จุ๊…จุ๊…จุ๊ 7 เรื่องห้ามเมาท์ ในออฟฟิศ
เพราะ “ออฟฟิศ” หรือ “สถานที่ทำงาน” เป็นอีกสถานที่ที่มนุษย์เงินเดือนอย่างเรา ๆ มักจะใช้เวลากับที่นี่มากเป็นอันดับสองของชีวิต…รองจากบ้าน สังคมในที่ทำงานจึงมีความสำคัญไม่น้อย อย่างไรก็ดี ออฟฟิศก็คือออฟฟิศวันยังค่ำ ไม่ใช่โรงเรียน มหาวิทยาลัย หรือบ้านที่เราสามารถแสดงตัวตน บอกเล่าสิ่งที่คิด หรือบอกสิ่งที่ต้องการได้เต็มที่…มาดูกันซิว่า ในออฟฟิศมี เรื่องห้ามเมาท์ เรื่องไหนกันบ้าง
ข้อ 1 My style กิน – ดื่ม – เที่ยว
หากคิดจะสร้างความคุ้นเคยกับคนในออฟฟิศ ไม่จำเป็นต้องสาธยายไลฟ์สไตล์ให้คนในออฟฟิศรู้ทั้งหมด เช่น ชอบดื่ม ชอบเที่ยวมากแค่ไหน อย่างไร เพราะข้อมูลเหล่านี้นอกจากจะทำให้คุณถูกตัดสินเบื้องต้น (แบบเหยียด ๆ) ว่าเป็น “ปาร์ตี้เกิร์ล” หรือ “หนุ่มนักเที่ยว” ตัวยงแล้ว หากวันไหนเกิดเที่ยวดึกจนมาทำงานสาย หรือมาทำงานด้วยอาการแฮ้ง (เมาค้าง) จนเสียงานเสียการขึ้นมาละก็ ได้เป็นเรื่องแน่ ๆ
ข้อ 2 ฉัน “สี” นี้ แล้วเธอ “สี” อะไร
บางครั้ง “การเมือง ศาสนา และความเชื่อ” ก็เคลื่อนพลเข้ามาอยู่ในออฟฟิศด้วย ถ้าคิดเห็นเหมือนกัน สีเดียวกันก็พอคุยกันต่อได้ แต่หากคิดต่างแถมยังอยู่ขั้วตรงกันข้ามด้วยแล้ว คงได้ต่อล้อต่อเถียงกันไม่จบสิ้น เพราะต่างฝ่ายต่างคิดว่าสีของตัวเองแน่ เจ๋ง ถูกต้อง และถ้าหนักไปกว่านั้น บางรายอาจถึงขั้นทำงานร่วมกันไม่ได้เลยก็มี

ข้อ 3 ฉันอารมณ์ดีขี้เล่น ขี้อำนะ
คนที่ทำให้คนอื่นหัวเราะได้ ยิ้มได้ย่อมมีแต่คนอยากอยู่ใกล้ ถ้าคุณอยากอยู่ในตำแหน่งนั้นต้องรู้จัก “เลือก” หัวข้อที่นำมาคุย อย่าตีสนิทด้วยการทำตลกเสียดสีเรื่องความเปิ่น ความโก๊ะของคนในออฟฟิศ เพราะแม้จะเรียกเสียงหัวเราะจากคนรอบข้างได้ก็จริง แต่รับรองว่า การแซวแบบนี้ “เจ้าตัว” ไม่มีทางชอบด้วยแน่ ๆ เมื่อต้องกลายเป็นตัวตลกในสายตาคนอื่น ส่วนตัวคุณเองก็อาจถูกมองในทางที่ไม่ดีไปด้วย ดังนั้นถ้าจะตลก จะขำ เอาเรื่องทั่ว ๆ ไปดีกว่าเยอะ
ข้อ 4 เธอ ๆ ฉันมีอะไรจะเล่า…
ถึงจะไม่พอใจเจ้านายหรือเพื่อนร่วมงานอยากจะเล่า อยากระบาย แต่วิธีนี้ไม่ใช่ทางออกที่ดีแน่ เพราะจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเรื่องนั้นจะไม่แพร่กระจายออกไปจนคุณต้องหมางใจกับคนในออฟฟิศและถูกตราหน้าว่า “เป็นคนขี้เมาท์” ไม่มีใครสนิทใจจะคบหา (รวมถึงการระบายผ่านพื้นที่ส่วนตั๊วส่วนตัว เช่น เฟซบุ๊ก อินสตาแกรม เว็บบล็อกต่าง ๆ)
