กชพรรณ วิรุฬห์รักษ์สกุล จากแม่ค้าเร่สู้ชีวิต สู่เศรษฐีร้อยล้าน
วันนี้ซีเคร็ตขอนำเสนอเรื่องราวของคุณชมพู่ - กชพรรณ วิรุฬห์รักษ์สกุล แม่ค้าสาวสู้ชีวิตที่ประสบความสำเร็จจนกลายเป็นเศรษฐีร้อยล้าน เรื่องราวชีวิตของเธอสามารถสร้างกำลังใจดีๆ ให้แก่ผู้ที่กำลังสร้างเนื้อสร้างตัวหรือกำลังท้อแท้ในชีวิตได้อย่างไรมาติดตามไปพร้อมกันเลยค่ะ
ครอบครัวและชีวิตในวัยเด็กเป็นอย่างไรคะ
พู่เกิดที่จังหวัดระนอง และมาโตที่กรุงเทพฯ มีพี่น้องสามคน พ่อแม่ของพู่เป็นคนหาเช้ากินค่ำ ทำงานรับจ้างและค้าขายพู่เป็นคนสุดท้องที่ต้องทำงานหนักกว่าคนอื่นเพราะต้องช่วยแม่ทำงาน ตั้งแต่จำความได้ครอบครัวเราก็เช่าบ้านอยู่มาตลอด อย่างที่บอกว่าแม่มีอาชีพค้าขาย ส่วนใหญ่จะขายพวกของกิน เช่น ก๋วยเตี๋ยว หมูสะเต๊ะ ไก่สด โดยเปลี่ยนของขายและเปลี่ยนที่ขายไปเรื่อยๆ คือพอที่เดิมขายไม่ดี แม่ก็เปลี่ยนที่ ทำให้เรามีชีวิตระหกระเหินเพราะต้องหาบ้านเช่าใหม่ไปเรื่อย ๆ จำได้ว่าเรามามีบ้านอยู่เป็นหลักแหล่งตอนที่พู่โตมากๆ แล้วแต่ตอนนี้บ้านหลังนั้นก็ถูกยึดไปแล้ว
ตอนเป็นเด็กพู่อยากเรียนหนังสือมากแม้ที่บ้านไม่ให้เรียนเพราะไม่มีเงิน แต่เราไม่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ เลยแอบหนีไปเรียนอยู่บ่อย ๆ พอแม่รู้ก็ต้องหยุดเรียนเป็นพัก ๆจนกระทั่งโตก็พยายามไปลงเรียนที่รามคำแหงแต่ก็เรียนไม่จบ เพราะเราไม่ถนัดระบบการเรียนแบบนั้น แต่ก็ไม่ละความพยายาม ที่ไหนเปิดรับก็ไปสมัครเรียนอีก โดยลองกู้เงินเรียนดู พอทางบ้านรู้จึงยื่นข้อเสนอว่าจะให้น้าสาวที่เขาพอมีรายได้ส่งเรียน แต่ต้องเรียนให้จบภายใน 4 ปี จะเกินกว่านี้ไม่ได้เพราะเขาจะไม่ส่งเราแล้ว ซึ่งพู่ก็ตั้งใจเรียนจนจบตามกำหนด โดยได้ปริญญาตรีด้านการตลาดจากมหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ระหว่างเรียนหนังสือก็หางานพาร์ตไทม์ทำไปด้วยเพื่อหารายได้พิเศษเล็กๆ น้อยๆ เช่น รับจ้างสระผมและซักผ้าขนหนูที่ร้านทำผมแถว ๆ หอพักหรือใครใช้ให้ทำอะไรแล้วให้ค่าจ้างร้อยสองร้อยก็ทำให้หมดทุกอย่างโดยไม่เกี่ยงงาน
เริ่มชีวิตแม่ค้าตอนไหนคะ
หลังเรียนจบมหาวิทยาลัยได้สักปีสองปี ตอนนั้นย้ายเข้าไปอยู่กับแฟนที่บ้านเขาซึ่งมีฐานะดี ผู้ใหญ่ของแฟนมองว่าเราไม่เหมาะสมกัน ทำให้พู่รู้สึกว่าต้องลุกขึ้นมาทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง จะอยู่อย่างนี้ให้คนมาดูถูกไม่ได้ จึงบอกแฟนว่าจะหาของมาขาย ก่อนหน้าที่จะไปขายของ ผู้ใหญ่บอกให้ไปหางานออฟฟิศที่เป็นงานประจำทำ คือเขาอยากให้เราแต่งตัวดี ๆ ออกไปทำงานทุกวัน พู่ก็ตามใจเขา ไปสมัครงานเป็นพนักงานธนาคาร ทำอยู่ได้ประมาณเดือนครึ่งก็ลาออกเพราะรู้สึกอึดอัด มันไม่ใช่เรา พู่ไม่ชอบงานแบบนี้
