เป็นเวลากว่า 40 ปีแล้วที่คนดูรู้จัก ไพโรจน์ ใจสิงห์ จากผลงานด้านภาพยนตร์และละครโทรทัศน์นับร้อย ๆ เรื่อง ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นผู้ชมรุ่นเล็กหรือรุ่นใหญ่ ก็คงคุ้นเคยกับนักแสดงชายร่างใหญ่ หน้าตายิ้มแย้มสดใสที่มาพร้อมกับเสียงหัวเราะอันเป็นเอกลักษณ์คนนี้กันพอสมควร
สามปีก่อน คุณไพโรจน์ ใจสิงห์ ป่วยหนักจนร่างกายผ่ายผอมผิดไปจากเดิมอย่างมาก แต่วันที่ซีเคร็ตไปพบ ดวงตาของเขายังปรากฏประกายของความสุขอย่างเต็มเปี่ยม ทั้งยังพร้อมจะถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตให้เราฟัง โดยมีภรรยาคอยให้กำลังใจอยู่ไม่ห่าง
วัยหนุ่มที่สนุกกับการกิน ดื่มเที่ยว
ผมเป็นลูกคนที่ 6 ลูกชายคนสุดท้องของบ้าน ครอบครัวของเราอาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานคร ผมเข้าเรียนที่โรงเรียนฝึกหัดครูพลานามัย พอเรียนจบก็มาเป็นครูพละที่โรงเรียนสารวิทยา ต่อมาย้ายมาสอนที่โรงเรียนอำนวยศิลป์ ตอนกลางคืนผมไปเล่นดนตรีตามร้านอาหารเพื่อหารายได้พิเศษ จนเมื่อปี พ.ศ. 2514 คุณเปี๊ยก โปสเตอร์ ผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดังมาพบผมในขณะที่เล่นดนตรี เขาจึงชักชวนให้มาแสดงเป็นพระเอกภาพยนตร์เรื่อง ดวง ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นอาชีพนักแสดงของผม
ช่วงวัยหนุ่มผมสนุกกับการใช้ชีวิตทั้งกิน ดื่ม เที่ยว ไม่ค่อยดูแลสุขภาพ แต่โชคดีที่สุขภาพแข็งแรงมาตลอด ตอนอายุ 50 กว่า ผมเจอ คุณนก – โชติรส อริยบารมี (ภรรยาคนปัจจุบัน) ที่กองถ่ายภาพยนตร์เรื่อง มายาเพชฌฆาต ประมาณปี พ.ศ.2532 ในละครผมรับบทเป็นเจ้าพ่อ ส่วนคุณนกรับบทเป็นเจ้าแม่ ผมถูกใจนิสัยใจคอของเขา จึงชวนไปกินข้าว ไปเที่ยว ศึกษานิสัยใจคอกัน และคบกันในที่สุด
ช่วงนั้นคุณนกโดนทางผู้ใหญ่เตือนเสมอว่า
“คบกับใครไม่คบ มาคบไพโรจน์ใจสิงห์ เดี๋ยวก็โดนทิ้งเข้าสักวัน”
จะว่าไปก็ไม่น่าแปลกใจ เพราะกิตติศัพท์เรื่องความเจ้าชู้ของผมก็โด่งดังไม่ใช่น้อย แต่เราทั้งสองคนก็คบกันด้วยความจริงใจ และใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันในฐานะสามีภรรยา แม้ว่าในช่วงแรก ๆ ผมจะแอบเจ้าชู้อยู่บ้าง
ภรรยาผมศรัทธาในพระพุทธศาสนามาก ชอบทำบุญ ผมเห็นเธอสวดมนต์ไหว้พระที่บ้านเป็นประจำ บางทีเวลานั่งดูพระเทศน์ในโทรทัศน์ เธอก็พูดออกมาว่า“สาธุ”
ผมได้ยินแล้วก็หัวเราะ เห็นเป็นเรื่องตลก แถมยังเก็บมาล้อเลียนเธออยู่บ่อยๆ ผมเองนั้นแม้จะทำบุญตามเทศกาลงานบุญต่าง ๆ อยู่บ้าง และช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยากอยู่เสมอ แต่ก็ไม่ค่อยสวดมนต์ไหว้พระ ฟังเทศน์ฟังธรรมเป็นเรื่องเป็นราวสักเท่าไหร่
