8 เคล็ดลับ ปรับนิสัย ให้กลายเป็นคนไอเดียพุ่งกระฉูด
ความคิดสร้างสรรค์…ใครๆ ก็อยากมี เพราะเป็นที่รู้กันดีว่าความคิดสร้างสรรค์เป็นของหายาก มากคุณค่าและ (อาจ) ไม่ได้มีติดตัวมาตั้งแต่เกิด Secret ได้พูดคุยกับ อาจารย์รัศมี ธันยธร หรือ ครูเอ็ด เจ้าตำรับ Creative Thinking (Creative + Positive) เพื่อหาวิธีปลุกความคิดสร้างสรรค์ให้งอกงามขึ้น ลองมา ปรับนิสัย เปลี่ยนตัวเอง ตามที่ครูเอ็ดแนะนำกันนะคะ
ครูเอ็ดเล่าว่า ความคิดสร้างสรรค์เกิดขึ้นได้จากสองส่วนคือ ปัจจัยภายในหมายถึงการพัฒนาตนเอง และปัจจัยภายนอกหมายถึงสภาพแวดล้อมและคนรอบข้าง เพราะถ้าเราได้ทำงานในบรรยากาศที่มีมิตรจิตมิตรใจและเอื้อต่อการใช้ความคิดสร้างสรรค์ เราก็จะเป็นคนที่คิดได้ กล้าคิด กล้าพูด และกล้าทำ ซึ่งการสร้างบรรยากาศที่สร้างสรรค์ทำได้ด้วยวิธีง่าย ๆ ดังนี้
1. ไม่ว่า ไม่วิจารณ์ใคร
เชื่อไหมว่าคนไทยส่วนใหญ่ ไม่กล้าออกความเห็นเพราะกลัวว่าพูดไปแล้วจะถูกตอกกลับด้วยคำพูดแรง ๆ เช่น “คิดมาได้อย่างไร” “คิดเข้าไปได้” “คิดอะไรบ้า ๆ” ซึ่งคำพูดเหล่านี้เป็นคำพูดติดปาก คนพูดอาจพูดไปโดยไม่รู้สึกอะไร แต่คนฟังจะรู้สึกเจ็บปวดมากและเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้คนไม่อยากเสนอความคิดเห็น ดังนั้นกติกาข้อแรกของการอยู่ร่วมกัน คือ เราจะไม่ว่า ไม่วิจารณ์ ไม่เอาตัวเองเป็นบรรทัดฐาน แล้วไปตัดสินคนอื่น แม้หลายคนจะบอกว่าการวิจารณ์คือ ส่วนหนึ่งของการแสดงความคิดเห็น แต่เพื่อสร้างบรรยากาศการทำงานให้ดีขึ้น ขอให้เราอดใจละเว้นการวิพากษ์วิจารณ์ไปก่อน
2. ยอมรับฟังความคิดเห็นของกันและกัน
การยอมรับไม่ได้ แปลว่าเราคิดเหมือนเพื่อนหรือชอบสิ่งที่เขาทำ แต่หมายความว่าเมื่อเพื่อนพูดอะไรขึ้นมาสักอย่าง แม้ไม่ตรงกับความคิดและความเชื่อของเรา เราก็ต้องไม่เบรกหรือแสดงว่าไม่สนใจในความคิดของเขาหรือเธอเป็นอันขาด
3. พยายามเข้าใจทั้ง ๆ ที่ไม่เข้าใจ
นอกจากจะต้องพยายามเข้าใจความคิดของอีกฝ่าย เรายังต้องพยายามที่จะเข้าใจความรู้สึกของเขาด้วย เช่น เวลาที่เพื่อนร่วมงานมีเรื่องไม่สบายใจมาบ่นให้เราฟัง เราก็ไม่ควรจะเอาแต่บอกว่า “จะบ่นทำไม บ่นไปก็ทุกข์ใจเปล่า ๆ” เพราะถ้าเรายังพยายามห้ามไม่ให้เขาเป็นทุกข์ เราก็จะไม่มีทางเข้าใจความกังวลของเขาได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด ขอให้เราพยายามทำความเข้าใจประหนึ่งเข้าไปนั่งในใจของเขา