คงจะดีกว่าหากคุณสามารถเก็บความไม่พอใจนั้นไว้คนเดียว หรือถ้าฝึกฝนวิชาธรรมะแก่กล้าสักหน่อยก็ต้องปล่อยวางมันไปซะ อย่าได้แพร่งพรายให้คนในออฟฟิศรับรู้เป็นดีที่สุด แต่ถ้าทนไม่ไหวจริง ๆ ลองคุยกับเพื่อนที่ไว้ใจได้นอกออฟฟิศหรือคนในครอบครัวดู เพราะอย่างน้อยคนเหล่านี้ก็พร้อมจะยืนอยู่ข้างคุณเสมอ ไม่มีวันหักหลังคุณแน่ ๆ
ข้อ 5 ฉันจริงใจนะจ๊ะ
ไม่ว่างานที่รับผิดชอบจะเป็นอย่างไร จะโดนใจคุณมากน้อยแค่ไหน จงยิ้มเอาไว้ก่อน ห้ามพูดถึงงานในแง่ลบ ไม่สร้างสรรค์หรือมีปฏิกิริยาต่อต้านไม่อยากทำเด็ดขาด เพราะถ้ามีคนคาบข่าวนี้ไปบอกเจ้านาย คงไม่ใช่เรื่องดีแน่ ๆ
ขณะเดียวกันถ้างานนั้นช่างโดนใจคุณเหลือเกิน อย่าแสดงอาการลิงโลดจนออกนอกหน้า เพราะคนขี้อิจฉามีอยู่รอบตัวเสมอ ซ้ำร้ายเขาอาจจะคิดว่าคุณต้องการโชว์พาวหรือแอบทับถมเขาอยู่นิด ๆ เอาเป็นว่า ดีใจแค่พอประมาณปลอดภัยที่สุด

ข้อ 6 ฉันมีรายรับเท่าไหร่กันนะ
อย่าคุยเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ในที่ทำงานโดยเฉพาะเรื่องเงินเดือน เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ควรรับรู้กันแค่คุณ หัวหน้า และฝ่ายบุคคลเท่านั้น
นอกจากนี้ค่าใช้จ่ายรายเดือนของคุณไม่ว่าค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าผ่อนรถ ค่าผ่อนบ้าน การช็อปสินค้า การเที่ยวเล่นต่าง ๆ ก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรเปิดเผยเช่นเดียวกัน เพราะเรื่องเหล่านี้อาจกระตุ้นให้ผู้ฟังตั้งคำถามเกี่ยวกับรายได้ของคุณ ตลอดจนอาจเกิดความคิดลบ ๆ ตามมาได้
ข้อ 7 ต่อไปฉันจะ…
เก็บเรื่องอนาคตไว้เป็นอนาคตดีกว่าโดยเฉพาะอนาคตในการทำงาน เช่น วางแผนว่าจะลาออกเมื่อไหร่ ไปทำอะไรเพราะอะไร เพราะบางทีถ้าข่าวนี้แพร่กระจายออกไป คุณอาจจะได้ออกจากงานเร็วกว่าที่คิดไว้ก็เป็นได้
นอกจาก 7 เรื่องนี้แล้ว สิ่งสำคัญที่ขอแนะนำให้มีติดกายติดใจไว้ตลอดเวลาคือ “สติ” เพราะสติจะช่วยให้ตัวคุณเองไม่ตกเป็นเหยื่อหลงเชื่อใครง่าย ๆ เวลาที่มีคนมา “เมาท์” อะไรต่อมิอะไรให้คุณฟัง!
ที่มา นิตยสาร Secret
เรื่อง Horizon
บทความน่าสนใจ
เจริญมรณสติ วิถีสู่นิพพาน โดย พระไพศาล วิสาโล
ปัญหาธรรมประจำวันนี้: โกหก เพราะหน้าที่ การงาน ผิดศีลหรือไม่
วิธีปลูกสติ บทความดีๆ จาก พระราชญาณกวี (ท่านปิยโสภณ)