สุรางคณา สุนทรพนาเวศ

ชีวิต ณ จุดศูนย์สุข… สุรางคณา สุนทรพนาเวศ (จบ)

ชีวิต ณ จุดศูนย์สุข… สุรางคณา สุนทรพนาเวศ (จบ)

“คบคนพาล พาลพาไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล” เป็นคำกล่าวที่เราได้ยินมาช้านาน  แต่เป็นจริงทุกยุคสมัย ในภาษาธรรมเราเรียกเพื่อนที่ชักนำไปในทางที่ดีงามและทางที่เจริญว่า “กัลยาณมิตร” แต่น่าเสียดายที่กว่าเพื่อนคนหนึ่งของตา ( สุรางคณา สุนทรพนาเวศ )จะซึ้งใจในคำกล่าวนี้ก็ต้องเข้าไปอยู่ในคุก

ด้วยความที่ตาสนใจธรรมะ พากเพียรเรียนจนจบนักธรรมเอก ก็เลยได้รับคำเชิญให้ไปบรรยายธรรมในเรือนจำกลางคลองเปรมให้นักโทษหญิงฟัง  ครั้งแรกที่ไปเห็นว่านักโทษที่นี่ต้องอยู่กันอย่างแออัดต้องใช้ชีวิตอยู่ในกรงแคบ ๆ แม้กระทั่งห้องสมุดก็ยังเป็นกรง กว่าตาจะเข้าไปถึงชั้นในได้ต้องผ่านประตูถึง 3 ชั้น

…ตาเข้าไปแล้วยังเดินออกมาได้ แต่ผู้หญิงอีกหลายคนที่เข้าไปอยู่ในนั้น บางคนต้องโทษประหารชีวิต บางคนต้องโทษจำคุกตลอดชีวิต ไม่มีโอกาสที่จะได้สัมผัสอากาศบริสุทธิ์ข้างนอกอีกเลย…

 

บรรยายธรรมในเรือนจำ

วันที่ตาไปบรรยาย มีนักโทษหญิงราว 100 คนที่ผ่านการคัดเลือกแล้วมานั่งฟัง บางคนเป็นยายแก่ ๆ หน้าตาไม่น่าจะเป็นนักโทษเลยสักนิด วันนั้นหลังบรรยายธรรมเสร็จแล้ว ตาก็แจกขนมให้นักโทษหญิงเหล่านั้น แจกไปเรื่อย ๆ จนมาถึงผู้หญิงคนหนึ่งที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับตา เห็นหน้าแล้วก็รู้สึกเอะใจว่า

“ทำไมหน้าตาคล้ายเพื่อนเราจัง แต่คงไม่ใช่หรอก เพราะเพื่อนเราทั้งสวย ทั้งรวย ทั้งเก่ง เรียนจบปริญญาโทจากเมืองนอก ไม่น่าจะมาอยู่ในนี้”

เมื่อคิดอย่างนั้น ตาก็เลยเดินผ่านเธอไป แต่ไม่รู้ว่าอะไรมาดลใจ ตาย้อนกลับมายืนดูเขาอีกครั้งจากทางด้านหลัง คิดในใจว่า “ถ้าคนนี้ใช่เพื่อนเรา เธอจะต้องมีรอยสักที่ข้อเท้าซ้าย” และแล้วตาก็แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง หัวใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่มเมื่อเห็นว่าผู้หญิงคนนั้นมีรอยสักที่ข้อเท้าลายเดียวกับเพื่อนของตาจริง ๆ ยิ่งเมื่อเรียกชื่อแล้วเธอหันมา ตาก็ยิ่งสลดหดหู่กับความจริงที่ได้เจอ