หลังจากลาออกก็ไปซื้อพวกกิฟต์ช็อป กิ๊บติดผม ต่างหู มาวางขายหน้าบ้านแฟนเพราะบ้านเขาเป็นร้านขายของอยู่แล้ว และพอดีช่วงนั้นยาดมพม่ากำลังฮิต ก็ไปรับมาขายตอนแรกเอามาตั้งไว้หน้าร้านขายไม่ค่อยได้พอดีเลยจากบ้านเราไปหน่อยมีสะพานลอยจึงยกตะกร้ายาดมขึ้นไปลองขายบนสะพานลอยและข้าง ๆ เราก็มีคนมายืนขายพวกกิฟต์ช็อปพวงกุญแจ เราก็ไปยืนร้องขายของกับเขาตอนนั้นก็ได้เงินมาหลายร้อย ดีใจมาก
คลิกเลข 2 ด้านล่าง เพื่ออ่านหน้าถัดไป
อายไหมที่ต้องไปยืนขายของแบบนั้น
บอกตามตรงค่ะว่าอาย แล้วก็โดนคนดูถูกว่าจบตั้งปริญญาตรีแต่มายืนขายของบนสะพานลอย ความจริงตอนเด็ก ๆ ก็เคยอายว่าทำไมแม่เราเป็นแม่ค้า ในขณะที่พ่อแม่คนอื่นเขาเป็นครูเป็นหมอ ทำอาชีพดูดีมีเกียรติ แต่จากจุดเริ่มต้นบนสะพานลอยในวันนั้นเอง ทำให้เราก้าวผ่านความอายมาได้และเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้รู้ว่า ทุกพื้นที่บนโลกใบนี้สามารถทำเงินได้ และไม่ว่าเราจะจบอะไรมา ก็ควรทำในสิ่งที่รักและถนัด
ความฝันตอนนั้นขอแค่เพียงทำอะไรก็ได้ให้มีเงินพอใช้ในแต่ละวันแต่ละเดือน พู่เป็นคนที่อยากทำอะไรก็ทำ ไม่อยากทำก็จะไม่ทำ และถ้าตัดสินใจลงมือทำแล้ว สิ่งนั้นต้องดีที่สุด ทำเต็มที่เสมอ แต่ไม่ได้คาดหวังว่าฉันจะต้องมีรถมีบ้าน เพราะพอเราทำไปถึงจุดจุดหนึ่ง ก็เริ่มมองเห็นเป้าหมายของตัวเองว่า จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่เรื่องสิ่งของรถ หรือบ้าน แต่มันคือการได้ดูแลคนในครอบครัวให้อยู่ดีกินดีขึ้น
แล้วจุดเปลี่ยนของชีวิตเริ่มขึ้นตอนไหนคะ
จากขายยาดมพม่า ก็เริ่มเก็บเล็กผสมน้อยจนมีทุนจากหลักพันเป็นหลักหมื่นแล้วเอากำไรตรงนั้นมาต่อยอดขยับไปขายของอื่น ๆ ที่ทำกำไรมากขึ้น จำนวนมากขึ้น เช่น เครื่องสำอาง ครีมบำรุงผิว และไปรับของมือสองจากโรงเกลือมาขาย โดยเอาไปเร่ขายตามตลาดนัดด้วย ตอนนั้นพู่เป็นแม่ค้าเร่เต็มตัว แฟนตัดสินใจออกจากบ้านมาเช่าอพาร์ตเมนต์อยู่ด้วยกัน เพราะต้องการพิสูจน์ว่าเราก็ทำมาหากินได้
ชีวิตตอนนั้นเรียกว่าลำบาก ต้องประหยัดและอดทนมาก อย่างเวลากินข้าวและจะสั่งโค้กกินด้วยก็ยังไม่มีเงินซื้อ ตอนนั้นถูกดูถูกมาก บางคนก็บอกให้เราไปตายเสีย เราไม่มีวันทำได้หรอก คำพูดเหล่านี้มันบั่นทอนจิตใจก็จริงนะ แต่พู่ก็ไม่ยอมแพ้ สู้อดทนทุกอย่างมาจนกระทั่งเจอธุรกิจที่เปลี่ยนชีวิตเราไปเลยนั่นคือธุรกิจขายคอนแท็คท์เลนส์ ตอนนั้นคอนแท็คท์เลนส์เพิ่งเข้ามาในเมืองไทยและกำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก บวกกับเราเป็นคนพูดจาฉะฉานแนะนำเก่ง หน้าตาพอดูได้ ใส่คอนแท็คท์เลนส์ออกมาแล้วสวยคนเลยซื้อตาม และได้ลูกค้าประจำหลายรายทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด และจากคนที่เคยซื้อ ก็เริ่มอยากรับของเราไปขายทำให้ธุรกิจขายปลีกขยายมาเป็นผู้ขายส่งรายใหญ่