4. ให้อิสระ
คนแต่ละคนมีความคิดไม่เหมือนกัน แม้จะดื่มน้ำจากแก้วใบเดียวกัน คนหนึ่งอาจบอกว่า “อร่อยจัง…ขออีกแก้ว” อีกคนอาจบอกว่า “น้ำอะไร…รสชาติประหลาด” ในขณะที่อีกคนอาจบ้วนทิ้งก็ได้ ซึ่งในการทำงานหรือการใช้ชีวิตก็ตามแต่ เราจะพบว่า คำตอบของปัญหาไม่ได้มีแค่คำตอบเดียว ในการประชุมแต่ละครั้งเราอาจจะขอไอเดียจากทุกคน คนละหนึ่งข้อ เพื่อให้ทุกคนมีโอกาสนำเสนอความคิดเห็นได้โดยอิสระ
5. เมตตากันมาก ๆ
คนหลายคนก็ไม่เข้าใจว่าความเมตตาคืออะไร ครูเอ็ดจึงอยากให้เรานึกถึงความเมตตาของพ่อแม่ บางทีพ่อแม่สอนอย่าง ลูกทำอีกอย่าง หรือพ่อแม่ลำบากตรากตรำ ลูกกลับมองไม่เห็น แต่พ่อแม่ก็ไม่ว่าอะไร ความเมตตาแท้จริงแล้วเป็นแบบนั้น เราอาจจะไม่เมตตาเพื่อนร่วมงานเท่ากับที่พ่อแม่เมตตาลูก แต่ก็ให้เมตตาเขาให้มากที่สุด บางครั้งแผนงานหรือโครงการที่เพื่อนเสนอมาอาจดูอ่อนด้อย ไร้เดียงสา หรือเขาอาจมีกิริยาอาการที่เราบอกตัวเองว่าฉันเลิกทำตั้งแต่ห้าขวบ แต่ก็ขอให้เราเมตตาเขามาก ๆ ไม่ถือโทษโกรธเคืองและให้อภัยเขา
6. ให้กำลังใจกันเยอะ ๆ
คนไทยส่วนใหญ่เป็นพวก “รักนะแต่ไม่แสดงออก” เวลาใครเสนอไอเดียในห้องประชุม ทั้ง ๆ ที่เป็นไอเดียที่ดีมาก แต่คนฟังกลับไม่ยิ้ม ไม่พยักหน้า ไม่สบตา ปล่อยให้คนพูดเก้อเขินหรืองงว่าฉันทำอะไรผิดไปหรือเปล่า ขืนโดนอย่างนี้บ่อย ๆ เขาก็จะไม่กล้าคิด ไม่กล้าพูด ไม่กล้าทำ เพื่อไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น ต่อไปไม่ว่าใครเสนอไอเดียอะไรมา ขอให้เราพูดคำว่า “ดีมากเลย” ซึ่งไม่ได้หมายความว่าไอเดียของเขาเจ๋งมาก แต่คือการให้กำลังใจเขาว่า “ดีเหลือเกินที่เขาพูดมันออกมา…ขอบคุณนะที่บอกให้พวกเราฟัง”
7. แคร์กันมาก ๆ
เพื่ออธิบายถึงความสำคัญของการแคร์กัน ครูเอ็ดได้เล่านิทานเรื่อง “คำถามพระราชา” ให้ฟังว่ากาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีพระราชาองค์หนึ่ง พระองค์ทรงมีปุจฉาอยู่สามข้อซึ่งหาคนตอบโดนพระทัยไม่ได้สักที อำมาตย์จึงทูลว่า “มีฤๅษีบำเพ็ญตบะอยู่บนยอดเขารูปหนึ่งน่าจะตอบได้” พระราชาจึงเสด็จไปหา พอไปถึงก็ทอดพระเนตรเห็นฤๅษีนั่งหลับตาอยู่ พระราชาตรัสว่า “เรามีคำถามสามข้อ พระฤๅษีช่วยตอบหน่อย หนึ่ง เวลาใดสำคัญที่สุด สองบุคคลใดสำคัญที่สุด และสาม สิ่งสำคัญที่สุดที่มนุษย์ควรทำให้กันและกันคืออะไร” ตรัสจบ ฤๅษีก็ยังไม่ยอมขยับตัว พระราชาทรงถามซ้ำเป็นครั้งที่สอง ครั้งที่สาม กระทั่งตรัสว่าจะถามเป็นครั้งสุดท้าย ถ้ายังไม่ยอมตอบจะลงโทษ ฤๅษีก็ลืมตาขึ้น ลุกขึ้นยืนคู่กับพระราชา
