ชนะมะเร็ง ด้วยธรรมะ นริสสา - ณัฐวุฒิ อมรวิวัฒน์
หากเปรียบการเจอเนื้อคู่เหมือนการถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 คู่ของ คุณแอ้ – นริสสาและ คุณณัฐ – ณัฐวุฒิ อมรวิวัฒน์ ก็คงเปรียบได้เช่นนั้น เพราะนอกจากเรื่องราวความรักของทั้งคู่จะเกิดขึ้นด้วยความบังเอิญแล้ว เมื่อฝ่ายหญิงต้องเผชิญชะตากรรมป่วยเป็นโรคมะเร็ง เธอก็มีคุณณัฐ สามีที่แสนดีคอยอยู่เคียงข้างเป็นกำลังใจให้เสมอธรรมะและรักแท้สามารถเอาชนะโรคร้ายได้อย่างไร ไปหาคำตอบกัน
บุพเพสันนิวาส
ความรักของคุณแอ้และคุณณัฐเริ่มต้นมาจากความมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ของฝ่ายชาย
คุณณัฐ : ผมกับแอ้รู้จักกันโดยบังเอิญตอนนั้นเรียนอยู่วิศวะจุฬาฯปี 3 ผมกับเพื่อนขับรถไปทำธุระ ระหว่างรอรถติดอยู่ที่สี่แยกอังรีดูนังต์ มีคนขาขาดเดินมาขายดอกไม้ผมบอกเพื่อนว่า ดูคนนี้สิ น่าสงสาร แต่เพื่อนมองไม่เห็น กลับไปเห็นผู้หญิงสวยมากคนหนึ่งนั่งอยู่ในรถ ผมจึงบอกว่า ‘ถ้างั้นเรายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเลยดีกว่า คือช่วยคนขาขาดแล้วก็ซื้อดอกไม้ให้ผู้หญิงสวยคนนั้นด้วย’ แล้วผมก็ซื้อดอกไม้และฝากให้คนขายเอาไปให้เขา โดยไม่ได้คิดจะไปรู้จักหรือสานต่อความสัมพันธ์
คุณแอ้ : ตอนนั้นเรียนอยู่ปี 3เหมือนกัน รู้สึกแปลก ๆ ที่จู่ ๆ มีคนเอาดอกไม้มาให้ ถามคนขายว่าเอาดอกไม้มาจากไหน เขาก็บอกว่าผู้ชายที่ขับรถคันข้างหน้าให้เอามาให้ เลยคิดว่าคงเป็นพวกชอบจีบสาว ประเภทเจอสาวสวยที่ไหนก็ซื้อดอกไม้ให้ จึงไม่ได้สนใจอะไร
คุณณัฐ : ไม่คิดว่าจะเจอกันอีก เพราะไม่ได้ตั้งใจจีบอยู่แล้ว ที่ไม่น่าเชื่อคือแอ้ก็เรียนที่จุฬาฯเหมือนกัน แล้วยังเป็นเพื่อนของเพื่อนอีกด้วย หลังเหตุการณ์นั้นผ่านไปประมาณ 3 - 4 เดือน มีผู้หญิง 2 คนมาที่คณะ เพื่อนชี้ให้ผมดูว่า นั่นไง แอ้ เป็นลีดจุฬาฯ ผมรู้สึกว่าทำไมคนนี้หน้าคุ้นจังเลยเดินตามไปดู เห็นเขากำลังเดินไปขึ้นรถก็จำได้ทันทีว่าเป็นคันเดียวกับที่เคยส่งดอกไม้ให้ รู้สึกแปลกใจมากว่า เฮ้ย อะไรมันจะฟลุคขนาดนี้ ผมบอกเพื่อนว่า ถ้าเจออีกครั้งต้องเข้าไปแนะนำตัวสักหน่อยแล้ว แล้วก็ได้เจอแอ้ที่ลานจอดรถคณะอักษรฯ คราวนี้เข้าไปแนะนำตัวว่าผมเป็นคนซื้อดอกไม้ให้แอ้ก็จำได้ ตอนแรกนึกว่าจะหยิ่ง แต่พอได้คุยกันจริง ๆ แอ้เป็นคนน่ารักและติดดินมากผมก็จีบเลย แต่แอ้บอกว่า ถ้าจะคบกันต้องไปพบคุณพ่อคุณแม่ก่อน ผมไม่ขัดข้องอยู่แล้ว จึงคบกันอย่างจริงจังตั้งแต่นั้นมาคนรัก กัลยาณมิตร และชีวิตที่ไร้ทายาท
