ส้ม ชนากานต์ ชัยศรี “ฉันจะสู้ตั้งแต่วินาทีนี้” (1)
ชีวิตมีทั้งเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดา แต่คนส่วนใหญ่มักไม่เคยเตรียมใจไว้สำหรับความเปลี่ยนแปลงที่ชื่อว่า “ความตาย” เลย เพราะหลงคิดไปว่า ในเมื่อเรายังอยู่ในวัยหนุ่มสาว ยังมีความสุขดี ยังสนุกที่จะได้ทำสิ่งต่าง ๆตามใจปรารถนา แล้วทำไมเราจะต้องคิดถึงความตาย… เช่นเดียวกับ คุณ ส้ม ชนากานต์ ชัยศรี อดีตมิสไทยแลนด์เวิลด์ปี 1990 ที่ต้องสูญเสียสามีอันเป็นที่รักก่อนวัยอันควรด้วยโรคหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน สำหรับผู้หญิงบางคน สถานการณ์นี้อาจทำให้เสียใจจนแทบเป็นบ้าเลยก็ได้แต่สำหรับคุณส้มแล้ว ตั้งแต่วินาทีแรกที่พบกับความสูญเสียเธอก็รู้ได้ทันทีว่าไม่สามารถเสียเวลาให้กับความเสียใจได้แม้แต่วินาทีเดียว เพราะภารกิจที่ยิ่งใหญ่กำลังรอเธออยู่
เธอทำใจกับความพลัดพรากสูญเสียในครั้งนั้นได้อย่างไรและอะไรที่ทำให้ผู้หญิงคนนี้ลุกขึ้นสู้ได้ด้วยตัวเอง นี่คืออีกหนึ่งชีวิตที่น่าเรียนรู้…
ธรรมะกล่อมเกลาในวัยเยาว์
ในวัยเด็ก โชคดีที่ชีวิตของส้มได้ซึมซับธรรมะ จึงทำให้สามารถตั้งสติรับมือกับปัญหาต่าง ๆ ได้ในวันนี้ ส้มไม่ได้เข้าวัดปฏิบัติธรรม แต่เชื่อว่าตัวเองได้สั่งสมธรรมะไว้ในใจโดยที่เราไม่รู้ตัว
ส้มเป็นคนจังหวัดประจวบฯ ชีวิตในวัยเด็กแม้ไม่ร่ำรวยแต่อบอุ่นและมีความสุขเต็มร้อย เพราะคุณพ่อ คุณแม่ คุณตา คุณยายดูแลเราอย่างดี โดยเฉพาะคุณพ่อคุณแม่จะรักและเป็นห่วงลูกมาก ลูกจะไปไหนมาไหนก็คอยดูแลเรื่องความปลอดภัย ลูกขาดเหลืออะไรก็จะหามาให้ กระทั่งเมื่อส้มมาใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพฯแล้ว คุณพ่อก็ยังโทรศัพท์มาพูดคุยทุกวัน ครอบครัวของเราใกล้ชิดกันมาก ส้มเป็นพี่คนโต มีน้องอีก 3 คน ทุกวันนี้เราก็ยังดูแลพึ่งพากันอยู่เสมอ
ด้วยความที่ตอนเด็ก ๆ คุณพ่อคุณแม่ต้องทำงาน คุณตาคุณยายจึงเลี้ยงดูส้ม คุณตาเป็นอดีตผู้ใหญ่บ้านที่ชอบเข้าวัดเข้าวา มีงานบุญที่ไหนท่านก็ไปช่วย ส่วนคุณยายก็ชอบทำบุญทำทาน ทุกเช้าส้มจะมีหน้าที่ตื่นมาหุงข้าวใส่บาตรกับคุณยาย ก่อนนอน ท่านก็สอนเราสวดมนต์ เมื่อถึงวันพระก็นำปิ่นโตไปวัด ไปฟังเทศน์ฟังธรรมด้วยกัน เป็นวิถีชีวิตของคนต่างจังหวัดที่ส้มคิดว่าทำให้เราใกล้ชิดกับธรรมะไปโดยปริยาย แม้จะเป็นเพียงเศษเสี้ยวเล็ก ๆ แต่ก็เป็นเหมือนเชื้อไฟที่ดีที่ทำให้ส้มรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันในชีวิตได้อย่างมีสติ
ในวันที่เกือบสูญเสียคุณแม่
ความจริงแล้วส้มได้รู้จักกับความไม่แน่นอนของชีวิตมาบ้างแล้ว ในวัยเด็ก คุณพ่อเคยประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ค่อนข้างหนัก ตอนนั้นส้มยังเด็กจึงไม่ได้รู้สึกอะไรมากนัก แต่เมื่อประมาณ 5 ปีที่แล้ว คุณแม่ป่วยหนัก ต้องเข้าห้องไอซียูนับเป็นครั้งแรกที่ใจของส้มได้สัมผัสกับความรู้สึกของคนที่กำลังจะสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก
ก่อนหน้านี้คุณแม่แข็งแรงเป็นปกติดีทุกอย่าง แต่หลังกลับจากไปร่วมงานที่ต่างจังหวัด ท่านมีอาการท้องเสียพอไปหาหมอที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด คุณหมอก็ให้ยาแก้ท้องเสียกลับมา แต่อาการก็ยังไม่ดีขึ้น คราวนี้ท่านกลับไปใหม่กลายเป็นว่าอาการหนักมาก คุณหมอบอกว่า…โอกาสรอดมีแค่ 50 เปอร์เซ็นต์ ได้ฟังอย่างนั้น ส้มแปลความได้ว่า โอกาสรอดน้อยมาก เราไม่ได้เตรียมใจมาก่อนเลย หัวใจมันตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม อึ้ง ใจลอย ตัวเบาโหวง เหมือนความเป็นความตายของคุณแม่มารออยู่ข้างหน้า แต่เราไม่รู้ว่าจะช่วยเหลือท่านได้อย่างไร และคนที่น่าเป็นห่วงยิ่งกว่าคือ คุณพ่อซึ่งรักคุณแม่มาก ถ้าคุณแม่เป็นอะไรไป คุณพ่อคงตายตามเลยทีเดียว