ต่อมาจึงตัดสินใจนำเข้าเองด้วย โดยซื้อผ่านเอเย่นต์ที่เป็นคนเกาหลี ซึ่งก็มาเจออุปสรรคที่ทำให้อยากจะล้มเลิกทำธุรกิจไปเลย ก็คือเอเย่นต์คนนี้แทนที่จะส่งของให้เราแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย เขากลับโลภ เอาสินค้าไปขายให้ลูกค้าคนไทยรายอื่น และขายในราคาที่ถูกกว่าที่ให้เรา ตอนนั้นพู่ก็กลุ้มใจมาก ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาทำแบบนี้ เพราะเราก็มียอดให้ทุกเดือนตามสัญญาอยู่แล้ว ปัญหาที่เกิดขึ้นคือของในสต๊อกของเราขายไม่ได้ ตอนนั้นเครียดมากนอนไม่หลับ ท้อแท้ ไม่อยากจะทำอะไรเลยทำให้ธุรกิจหยุดชะงักไปหลายเดือน แล้วแก้ปัญหาอย่างไรคะ
ในที่สุดพู่ตัดสินใจที่จะลงทุนใหม่กับแบรนด์เดิมด้วยเงินที่เหลืออยู่ไม่มาก โดยบินไปคุยกับโรงงานที่เกาหลีโดยตรงว่าเราตั้งใจที่จะทำให้แบรนด์นี้ติดตลาดจริงๆ ซึ่งก็โชคดีที่โรงงานเชื่อใจ เลือกเราเป็นคู่ค้า และพู่ก็ทำให้แบรนด์นี้ติดตลาดในไทยภายในเวลาสามเดือน มีลูกค้ามารับสินค้าไปขายหลายพันรายกระจายไปทั่วประเทศ
คลิกเลข 3 ด้านล่าง เพื่ออ่านหน้าถัดไป
หลังจากตั้งตัวได้ สิ่งแรกที่ทำคืออะไรคะ
ตอบแทนพระคุณผู้มีพระคุณก่อนสิ่งอื่นใด โดยไปรับพ่อกับแม่มาอยู่ด้วยตอนนั้นพ่อกำลังลำบาก ต้องขับสองแถวหาเลี้ยงชีพ พู่ก็ให้เขาเลิกขับและซื้อรถให้จากนั้นก็ดึงญาติพี่น้องมาช่วยทำงานให้มีรายได้ เพราะยังมีคนในครอบครัวอีกหลายคนที่เดือดร้อน แม้กระทั่งทุกวันนี้ก็ไม่ได้จ้างคนอื่นมาทำงาน จึงเป็นเหมือนธุรกิจในครอบครัว พู่ดีใจที่สามารถทำให้ญาติพี่น้องมีชีวิตที่สุขสบายขึ้นได้ ส่วนเราพอมีเงินแล้วก็ทำตัวเหมือนเดิม ไม่เคยคิดว่าฉันจะชูคอเพราะฉันรวยแล้ว
ความสำเร็จที่ได้เป็นการพิสูจน์ตัวเองมากกว่า ทำให้ทุกคนที่เคยดูถูกเห็นว่าวันนี้ฉันทำได้ ฉันลบคำสบประมาทได้แล้ว ส่วนความรวยมันก็เป็นแค่ตัวเลขที่เพิ่มขึ้นในสมุด
บัญชีธนาคารเท่านั้น พู่ไม่ได้ใช้เงินแบบว่าฉันรวยแล้ว ฉันต้องซื้อทุกอย่างที่อยากได้ทุกวันนี้ก็ยังใช้เงินต่อยอดธุรกิจอื่นเรื่อย ๆอย่างเช่น เอาไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพื่อกระจายความเสี่ยง ดีกว่าการมีรายได้แค่ทางเดียว
การที่ธุรกิจขยายเติบโตไปได้อย่างทุกวันนี้ ไม่ทราบว่ามีวิธีบริหารจัดการอย่างไร