ตลอดระยะเวลา 5 ปีเต็มที่คุณณัฐพิสูจน์ตัวเองด้วยการดูแลเอาใจใส่อย่างเสมอ-ต้นเสมอปลายและห่วงใยอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ทำให้คุณแอ้มั่นใจในตัวคุณณัฐมากขึ้นเรื่อย ๆ จนแต่งงานกัน แม้ว่าคุณณัฐจะมีแนวความคิดที่ไม่เหมือนใคร นั่นคือการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันโดยไม่มีทายาท
คุณณัฐ : เรื่องไม่มีลูกเป็นความตั้งใจของผมมาตั้งนานแล้ว จากการศึกษาพระ-พุทธศาสนาทำให้ผมเชื่อว่า ชีวิตเป็นทุกข์คนเรามาเกิดเพราะมีกรรม เช่นเดียวกับสัตว์โลกทั้งหลายที่มีกรรมเป็นของตนเอง อีกอย่างผมไม่คิดว่าเราจะเลี้ยงลูกได้ดีเท่ากับที่พ่อแม่เลี้ยงเรามา จึงคิดว่าควรเอาเวลาที่มีกับเงินที่หามาได้ไปเลี้ยงพ่อแม่ดีกว่า คือผูกกรรมกลับขึ้นไปข้างบน ดีกว่าผูกต่อไปข้างล่าง คือ มีลูกหลานต่อไปอีกไม่มีวันจบ ส่วนตอนแก่จะมีใครมาดูแลเราค่อยว่ากันอีกที
คุณแอ้ : ตอนแรกที่ณัฐบอกก็ตกใจเหมือนกัน เพราะมันไม่ใช่แนวคิดของคนส่วนใหญ่ ต้องบอกว่าก่อนหน้านี้แอ้สนใจพุทธศาสนาแบบผิวเผินมาก ๆ ไม่ได้อ่านหนังสือธรรมะหรือสนใจปรัชญาพุทธศาสนาเหมือนณัฐ เรื่องการเกิดเป็นกรรมอย่างหนึ่งจึงเป็นเรื่องใหม่สำหรับแอ้ แต่ด้วยความที่แอ้ไม่ได้เป็นคนรักเด็กและไม่ได้อยากมีลูก จึงไม่ได้คิดเหมือนผู้หญิงหลาย ๆ คนที่ว่าชีวิตนี้ต้องเป็นแม่คนให้ได้ เรื่องนี้จึงไม่ใช่ปัญหาเลย
หลังจากใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน คุณณัฐแนะนำให้คุณแอ้ปฏิบัติธรรม แรก ๆ คุณแอ้ไม่สนใจจนกระทั่งป่วยเป็นโรคลำไส้แปรปรวน
คุณแอ้ : เมื่อแต่งงานกับณัฐ แอ้ไม่ได้มีความฝักใฝ่เรื่องศาสนามากขึ้นเลย จนกระทั่งเริ่มมีความผิดปกติคือปวดท้อง มีลมมีแก๊สในท้อง และเรอตลอดเวลา จึงไปหาหมอและพบว่าเป็นโรคลำไส้แปรปรวนอันเป็นผลมาจากความเครียด คุณณัฐจึงแนะนำให้ไปปฏิบัติธรรมเพื่อช่วยให้เครียดน้อยลงและหายป่วยได้ ความจริงเขาพยายามชวนหลายครั้งแล้ว แต่แอ้ไม่สนใจ แต่พอป่วยเลยคิดว่าน่าจะลองดู จึงได้ไปปฏิบัติธรรมเป็นครั้งแรก
ตอนนั้นไปคอร์ส 7 วันของคุณแม่สิริกรินชัย ที่ยุวพุทธิกสมาคมฯ พอได้ปฏิบัติก็ติดใจเลย เหมือนได้เจอสิ่งที่มีค่าที่สุดที่คนคนหนึ่งจะสามารถเจอได้บนโลกนี้ ระหว่างอยู่ที่นั่นรู้สึกปีติมาก บางวันก้มตัวลงกราบพระน้ำตาก็ไหลออกมาเอง เพราะรู้สึกเหมือนได้พบสิ่งมหัศจรรย์และมีค่ามากสำหรับชีวิต รู้สึกตัวเองโชคดี แอ้ดีใจมากที่ตัดสินใจไปครั้งนั้น