วันที่ชีวิตเปลี่ยน
ที่ผ่านมาผมทำงานและใช้ชีวิตไปตามปกติ ผลจากการที่ร่างกายแข็งแรง ไม่ค่อยเจ็บป่วย ทำให้ผมไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องไปตรวจสุขภาพ ทั้งที่อายุก็มากขึ้นทุกวัน จริง ๆ แล้วเหตุผลหนึ่งที่ไม่อยากไปตรวจร่างกายคือ ผมกลัว…กลัวว่าพอไปตรวจแล้วจะเจอโรคโน้นโรคนี้ตามมา ซึ่งจะกระทบกับการใช้ชีวิตแบบสบาย ๆ อย่างที่ผมทำมาตลอดชีวิต
แต่แล้ว…วันที่ผมกลัวที่สุดก็มาถึง
เช้าวันนั้นผมแต่งตัวเตรียมจะออกไปตีกอล์ฟ ขณะกำลังจะเดินออกนอกประตูบ้าน คุณนกก็เอ่ยถามว่า
“พี่โรจน์ วันนี้จะไปตีกอล์ฟที่ไหน”
“อะ…อะ…” ผมพยายามจะตอบภรรยา แต่ลิ้นแข็ง พูดไม่ออก ภรรยาเห็นท่าไม่ดีจึงให้นั่งพักและหาน้ำมาให้ดื่มแต่ผมก็ดื่มไม่ได้ น้ำไหลออกจากปากหมด
“ไปโรงพยาบาลเถอะพี่”
คุณนกรีบบอก แต่ผมยังอิดออดไม่ยอมไปโรงพยาบาล เพราะคิดว่าไม่น่าจะเป็นอะไรมาก คราวนี้เธอไม่ยอมให้ผมดื้อรีบพาส่งโรงพยาบาลทหารผ่านศึกทันที คุณหมอตรวจพบว่าความดันโลหิตสูงถึง 240และเส้นเลือดในสมองตีบ หลังจากตรวจอย่างละเอียดก็พบว่า เส้นเลือดในสมองแตกมาแล้วหลายจุด แต่ที่ไม่ปรากฏอาการเพราะเส้นเลือดที่แตกไม่ใช่จุดสำคัญ จึงมีแค่อาการปวดหัวเท่านั้น ไม่เท่านั้น ผมยังมีอาการแทรกซ้อนอีกหลายโรค ทั้งโรคหัวใจโต ต่อมลูกหมากโต และโรคไตอีกด้วย
เมื่อมองย้อนกลับไปจึงนึกได้ว่าอาการปวดหัวมากที่เป็นบ่อยขึ้นในระยะหลังคือสัญญาณเตือนของโรคร้ายมาโดยตลอดแต่ไม่ได้ใส่ใจ เพราะคิดว่าเป็นอาการปวดหัวธรรมดา กินยาก็หาย
ผมต้องนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลถึง 10 วัน ตอนนั้นรู้เลยว่าสภาพร่างกายไม่ได้แข็งแรงอย่างเดิมแล้ว งานละครที่รับไว้เหลือตอนสุดท้ายพอดี ทางทีมงานจึงปรับบทให้หายไป เพราะเห็นว่าผมป่วยมากคงไม่สะดวกถ้าจะต้องมาถ่ายต่อ
เมื่อกลับมารักษาตัวที่บ้าน คุณนกต้องรับภาระดูแลผม โดยมีลูกชายและลูกสาวคอยช่วยเหลือ เธอให้กำลังใจผมตลอดเวลา
แม้ว่าผมจะไม่ได้แสดงอาการทุกข์หรือเศร้าเสียใจให้เห็นก็ตาม ตอนนั้นผมเริ่มพูดไม่ชัดเหมือนปกติ เดินเหินก็ไม่คล่องเหมือนแต่ก่อน เพราะขาสั่นไม่มีแรง คุณนกต้องคอยช่วยพยุงเดินไปไหนมาไหน ผมพยายามช่วยตัวเองเพราะเกรงใจไม่อยากรบกวนเธอมากเกินไป กลางดึกคืนหนึ่งผมปวดท้อง ผมค่อย ๆ ลุกเดินเอง ไม่อยากปลุกภรรยาเพราะเห็นว่าเขาเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว แต่สุดท้ายก็เดินไม่ไหว ล้มลงไปกองอยู่ข้างเตียงต้องเรียกเธอมาช่วยอยู่ดี
ช่วงนั้นแม้ผมจะหายหน้าหายตาไปจากวงการ แต่กลับไม่ค่อยมีใครรู้ว่าผมป่วย…จนกระทั่งเป็นข่าวครึกโครมที่ทำให้หลายคนตกใจ…
(โปรดติดตามตอนต่อไป)