เพื่อนวิ่งเข้ามากอดตาแล้วร้องไห้คาดว่าเธอคงรู้ว่าวันนี้ตาจะมาบรรยาย แต่ด้วยความอายจึงไม่อยากให้ตาเห็น ความจริงเพื่อนคนนี้เป็นคนดี ตอนที่ประเทศไทยเกิดสึนามิ เราเคยขึ้นเครื่องบินของกองทัพอากาศไปเก็บศพ ไปสร้างบ้านให้ผู้ประสบภัยด้วยกันแต่หลายปีหลังจากนั้นตาก็ไม่เคยเจอเธออีกเลย

เพื่อนพูดด้วยน้ำเสียงเศร้า ๆ ว่า ถ้าก่อนหน้านี้ได้มาเดินบนเส้นทางธรรมเหมือนตา ชีวิตก็คงไม่ต้องมาพบเจอกับเรื่องราวเลวร้ายแบบนี้ แต่นี่เธอกลับไปคบเพื่อนที่เสพยา ค้ายา สุดท้ายตัวเธอเองก็ถูกจับที่คอนโดพร้อมยาเสพติดจำนวนมาก ทำให้ถูกตัดสินจำคุกถึง 50 ปี

ชีวิตของเพื่อนเป็นอุทาหรณ์อย่างดีที่ตามักจะเล่าให้ลูกศิษย์ฟังตอนเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยว่า  กัลยาณมิตรเป็นสิ่งสำคัญในชีวิต การคบเพื่อนไม่ดีแม้เพียงแค่คนเดียว ก็อาจทำให้ชีวิตพบกับหายนะโดยที่เราคาดไม่ถึง แต่การคบเพื่อนดีแม้มีน้อย แต่คอยชักนำเราไปในทางที่ดี ช่วยกันยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น ชีวิตของเราก็จะพบเจอแต่คนดี ๆ เรื่องราวดี ๆ และแม้มีเหตุเภทภัยอะไร  เพื่อนที่เป็นกัลยาณมิตรก็พร้อมที่จะช่วยเหลือเราเสมอ

 

 

สุรางคณา สุนทรพนาเวศ

 

สั่งคัต” ตัวเองจากความยึดมั่น

หลังจากเรียนจบจากประเทศญี่ปุ่น ตาก็มีโอกาสได้เป็นอาจารย์สอนภาษาญี่ปุ่นที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิตศูนย์หัวหิน ตามด้วยการเป็นอาจารย์สอนวิชาเศรษฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่อีก1 ปี ช่วงนี้ตามีโอกาสปฏิบัติธรรมและเรียนรู้ธรรมะจากครูบาอาจารย์มากมาย ทั้งจากหลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป, หลวงพ่อประสิทธิ์ ปุญญมากโร, หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม, หลวงปู่สังข์ สังกิจโจ ทุกวันอาทิตย์ตาก็จะนำของไปถวายพระ ไปฟังธรรมะจากท่าน ซึ่งก่อนหน้านั้นตาก็ไปปฏิบัติธรรมตามแนวทางต่าง ๆ เช่น แนว ท่านโกเอ็นก้า ตามศูนย์ต่าง ๆ รวมถึงคุณแม่สิริ กรินชัยที่วัดผาณิตาราม พระอภิเชษฐ์ที่จังหวัดลำปาง พระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชโช, อดีตพระมิตซูโอะ คเวสโก รวมถึงพระอาจารย์นวลจันทร์ กิตติปัญโญ  ฯลฯ

ตาเป็นคนที่ทำอะไรทำจริง ทำแล้วก็จะทำให้ถึงที่สุด และไม่หวั่นเกรงกับอะไรหลายคนอาจบอกว่า นักแสดงปฏิบัติธรรมไม่ได้ เพราะอาชีพนี้มีแต่สร้างกิเลสปรุงแต่ง