หลังจากวันนั้นก็เริ่มซื้อหนังสือธรรมะมาอ่านเยอะมาก ธรรมะทำให้วิธีคิดแอ้เปลี่ยนไป เมื่อก่อนชอบทำอะไรสุดโต่งและปล่อยวางไม่เป็น ขี้วิตกกังวล ต่อมาได้ข้อคิดจากคำสอนของพระพุทธเจ้าว่า ทั้งอดีตและอนาคตไม่ใช่สิ่งที่ควรหมกมุ่นคิดถึงมัน เพราะจะนำมาซึ่งทุกข์ เราควรอยู่กับปัจจุบัน พอนำมาปรับใช้กับตัวเอง จากที่ชอบวิตกกังวลบ้างาน ก็หันมาเดินทางสายกลางมากขึ้น
คุณณัฐ : ผมดีใจมากที่แอ้ยอมไปปฏิบัติธรรม ซึ่งก็เห็นการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี คือจากเดิมที่เคยศึกษาพุทธศาสนาแบบทำตามประเพณีหรือพิธีกรรม ก็ได้มาเรียนรู้เรื่องการฝึกจิต ตอนนี้เขาต้องสอนผมแล้ว เพราะผมอยู่แค่ระดับประถม ส่วนเขาเทียบได้กับเข้ามหาวิทยาลัย อย่างนี้แหละที่เรียกว่ากัลยาณมิตร เราเริ่มก้าวแรกให้เขาแล้วเขาไปต่อยอดเองอีกหลายขั้น
คลิกเลข 2 ด้านล่าง เพื่ออ่านหน้าถัดไป
เผชิญโรคร้าย
ปี 2555 คุณแอ้พบว่าตนเองเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองระยะที่ 3 การเผชิญโรคร้ายคราวนั้นทำให้เธอยิ่งเชื่อมั่นเรื่องกฎแห่งกรรม
คุณแอ้ : ตอนแรกที่รู้ว่าเป็นก็ตกใจคิดไม่ถึงว่าเราจะเป็น เนื่องจากแอ้ค่อนข้างดูแลสุขภาพตัวเองเป็นอย่างดี หลังจากหายตกใจก็ต้องขอบคุณธรรมะของพระพุทธเจ้าที่ได้ศึกษามา 4 - 5 ปี เพราะช่วยให้เรามีสติเหมือนมีเราอีกคนหนึ่งมาบอกว่า นี่เป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต ต้องมีเกิด แก่ เจ็บ ตายเมื่อก่อนเราคิดว่าเรื่องพวกนี้จะมาตามลำดับคือเกิดก่อน แล้วค่อยแก่ เจ็บ แล้วค่อยตาย แต่พอมาเจอของจริง ยังไม่ทันแก่เลยเจ็บก็มาแล้ว
ถ้าไม่เคยปฏิบัติธรรมหรือศึกษาธรรมะมาก่อนอาจโกรธและเกิดคำถามมากมายว่าทำไมเรื่องนี้ถึงต้องเกิดขึ้นกับฉัน ฉันทำผิดอะไร ฉันทำดีมาตลอด ไม่เคยด่าว่าทำร้ายใคร แต่เมื่อได้ศึกษาธรรมะ ความคิดเช่นนี้ไม่มีเลย เพราะเชื่อว่ากฎแห่งกรรมมีจริง จึงไม่เสียใจ ไม่โทษใครอะไรทั้งนั้น แต่เชื่อว่าเป็นเพราะตัวเองต้องเคยทำอะไรไม่ดีมาก่อนแน่นอน ถ้าไม่ใช่ชาติก่อน ๆ ก็คงเป็นชาตินี้ที่เราเคยฆ่าสัตว์ตัดชีวิต อย่างฆ่ามดฆ่าแมลงโดยไม่ได้คิดสงสารเขา คือเมื่อมาไตร่ตรองดูแล้วมันคือกรรมที่ทำไว้ ซึ่งเราต้องชดใช้จึงทำให้ยอมรับการเป็นมะเร็งในแบบที่ใจไม่ได้ทุกข์มาก
