครชิงมงกุฎนางสาวไทย”
ดิฉันไม่ทราบว่าอะไรทำให้เขาสนใจเรื่องของดิฉัน แต่ตอนนั้นไม่คิดอะไรมาก เพราะยังเด็ก คิดแต่เพียงว่า การประกวดนางสาวไทยนี่อลังการที่สุดแล้ว เพราะเราไม่มีอะไร สตางค์ก็ไม่มี สปอนเซอร์ก็ไม่มี ต้องซื้อเสื้อผ้ามาแต่งเอง ในการประกวดรอบเช้าเดินกางร่ม แต่งชุดไทยจิตรลดา กลางคืนเป็นชุดว่ายน้ำ เดินไปก็ตื่นตาตื่นใจไป
ดิฉันค่อยๆ ผ่านการคัดเลือกในแต่ละรอบไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเหลือ 10 คนสุดท้าย ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะได้ตำแหน่งอะไรเลย เพราะคนอื่นๆ เขาสวยกันทั้งนั้น ที่สุดดิฉันก็ได้ตำแหน่งขวัญใจอะไรมาสักอย่าง ที่ตอนนี้ก็จำไม่ได้แล้ว เพราะสมัยโน้นมีตำแหน่งขวัญใจต่างๆเยอะมาก
ชีวิตผกผันเข้าสู่วงการบันเทิง
หลังจากการประกวดนางสาวไทยผ่านไป ผู้ใหญ่ก็ให้เข้าประกวดมิสเอ.ซี.ในช่วงเดือนมกราคม ปี 2513 การประกวดจัดขึ้นที่เวทีลีลาศสวนลุมพินี ในงานเอ.ซี.บอลล์ ซึ่งเป็นงานเต้นรำ ตอนแรกไม่ทราบว่าเป็นเวทีของใคร เกี่ยวกับอะไร จนกระทั่งได้รับตำแหน่งมิสเอ.ซี.บอลล์.ในปีนั้น แล้วมีการพาไปโชว์ตัว ถึงรู้ว่าเป็นงานของโรงเรียนอัสสัมชัญแถวบางรัก
รางวัลที่ได้รับในตอนนั้นเป็นมงกุฎสวยงาม ทำจากผ้ากำมะหยี่ ปักดิ้นเงินดิ้นทอง แล้วก็มีถ้วยรางวัล พร้อมเงินสดหนึ่งหมื่นบาท ถือว่าเยอะมากในยุคนั้น นอกจากนั้นก็มีตู้เย็น ทีวี รวมทั้งข้าวของเล็กๆ น้อยๆ อีกหลายอย่าง
ทั้งหมดที่ได้รับ ดิฉันก็ปลื้มแล้ว เพราะไม่เคยคิดว่าตัวเองสวยในชีวิตไม่เคยคิดว่าจะได้รับตำแหน่งอะไรกับเขา ยิ่งเป็นดารายิ่งห่างไกล
แต่เมื่อได้เป็นมิสเอ.ซี.แล้ว ชีวิตก็ผกผันอีกครั้ง ได้เข้าสู่วงการบันเทิงด้วยการชักชวนของ คุณสนั่น นาคสู่สุข หรือที่รู้จักกันในนามของ เซียนเป๋ ภาพยนตร์เรื่องแรกที่เล่นคือเรื่อง “เจ็ดดอกจิก” มีป๋า ส.อาสนจินดา เป็นผู้กำกับ เล่นคู่กับคุณไพโรจน์ ใจสิงห์ แต่เล่นหนังได้ไม่กี่สิบเรื่อง ดิฉันก็หันเหเข้าสู่วงการละคร
บทแรกในการแสดงละครคือนางเอก ตามมาด้วยนางรอง และนางร้าย ถ้าถามว่าชอบบทไหนมากที่สุด ขอบอกว่าเป็นนางร้าย เพราะสนุก มันที่สุด แต่ถ้าให้เล่นบทเรียบร้อย เล่นไม่ค่อยออก รู้สึกขัดๆเพราะต้องไม่แสดงแววตาดุๆ ให้คนเห็น แค่แวบหนึ่งก็ไม่ได้…
ดิฉันเล่นละครอยู่หลายเรื่อง จนกระทั่งปี 2526 ได้รับรางวัลเมขลาครั้งที่ 4 ดาราสนับสนุนหญิงดีเด่น จากเรื่อง อีแตน ของไทยทีวีสีช่อง 3 นี่ถือเป็นเกียรติประวัติที่น่าภูมิใจของชีวิต
ชีวิตของดิฉันวนเวียนอยู่กับการแสดงละครช่องนั้นช่องนี้ ไม่มีสังกัด ไม่มีค่าย ใครจ้างก็รับ แค่ฉากเดียวก็เล่นได้ เพราะคิดว่าเขาอุตส่าห์เลือกเรา ไม่เคยเกี่ยงงาน ไม่เคยเกี่ยงบท แสดงกับใครก็ได้จนทุกวันนี้ดิฉันกลายเป็น “แม่ติ๋ว” ของน้องๆ ในวงการบันเทิงไปแล้ว และสิ่งหนึ่งที่ดิฉันปฏิบัติมาตลอดในการทำงานคือการตรงต่อเวลาและรักษาคำพูด หากนัดเจ็ดโมง ดิฉันจะไปรอตั้งแต่ 6.30 น. เพราะไม่อยากให้ใครต้องตามเรา และไม่อยากทำอะไรแบบรีบร้อนหรือต้องกังวล
แต่วันไหน นัดกองถ่ายไว้แล้ว เกิดไม่สบาย ถ้าเป็นเมื่อก่อน ดิฉันก็จะไปตามนัด เพื่อให้เขารู้ว่าไม่สบายจริงๆ กลัวเขาจะคิดว่าเราโกหก ดีที่เดี๋ยวนี้มีโทรศัพท์ เราก็โทร.บอกได้สะดวกขึ้น
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ดิฉันมุ่งมั่นกับงาน พยายามเก็บเงินเก็บทองไว้ใช้ในบั้นปลายของชีวิต โดยไม่เฉลียวใจสักนิดเดียวว่า อาการปวดศีรษะที่เกิดขึ้นตอนไปเที่ยวที่ประเทศอินเดียอาจทำให้ดิฉันไม่มีโอกาสใช้เงินเลยก็ได้ อาการเส้นเลือดฝอยในสมองแตกเปลี่ยนหลายอย่างในชีวิตของดิฉันไปโดยสิ้นเชิง…
โปรดติดตามตอนต่อไป
Secret Box
จงเปลี่ยนเงินเป็นคุณภาพชีวิต อย่าปล่อยให้เป็นอสรพิษย้อนมากัดตนเอง
ว.วชิรเมธี