การเป็นนักแสดงทำให้เราสามารถพิจารณาธรรมได้มากกว่าคนอื่นได้เห็นภพชาติจากการรับบทบาทต่างๆเป็นพี่ เป็นแม่ เป็นภรรยาได้เห็นการเกิด-ดับ การพบเจอการจากลา การพลัดพราก จิตให้หัวเราะ ร้องไห้ไปตามอารมณ์ แต่สำหรับตากลับค้นพบว่า การเป็นนักแสดงทำให้เราสามารถพิจารณาธรรมได้มากกว่าคนอื่น ได้เห็นภพชาติจากการรับบทบาทต่าง ๆ เป็นพี่  เป็นแม่  เป็นภรรยา ได้เห็นการเกิด-ดับ การพบเจอ การจากลา การพลัดพราก เห็นชัดมากจนทำให้รู้สึกเบื่อกับการเวียนว่ายตายเกิด นอกจากนั้นการเป็นนักแสดงยังทำให้ตา “สั่งคัต” ตัวเองจากอารมณ์ต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น

ในละคร ผู้ชายคนนี้อาจเป็นสามีของเรา แต่พอผู้กำกับสั่งคัตปุ๊บ เขาก็กลายเป็นคนอื่น ในชีวิตจริงตาคิดว่า ถ้าเรารู้จัก “สั่งคัต” ตัวเองจากความยึดมั่นถือมั่นต่าง ๆ เราจะมีความสุขได้ง่ายขึ้น ทุกวันนี้ตายังไม่มีครอบครัว  แต่ก็ไม่คิดว่าปฏิบัติธรรมแล้วจะต้องไม่มีครอบครัว คิดว่าแล้วแต่ธรรมะจัดสรร ถ้าวันหนึ่งจะมีก็มี ถ้าไม่มีก็มีความสุขกับการเป็นโสด เพราะเห็นว่าตัวเองยังทำประโยชน์ให้สังคมได้โดยไม่มีภาระ

ตาเชื่อว่าคนเราไม่ได้ทุกข์เพราะใครแต่ทุกข์เพราะตัวเองนั่นแหละ กายนี้ ใจนี้คือทุกข์ มีกายนี้ก็ต้องหิว ต้องป่วย พลัดพรากจากสิ่งที่รักก็ทุกข์ ไม่ต้องไปโทษใครอื่น เราทั้งนั้นที่ทำตัวเอง น้ำตาไหลเมื่อได้ไปสักการะสังเวชนียสถาน

ก่อนจะไปเรียนปริญญาเอกด้านเศรษฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยจาวาฮาร์ลาล เนห์รู (Jawaharlal  Nehru University) ประเทศอินเดีย ตาเคยไปสักการะสังเวชนียสถานมาแล้ว 8 ครั้ง และไม่มีครั้งไหนที่น้ำตาไม่ไหล

ก่อนไปได้ยินมาว่าเพื่อนบางคนร้องไห้ด้วยความปีติ ตาคิดว่าตัวเองคงไม่เป็นอย่างนั้นแน่นอน  เพราะ “ฉันเป็นดารา ฉันสั่งตัวเองให้ร้องไห้หรือหยุดร้องไห้ได้” แต่ความจริงกลับตรงกันข้าม และมีเรื่องราวอัศจรรย์เกิดขึ้นกับตาตั้งแต่วันแรก ๆ ที่ไปถึง

ตอนนั้นตาเชื่อว่า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ดี แต่ไม่แน่ใจว่าพระพุทธเจ้ามีจริงหรือเปล่า ตามประสาคนเชื่อยากชอบพิสูจน์ เมื่อไปถึงอินเดียครั้งแรกและได้นั่งใต้ต้นโพธิ์ที่วัดพุทธคยา สถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ตาก็อธิษฐานจิตว่า ถ้าชาตินี้จะมีโอกาสได้เผยแผ่ธรรมะ ก็ขอให้ใบโพธิ์ซึ่งตอนนั้นยังมีใบเขียวเต็มต้นร่วงลงมา