สำหรับขั้นตอนการรักษา พอคุณหมอบอกว่าเจอก้อนมะเร็งที่ม้ามจึงตัดม้ามออกไปหลังจากนั้นประมาณ 3 เดือน มะเร็งได้กระจายไปที่ต่อมน้ำเหลืองหลายจุดในร่างกายต้องรักษาด้วยการให้ยาคีโม 6 ครั้ง ซึ่งโชคดีว่ามะเร็งเหลือน้อยลงตั้งแต่การให้ยาครั้งที่ 3และหายไปทั้งหมดตอนให้ยาคีโมครั้งที่ 6แต่ระหว่างการให้ยาก็มีผลข้างเคียงหลายอย่างคือ ผมร่วงตั้งแต่ให้ยาครั้งที่ 2 ติดเชื้อราที่เหงือก ติดเชื้อที่ปอด ปลายมือปลายเท้าชาร่างกายไม่ค่อยมีแรง เล็บแห้งออกเป็นสีดำ ๆแต่โชคดีที่ไม่ค่อยอาเจียนเหมือนเคสอื่น ๆที่เคยอ่านเจอในหนังสือ
คุณณัฐ : ตอนแอ้ป่วย ผมไม่รู้สึกว่าแอ้จะไม่หายนะ คิดแต่ว่าแอ้จะหายอย่างเดียวต้องขอบคุณคุณหมอสุรพล อิสรไกรศีลโรงพยาบาลกรุงเทพ ท่านให้คำปรึกษาถึงวิธีดูแลทั้งกายและใจ ข้อมูลที่คุณหมอให้ทำให้ผมมีแต่ความคิดบวก อย่างตอนผมร่วง ผมก็จะบอกแอ้ว่า นี่คือสัญญาณว่ายาคีโมทำงานเพราะขนาดผมยังร่วงก็แสดงว่าเซลล์มะเร็งต้องโดนยาซัดเต็ม ๆ แน่นอน แต่ลึก ๆ แล้วผมรู้สึกว่าแอ้เข้มงวดกับตัวเองมากเกินไป คือในช่วงที่ได้รับยาคีโม เม็ดเลือดขาวจะตกลงบ้างเป็นช่วงสั้น ๆ ทำให้ภูมิคุ้มกันตกลงและติดเชื้อโรคได้ง่าย แอ้จึงระวังและปฏิบัติตัวเหมือนคนที่ป่วยมาก ๆ เช่นว่าเวลากลับมาบ้านก็ไม่ลงมาแตะพื้นข้างล่างเลย ไม่ลงมาในสวน อยู่แต่ชั้นสอง ซึ่งผมว่ามันเกินไปอะไรที่ไม่สุกก็จะไม่กินเลย หรืออย่างเวลากินกล้วยต้องล้างเปลือกด้วย คือเคร่งครัดไปทุกอย่าง ทำให้ระหว่างการรักษาตัว แอ้ผอมมากและผอมลงเรื่อย ๆ จนผมเป็นห่วงเพราะคุณหมอเคยบอกแล้วว่าเคสของแอ้มันไม่ซีเรียสถึงขั้นนั้น
เวลาอยู่ต่อหน้า ผมจะไม่ให้แอ้รู้สึกว่าผมกังวลอะไรทั้งนั้น ทุกครั้งที่เข้าโรงพยาบาลผมดูแลแอ้เหมือนเรามาพักร้อนกัน ผมจะเอาเพลง เอายูทูบไปเปิด ทำหน้าที่เป็นดีเจให้แอ้สบายใจ ผมหาอะไรให้แอ้เล่นตลอดไม่เคยปล่อยให้ว่าง
คุณแอ้ : ณัฐไม่อยากให้แอ้เสียความมั่นใจ แอ้จึงเห็นเขาสบาย ๆ เฉย ๆ และมีแต่คำพูดด้านบวกตลอด ท่าทางเขาก็จะร่าเริง เหมือนแอ้เป็นโรคธรรมดา ๆ ไม่มีอะไรหนักหนาสาหัส เขาถือเป็นกำลังใจสำคัญที่ทำให้แอ้หายจากมะเร็ง
พบความสุขที่ไม่เคยมองเห็น
อาจพูดได้ว่าเป็นความโชคดีในความโชคร้าย เมื่อการเผชิญหน้ากับมะเร็งได้นำพาคุณแอ้ไปพบกับความสุขที่แท้จริงอีกหนึ่งอย่างในชีวิตที่เรียกว่า “การให้”