วันนั้นพระราชาทรงสะพายดาบไปด้วย ฤๅษีก็ดึงดาบออกจากฝักแล้วจ่อไปที่พระศอของพระราชา ด้านหลังพระราชาเป็นหุบเหว ฤๅษีถามว่า
“พระราชาช่วยตอบเราหน่อย เวลาใดสำคัญที่สุด”
พระราชาตอบว่า “เวลานี้”
“ดีมาก บุคคลใดสำคัญที่สุด”
พระราชาตอบว่า “บุคคลที่อยู่ตรงหน้า”
“แล้วสิ่งสำคัญที่มนุษย์ควรทำให้กันและกันคืออะไร”
พระราชาบอกว่า “น่าจะใส่ใจกัน เอื้อเฟื้อเกื้อกูลกัน และไม่ทำร้ายกัน”
พอพระราชาตรัสจบ ฤๅษีก็คืนดาบแล้วกลับมานั่งหลับตาเช่นเดิม…นิทานจบลงเพียงเท่านี้
ทุกวันนี้เมื่ออยู่ที่ออฟฟิศ เรามักห่วงที่บ้าน เมื่ออยู่ที่บ้าน เรามักห่วงที่ทำงาน โดยเฉพาะเมื่อมีเทคโนโลยีการสื่อสารที่ก้าวหน้า เราคุยโทรศัพท์เกือบตลอดเวลา เราแชตผ่านอินเทอร์เน็ต เราแคร์คนได้ทั้งโลกยกเว้นคนที่อยู่ตรงหน้า ทั้งที่ความจริงแล้วเมื่ออยู่กับใคร เราก็ควรใส่ใจคนคนนั้นให้มากที่สุด เพราะถ้าเราแคร์กันมากพอ ความขัดแย้งจะลดลงทันที
8. ฟังคนอื่นให้จบ
ครั้งหนึ่ง ดอกเตอร์เอ็ดเวิร์ด เดอ โบโน ปรมาจารย์ด้านความคิดสร้างสรรค์เดินทางมาที่เมืองไทย ผู้สื่อข่าวถามว่า “คุณสอนเรื่องการคิด (Thinking) นี่ไม่ตลกหรือ เพราะคนเราคิดตลอดเวลาอยู่แล้ว” ดอกเตอร์เดอ โบโน ตอบว่า “We don’t think, we just react.” (เราไม่ได้คิด จริง ๆ เราแค่โต้ตอบไปอย่างนั้น)
ข้อสุดท้ายนี้มีไว้เพื่อเตือนใจคนที่เพียงแค่ได้ยิน “ชื่อ” ของคนที่ไม่ชอบ หรือได้ยิน “หัวข้อ” ที่ตนรังเกียจก็จะปฏิเสธไม่รับฟังทันที การสนองตอบเช่นนี้สามารถทำลายบรรยากาศดี ๆ ได้ในพริบตา คนกลุ่มนี้จึงควรต้องบอกตัวเองให้ฟังคนอื่นพูดให้จบก่อน แม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความอดทนสูงมาก แต่ก็คุ้มค่าที่จะฝึกฝน เพราะเมื่อเราฟังคนอื่น คนอื่นก็จะฟังเราเช่นกัน
กติกาทั้ง 8 ข้อนี้เป็นเหมือนหลักยึดเหนี่ยวให้เราได้เตือนตัวเองว่า ต่อไปนี้เราจะทำงานและใช้เวลาร่วมกับใครก็ตาม “อย่างสร้างสรรค์” เพื่อทั้งเราและคนรอบข้างจะได้เติบโตไปด้วยกัน หากนำกฎเหล่านี้ไปใช้ในที่ทำงาน เราก็จะมีออฟฟิศที่เต็มไปด้วยบรรยากาศอันอบอุ่น และเมื่อมีปัญหา ทุกคนก็จะได้ร่วมกันแก้ไขและปรึกษากันอย่างสร้างสรรค์เพื่อให้ได้คำตอบที่ดีที่สุด และหากนำไปประยุกต์ใช้ในครอบครัว…บ้านก็จะกลายเป็นสรวงสวรรค์
ที่มา นิตยสาร Secret
เรื่อง โอโตริ