ครั้งนั้นส้มตัดสินใจให้รถพยาบาลไปรับคุณแม่มารักษาตัวที่กรุงเทพฯ ท่านนอนรักษาตัวอยู่ในห้องไอซียูถึง10 วันเต็ม ๆ โดยที่เราไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าท่านจะอยู่หรือจะไป เป็นช่วงเวลาที่ส้มรู้สึกทรมานมาก ผวาทุกครั้งที่ได้ยินเสียงโทรศัพท์ เพราะกลัวว่าคุณหมอจะโทร.มาบอกว่าคุณแม่จากเราไปแล้ว ส้มได้แต่สวดมนต์และร้องไห้เงียบ ๆ อยู่คนเดียวเพราะไม่อยากให้คุณพ่อเห็น
แต่ในที่สุดคุณแม่ก็ผ่านจุดวิกฤตินั้นมาได้อย่างเหลือเชื่อส้มเชื่อว่าส่วนหนึ่งเกิดมาจากบุญที่ท่านสั่งสมมา เพราะระยะหลัง ท่านเข้าวัดสวดมนต์เป็นประจำ แต่ช่วงแรกที่ออกจากโรงพยาบาล คุณแม่เดินไม่ได้ คุณพ่อต้องอุ้ม ต้องดูแลทุกอย่างชนิดที่ไม่เคยเห็นผู้ชายคนไหนทำได้เท่านี้มาก่อน ส้มจึงได้รู้ซึ้งว่าความรักของคนเราจะเห็นกันชัด ๆ ก็ตอนที่ป่วยไข้นี่เอง
อย่างไรก็ตาม แม้จะรู้ว่าชีวิตคนเราไม่แน่นอน วันนี้สบายดี อีกวันอาจเจ็บป่วยปางตายก็ได้ แต่ส้มก็ไม่คิดว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นกับคนใกล้ตัวอีก
จนกระทั่งเมื่อสองปีที่ผ่านมา สามี (โอ๋ - บูชา รณชิตสมบุญ)ไอแล้วรู้สึกเจ็บหน้าอก เขาก็ไปหาหมอตามปกติ และไม่คิดว่าตัวเองเป็นอะไรมาก แค่คิดว่าป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ ตามประสาคนอ้วน แต่ครั้งนั้นคุณหมอตรวจพบว่าหัวใจเต้นผิดจังหวะจึงขอให้นอนพักที่ห้องไอซียูเพื่อตรวจอาการอย่างละเอียดถึง 10 วัน
หลังออกจากโรงพยาบาล ครอบครัวของเราก็ไม่ได้เฉลียวใจว่าโรคที่เขาเป็นจะร้ายแรง ส้มแค่เตือนให้เขากินยาอย่างต่อเนื่องตามที่คุณหมอสั่ง ที่สำคัญ อาการของเขาก็กลับมาเป็นปกติดีทุกอย่าง ไม่ได้ทรุดลงกว่าเดิม ด้วยเหตุนี้เราสองคนจึงมุมานะทำงานของตัวเองอย่างเต็มที่ เพื่อสร้างรากฐานที่ดีให้กับลูกทั้ง 3 คน โดยสามีเปิดบริษัทรับทำความสะอาดซึ่งมีพื้นฐานมาจากธุรกิจของครอบครัว ส่วนส้มก็เปิดบริษัทอีเว้นต์ของตัวเอง รับงานพิธีกรนอกสถานที่ ทำรายการSweet Story by Som ทางช่องรักลูก แฟมิลี่ แชนเนล นอกจากนี้ หลังจากส้มกับน้องสาวไปเรียนการทำอาหารมาจากโรงเรียนสอนการประกอบอาหารนานาชาติ เลอ กอร์ดอง เบลอ ดุสิต เราก็รับสอนทำอาหารและรับทำขนมตามสั่งอีกด้วย ดังนั้นในแต่ละวันกว่าส้มและสามีจะได้พักผ่อนก็ดึกดื่นหลังเที่ยงคืนไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม แม้ใจของสามีจะบอกว่ายังไหว แต่ร่างกายของเขากลับเดินสวนทาง ต้นเดือนกรกฎาคม สามีเริ่มไอติดต่อกันเป็นอาทิตย์ เมื่อเห็นว่าไม่มีทีท่าว่าจะหาย เขาจึงตัดสินใจไปหาหมอในคืนวันเสาร์ อาการของเขาดูไม่ร้ายแรงอะไร แต่หมอให้นอนพักที่โรงพยาบาลเพื่อตรวจดูอาการเหมือนเดิม รุ่งขึ้นประมาณเจ็ดโมงเช้า ส้มกับลูกไปอัดรายการโทรทัศน์ตามปกติ ไม่ได้อยู่กับเขาในวันนั้น
ส้มไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่า นั่นจะเป็นการพูดคุยกันครั้งสุดท้าย เพราะทุกอย่างดูปกติ ไม่มีลางร้ายอะไรแม้แต่นิดเดียว…
(โปรดติดตามตอนต่อไป)