คุณแอ้ : ตั้งแต่ป่วย ความคิดของแอ้เปลี่ยนไปเยอะมาก ความจริงตอนที่รู้จักการปฏิบัติธรรม ความคิดเกี่ยวกับเรื่องการใช้ชีวิตก็เปลี่ยนไประดับหนึ่งแล้ว แต่เป้าหมายหลักในชีวิตที่แอ้ให้ความสำคัญมากที่สุดยังคงเป็นสิ่งเดิม นั่นคือความสำเร็จในเรื่องงานและการหาเงินให้ได้มาก ๆ
หลังหายจากมะเร็งรอบแรก แอ้ก็กลับไปปฏิบัติธรรมอีก ตอนนั้นความคิดเปลี่ยนไปมาก พระอาจารย์ตั้งโจทย์แล้วให้เราเขียนออกมาว่า หากต้องตายในวันพรุ่งนี้ 10 อย่างที่เราอยากทำมีอะไรบ้าง ซึ่งสิ่งที่แอ้เขียนออกมา ความสำเร็จในชีวิตไม่ได้อยู่ในลิสต์อันดับต้น ๆ อีกต่อไป สิ่งที่เขียนออกมาทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องการสร้างความสุขให้ตัวเองด้วยการมอบความสุขให้คนอื่น เช่น การหันมาใส่ใจดูแลคนใกล้ตัว ทั้งสามีคุณพ่อคุณแม่ ญาติพี่น้อง เพื่อน และอยากทำความดีเพื่อคนอื่นซึ่งไม่เคยทำมาก่อนเพราะไม่คิดว่ามันจะนำความสุขมาให้ได้ แต่นี่เป็นเพราะรู้สึกว่าชีวิตเรามีความไม่แน่นอนสูงจึงอยากทำสิ่งเหล่านี้ซึ่งถือว่าเป็นบุญอย่างหนึ่งให้มาก ๆ
คลิกเลข 3 ด้านล่าง เพื่ออ่านหน้าถัดไป
สู้มะเร็งรอบที่สอง
เมื่อคุณแอ้พบว่ามะเร็งต่อมน้ำเหลืองได้กลับมาเยือนชีวิตอีกครั้ง คราวนี้เธอไม่ได้รู้สึกตกใจหรือกังวลแต่อย่างใด เพราะมีวิธีรับมือกับโรคมะเร็งด้วยวิธีคิดแบบใหม่ นั่นคือการต่อสู้กับมะเร็งด้วยความสุข
คุณแอ้ : ตอนที่รู้ว่ามะเร็งต่อมน้ำเหลืองกลับมาอีก ไม่ได้เครียดหรือเสียใจ แต่แอบรู้สึกแย่ เพราะถ้าไม่เป็นอีกเลยจะดีกว่าตอนนั้นชีวิตเรากำลังเข้าสู่โหมดปกติ ร่างกายเริ่มแข็งแรง ผมก็ขึ้นแล้ว จึงรู้สึกเสียดายที่ต้องถูกหยุดด้วยการรักษาอีกรอบหนึ่ง แต่ในใจก็คิดว่าต้องรักษาได้แน่ เพราะรอบแรกยังรักษามันจนหาย
พอเป็นรอบที่สอง แอ้ก็คิดว่าคราวนี้เราจะอยู่กับมันแบบใหม่ จะสู้กับมะเร็งด้วยการใช้ชีวิตแบบชิลมาก ๆ เหมือนไม่ได้ป่วยครั้งที่ผ่านมาเราสู้แบบเครียด ๆ
แต่คราวนี้แอ้คิดได้ว่า ชีวิตที่ผ่านมาคือชีวิตของมะเร็ง ไม่ใช่ชีวิตของฉัน ต่อจากนี้ไปฉันจะใช้ชีวิตทุกวันให้มีความสุขที่สุดเป็น The Best Time of My Life จริง ๆณัฐเขาพยายามบอกเรื่องนี้มาตั้งแต่การรักษารอบแรกแล้วว่า แอ้รักษามะเร็งที่ร่างกายนะควรทำใจให้มีความสุข แอ้ไม่เคยเข้าใจจนกระทั่งมาป่วยรอบที่สอง