อธิษฐานยังไม่ทันขาดคำ ใบโพธิ์ก็ร่วงลงมากลางมือ ตาน้ำตาร่วง ขนลุกซู่ไม่อยากจะเชื่อว่าสิ่งที่เราสงสัยนั้น “สิ้นสงสัยแล้ว” ยิ่งเมื่อเดินทางไปยังกุสินาราวิหารปรินิพพานซึ่งภายในเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางปรินิพพาน ตาก็น้ำตาร่วงเผาะ ๆ เป็นสายหยุดไม่ได้ เกิดความรู้สึกปีติระคนกับความสลดโศกาว่า “พระพุทธเจ้าได้หลุดพ้นจากสังสารวัฏนี้ไปนานแล้ว แต่เรายังว่ายวนอยู่ที่นี่ เราจะอยู่ไปจนถึงเมื่อไหร่…” ตาร้องไห้แบบไม่หยุดทุกครั้งที่ไปยังสถานที่แห่งนี้  ยิ่งเมื่อสวดมนต์บทสวดสรภัญญะ  “องค์ใดพระสัมพุทธ สุวิสุทธสันดาน…” ไปด้วย น้ำตาก็จะไหลเหมือนท่อน้ำตาแตก  สั่งให้หยุดก็ไม่ได้ต้องปล่อยไปอย่างนั้น ตาเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้สัมผัสได้เฉพาะตน อาจไม่เกิดกับคนอื่นแต่เกิดขึ้นกับตาแล้วจริง ๆ และทำให้ความเชื่อมั่นศรัทธาในพระพุทธศาสนาของตามีความมั่นคงแข็งแรงยิ่งขึ้น

ตาจึงตัดสินใจศึกษาต่อปริญญาเอกที่ประเทศอินเดีย ช่วงเวลาที่อยู่ที่นี่ได้ฝึกตัวเองในหลายเรื่อง ก่อนไปเรียนตาขายรถขายบ้าน ทิ้งทุกอย่างแล้วกลับไปเป็นนักศึกษาธรรมดา ๆ อีกครั้ง  ไปอยู่ที่โน่นได้ใช้ชีวิตในหอพัก เป็นหอรวม ห้องน้ำรวม ต้องซักผ้าด้วยตัวเอง กินข้าวหอกินโรตีจาปาตีแทนข้าว  ถ้าเบื่อก็กินมาม่าชีวิตในแต่ละวันเหมือนได้ปฏิบัติธรรม ได้เห็นตัวเองชัด ๆ อีกครั้งว่า “ตา - สุรางคณา”ที่ไม่ได้เป็นคนมีชื่อเสียง มีคนรู้จัก สามารถใช้ชีวิตให้มีความสุขได้อย่างไร

ตาเชื่อว่ายิ่งเราไม่สะสม ตัวเราก็จะยิ่งเบา ทุกวันนี้ตามีแค่กระเป๋าใบเดียวแต่ไปได้ทั่วโลกโดยไม่มีอะไรต้องกังวล  ตาคิดว่าคนเราทุกคนมีหน้าที่ “เรียนรู้ตัวเอง”สร้างประโยชน์ให้ตนเอง  สร้างประโยชน์ให้ผู้อื่น ไม่เบียดเบียนตัวเอง และไม่เบียดเบียนผู้อื่น…

 

ถ้าทำได้  ถึงจะอยู่ที่ไหน  เราก็สุขใจแน่นอนค่ะ

 

ที่มา : นิตยสาร Secret  ฉบับที่ 137

เรื่อง : สุรางคณา สุนทรพนาเวศ  

เรียบเรียง : เสาวลักษณ์  ศรีสุวรรณ  

ภาพ : ฝ่ายภาพ อมรินทร์พริ้นติ้งฯ


บทความน่าสนใจ

ไฮดี แมคเคนซี นางงามวีลแชร์ กับแฟชั่นผู้พิการ

ไข่มุก ชุติมา ดุรงค์เดช กล้าที่จะ”ฝัน”และทำมันให้เป็น “จริง”

มารีญา พูลเลิศลาภ งามจิตใจด้วยธรรมะ

© COPYRIGHT 2024 AME IMAGINATIVE COMPANY LIMITED.