คุณหมอบอกว่าครั้งนี้ต้องรักษาด้วยการให้ยาคีโมที่แรงที่สุด ซึ่งมันจะเข้าไปทำลายไขกระดูกและทำให้ภูมิคุ้มกันเราตกจึงต้องเข้าไปรักษาตัวอยู่ในห้องปลอดเชื้อหนึ่งเดือน พอเริ่มให้ยาคีโม แอ้ก็ไม่มีแรง มึนหัวมากจนโงหัวไม่ขึ้น และมีอาการข้างเคียงต่าง ๆ ตามมา คือ อาเจียนทุกวัน ท้องเสียวันละ 5 - 6 รอบ ปวดท้อง เจ็บลิ้น เพราะลิ้นเป็นแผล ไม่รับรู้รสเลย และเจ็บในคอมากจนต้องให้อาหารทางเส้นเลือด
คุณณัฐ : แต่เรื่องความสุขนี่ต่างจากครั้งแรกอย่างสิ้นเชิงเลย เพราะหลังจากที่หายจากเป็นมะเร็งรอบแรก ผมชวนแอ้ไปขี่จักรยานสองตอน พอมาให้ยาคีโม ผมก็เอาจักรยานมาให้แอ้ปั่นอยู่กับที่ในห้องพัก พอแอ้ปั่นไม่ไหวก็อาศัยนั่งมองจักรยาน ว่าพอหายคราวนี้เราจะได้ออกไปขี่จักรยานด้วยกันอีก มันเป็นสัญลักษณ์ของความคิดบวก
เอาทุกข์มาสอนธรรม
การเป็นมะเร็งรอบนี้ทำให้คุณแอ้ได้มีโอกาสนำธรรมะที่เคยศึกษามาใช้อย่างเต็มที่
คุณแอ้ : การสู้กับมะเร็งรอบสองนี้เนื่องจากร่างกายมีทุกขเวทนาเกิดขึ้นทุกวันอาการค่อย ๆ แย่ลงเรื่อย ๆ จึงบอกกับตัวเองว่า ตอนนี้ต้องเอาที่เรียนมามาใช้ในชีวิตจริงโดยเฉพาะเรื่องการแยกกายกับจิต ซึ่งเคยทำได้ครั้งหนึ่งตอนฝึกนั่งสมาธิ คือเหมือนใจของเราออกมาจากร่างกาย แล้วมองกลับมาเห็นตัวเรานั่งสมาธิอยู่ พอป่วยเราจึงเป็นเพียงแค่ผู้ดู เห็นร่างกายปวดหัว อาเจียน โดยไม่ไปปรุงแต่งต่อว่าพรุ่งนี้จะเป็นหนักกว่านี้หรือเปล่า ปล่อยให้การดูแลร่างกายเป็นเรื่องของคุณหมอและพยาบาล
ส่วนใจเราก็ไปสนใจอย่างอื่น เช่น ดูซีรี่ส์เกาหลี ดูคอนเสิร์ต ฟังเพลงเพราะ ๆ คือเอาใจไปคิดเรื่องอื่นที่เป็นความสุขล้วน ๆทำทุกอย่างที่ชอบ รวมถึงการทำบุญด้วยการอัดเสียงอ่านหนังสือธรรมะให้คนตาบอดฟังลงใน Read for the Blind Applicationที่คุณณัฐร่วมกับบริษัทซัมซุงทำขึ้นมา เรื่องที่อ่านเป็นเรื่องของพระอาจารย์ที่ป่วยเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองเหมือนกัน ท่านเรียกว่า“สนุกป่วย” บทความของท่านให้ข้อคิดกับแอ้มาก เรียกได้ว่าได้ใช้เวลาระหว่างรักษาตัวทำประโยชน์ให้ทั้งกับตัวเองและผู้อื่นที่ลำบากกว่าเราด้วย
สิ่งสำคัญที่ทำให้แอ้สามารถผ่านวันเวลาอันยากลำบากมาได้ เพราะมีธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นกำลังใจ อย่างที่รู้กันดีว่าแต่ละชาติของพระพุทธเจ้าต้องประสบกับทุกขเวทนามากเหลือเกินกว่าจะบรรลุธรรมพระอรหันต์แต่ละองค์ก็บรรลุธรรมได้เพราะทุกข์ แอ้จึงนำท่านเหล่านั้นมาเป็นตัวอย่างช่วงที่ป่วยจึงถือเป็นโอกาสที่จะได้สั่งสมบารมีทางธรรม แอ้คิดว่าเป็นโชคดีนะ เพราะถ้าไม่ป่วยเป็นมะเร็งก็อาจรู้ธรรมะแค่เพียงผิวเผิน พอชีวิตกลับไปมีความสุขดีก็ลืมปฏิบัติธรรม จึงคิดว่า เราจะใช้โอกาสตอนที่ป่วยมาก ๆ นี่แหละมาปฏิบัติฝึกจิตของเราเป็นช่วงเวลาที่ได้มานั่งภาวนาดูลมหายใจ ได้อยู่กับปัจจุบัน
เมื่อร่างกายต้องให้ยาคีโม แอ้ส่องกระจกดูสังขารตัวเอง ก็เห็นร่างกายที่เคยสวยค่อย ๆ โทรมลง เห็นหน้าตาเขียวคล้ำขอบตาช้ำ โทรมที่สุดในชีวิต เลยเข้าใจว่านี่แหละคือสังขารที่ไม่สวยอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัส ทำให้เรามองทุกข์อย่างไม่เป็นทุกข์และคิดว่าถ้าเราต้องตายจริง ๆ นี่ก็คือการปฏิบัติธรรมขั้นอุกฤษฏ์ที่เราได้สั่งสมบารมีไปชาติหน้า คือการเห็นอนิจจัง ทุกขังอนัตตา ที่ตัวของเราเอง พอคิดได้อย่างนี้เลยคิดว่าตัวเองก็ไม่ได้โชคร้ายมากนัก
คลิกเลข 4 ด้านล่าง เพื่ออ่านหน้าถัดไป
เข้าใจทุกข์ – เข้าใจธรรม
หลังจากที่คู่ชีวิตต้องประสบกับทุกข-เวทนาจากโรคร้ายถึงสองครั้ง ทำให้คุณณัฐซึ่งมีพื้นฐานความเข้าใจเรื่องธรรมะอยู่แล้วยิ่งตระหนักถึงเรื่องชีวิตและความตาย
คุณณัฐ : ปกติผมเจริญมรณานุสติคิดถึงความตายอยู่บ่อย ๆ เคยคิดว่า หากตายก็ไม่เสียดาย เพราะได้ดูแลพ่อแม่อย่างเต็มที่ และยังได้ทำบุญด้วยการช่วยเหลือคนตาบอด ความตายสำหรับผมจึงเป็นเหมือนลูกปัดหนึ่งลูกในสร้อยเส้นหนึ่งเท่านั้น การตายในชาติหนึ่งจึงไม่ใช่ตอนจบของชีวิต แต่เป็นแค่ส่วนหนึ่งของการเกิดมามีชีวิตทั้งหมดเพราะเราเกิดมาแล้วไม่รู้กี่ชาติ จิตก็แตกดับมาแล้วไม่รู้เท่าไหร่ การตายของแต่ละชาติก็เหมือนแค่การหลับแล้วตื่นขึ้นมา จะสิ้นสุดการเกิดหรือไม่ก็อยู่ที่ว่าเราทำดีพอหรือเปล่าถ้าดีพอคือนิพพานก็ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก
คุณแอ้ : ไม่รู้ว่าสิ่งที่จะบอกต่อไปนี้คือการเจริญมรณานุสติหรือเปล่า ด้วยความที่โรคนี้มีความไม่แน่นอนสูง เพราะมันอาจกลับมาเป็นอีกเมื่อไหร่ก็ได้ จึงรู้สึกว่าอยากใช้ชีวิตทุกวันให้มีค่ามากที่สุด ในเมื่อตอนนี้เรายังตัดกิเลสไม่ได้ ต้องกลับมาเกิดอีก จึงอยากหาความสุขและทำดีให้ได้มากที่สุดทั้งทางโลกและทางธรรม ทางโลกคือ ทำอะไรก็ได้ที่ทำให้เรามีความสุข อย่างเช่น การดูแลคุณพ่อคุณแม่ และคุณณัฐ - สามีซึ่งเป็นคนที่รักเราและดูแลเรามาตลอด ที่ผ่านมาแอ้ดูแลสามีน้อย และไม่ใช่แม่บ้านที่ดีสักเท่าไหร่เพราะใช้เวลาหมดไปกับการทำงาน จึงอยากหันกลับมาดูแลเขาให้มากขึ้น เพื่อทดแทนระยะเวลา 15 ปีที่ผ่านมาที่ไม่ค่อยได้ดูแลเขา
ส่วนทางธรรมคือ จะทำบุญให้ได้มากที่สุด ไม่ว่าบุญเล็กน้อยอะไรจะทำให้หมดเมื่อก่อนแอ้ไม่เคยเตือนตัวเองเลยว่าวันนี้เราทำบุญหรือยัง แต่ทุกวันนี้แอ้จะคอยกระตุ้นเตือนตัวเองว่าเราต้องทำบุญ ซึ่งบุญมีหลายรูปแบบ เช่น ช่วยสัตว์พิการ พูดให้กำลังใจคน หรือช่วยสงเคราะห์คนยากจน อาจพูดได้ว่านี่คือการเจริญมรณานุสติของแอ้ก็ได้
เมื่อก่อนแอ้เคยคิดว่าเราอาจตายตอนอายุประมาณ 60 - 70 แต่ตอนนี้รู้แล้วว่า เราไม่รู้จริง ๆ ว่าความตายจะมาถึงเมื่อไหร่ คือถ้าไม่เป็นมะเร็งคงไม่คิดอย่างนี้ พอเป็นมะเร็งแล้วทำให้ความแน่นอนในอนาคตน้อยลงมากจึงอยากทำวันนี้ให้ดีที่สุด คือหาความสุขให้มากที่สุด และทำบุญให้เยอะที่สุด
คู่ทุกข์ คู่แท้
อาจกล่าวได้ว่า การที่คุณแอ้สามารถเอาชนะโรคร้ายมาได้ถึงสองครั้งสองครานั้นเป็นเพราะพลังแห่งความรักและการคิดบวกซึ่งมีคุณณัฐเป็นดั่งผู้นำและกัลยาณมิตร
คุณณัฐ : ตอนที่แอ้เป็นมะเร็ง บอกตามตรงว่าผมไม่ได้กังวลอะไรทั้งนั้น เพราะไม่อยากให้เขาไม่สบายใจ ผมคิดแต่ว่า เราต้องเดินหน้ารักษาอย่างเดียว ทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ คิดว่ายังไงก็ต้องหายแล้วแอ้ก็หายจริง ๆ
คุณแอ้ (น้ำตาลคลอ) : เพราะณัฐเป็นคนคิดบวกแบบนี้ แอ้เลยได้ซึมซับข้อดีมาจากเขา แอ้อยากบอกว่า การที่เราได้มาเจอกันคงเป็นเพราะบุญจากอดีตชาติที่เคยทำร่วมกันมา แอ้รู้สึกตื้นตันใจและสำนึกบุญคุณของณัฐ เพราะเขาเป็นคนแรกที่ชวนให้ไปปฏิบัติธรรม เขาเป็นคนที่นำธรรมะมาบอกสอนเราอยู่เสมอ และเป็นไอดอลของเราในการทำดีเพื่อคนอื่น ณัฐเป็นคนดีมาก แอ้ดีใจที่ได้แต่งงานกับเขาและอยากทำดีให้ได้อย่างเขาบ้าง
คุณณัฐ : ผมอยากบอกทุก ๆ คนว่าการที่เรามีโอกาสมาบอกเล่าถึงประสบการณ์การต่อสู้กับโรคมะเร็ง ไม่ใช่ว่าเราประสบความสำเร็จ วิธีของเราไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดหรือเราเก่งที่สุด เพียงแต่เราต้องการแชร์ให้ทุกคนได้อ่าน เผื่อว่าเรื่องของเราจะเป็นประโยชน์กับคนอื่นบ้างไม่มากก็น้อย
เรื่องของทั้งคู่เป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ว่าอานุภาพของธรรมะและพลังแห่งรักแท้นั้นมีอยู่จริง
ขอขอบคุณ
สถานที่ โรงแรม AETAS Bangkok
โทร. 0-2618-9000 www.aetashotels.com
เรื่อง ธันยาภัทร์ รัตนกุล ช่างภาพ วรวุฒิ วิชาธร ผู้ช่วยช่างภาพ กำพล ยอดเมือง สไตลิสต์ ณัฏฐิตา เกษตระชนม์