พู่อาศัยการที่เป็นแม่ค้ามาตั้งแต่เด็กของเรานี่แหละ ระบบของพู่คือต้องไม่ซับซ้อนทำระบบจัดการทุกอย่างให้ง่ายที่สุด อีกอย่างลูกค้าจริง ๆ ของพู่มีไม่มาก เพราะเน้นการขายผ่านตัวแทนจำหน่าย ไม่รับลูกค้าที่มาซื้อโดยตรง เพราะเราไม่สามารถดูแลทุกคนได้ทั่วถึง
ส่วนเทคนิคการดูแลลูกค้าให้เขาอยู่กับเรานาน ๆ คือ ความจริงใจ อย่างช่วงน้ำท่วมใหญ่ที่ผ่านมา จริง ๆ ตอนนั้นท้อมากจนอยากเลิกทำ ชีวิตแย่มาก เพราะช่วงนั้นไม่มีรายได้เข้ามา ซึ่งพู่เชื่อว่าทุกคนก็คงตกอยู่ในสภาพเดียวกัน เพราะสภาพเศรษฐกิจชะลอตัว ทุกอย่างหยุดชะงัก ของค้างสต๊อกขายไม่ได้เลยสองสามเดือนติด ๆ กัน พู่เครียดมาก เพราะภาระทางครอบครัวเราก็เยอะ ไหนจะญาติที่เราต้องดูแลอีกหลายสิบชีวิต แต่โชคยังดีว่าตอนนั้นยังพอมีเงินทุนสำรอง ซึ่งพอหันมาดูตัวแทนจำหน่ายเขาไม่มีเงินทุนหมุนเวียนเลย ซื้อของไปขายก็ไม่ได้เขาท้อกว่า ลูกค้าแย่กว่า ดังนั้นจากที่เราคิดว่าเราแย่แล้ว แต่กลับมีคนแย่กว่าเราเราต้องเข้มแข็ง เลยให้กำลังใจบอกเขาไปว่าเดี๋ยวมันก็ผ่านไป จำได้ว่าตอนนั้นเราก็ช่วยลูกค้าที่สนิทๆ กันผ่อนบ้านผ่อนรถ จนตัวพู่เองก็จะแย่เหมือนกัน สุดท้ายพอเหตุการณ์น้ำท่วมผ่านไป ทุกคนก็ได้เห็นความจริงใจของกันและกัน
เมื่อก่อนคุณพู่ลำบากมามากอยากทราบความรู้สึกเมื่อได้จับเงินล้านแรก
เคยคิดว่าถ้าฉันมีเงินล้านแล้วจะหยุด ชีวิตนี้ฉันพอใจแล้ว แค่นี้ก็มีความสุขมากแล้ว จะกลับไปใช้ชีวิตอยู่ต่างจังหวัด นี่คือความคิดของเด็กบ้านนอกที่ไม่เคยจับเงินแสนเงินล้าน ตอนนั้นคิดว่าล้านหนึ่งนี่คงเยอะมากแต่พอได้เงินล้านมาจริง ๆ มันไม่ใช่อย่างนั้นเพราะชีวิตต้องเดินหน้าต่อ ก็อยากให้เงินเพิ่มขึ้น จากหนึ่งล้านเป็นสิบล้าน จากสิบล้านเป็นร้อยล้าน การอยากมีอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่าเราโลภ แต่คือพยายามหาให้ได้มากที่สุดตราบใดที่เรายังทำได้อยู่
พู่ไม่ได้เอาเงินล้านมาเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิต ไม่คิดจะอยากได้อย่างเดียว เพราะจะทำให้เราไม่มีความสุข ทุกวันนี้พู่พร้อมให้และพร้อมช่วยเหลือคนอื่น โดยตั้งเป้าไว้ว่าช่วยเขาเราต้องไม่เดือดร้อน เช่น การให้ทุนการศึกษาเด็กนักเรียนที่เรียนดีแต่ไม่มีทุนบางทีก็เป็นการให้ที่ไม่ใช่เงินทอง แต่เป็นการให้ด้วยใจ คือให้เป็นข้อความหรือบทความดี ๆ บางทีก็ให้เป็นความรู้ที่เขาสามารถเอาไปต่อยอดหรือทำเงินได้
เคยเหนื่อยหรือท้อบ้างไหมคะแล้วมีวิธีให้กำลังใจตัวเองอย่างไร
ทุกวันนี้ก็รู้สึกเหนื่อยและท้อมาก แต่พอมองภาระและคนที่เราต้องดูแลแบกรับไว้ความเหนื่อยและท้อก็จะน้อยลง ในช่วงแรกหลาย ๆ คนที่ยังไม่มีเงิน อาจคิดว่าเราหาเงินเพื่อตัวเอง แต่วันหนึ่งที่เรามีฐานะมั่นคงแล้วก็อยากจะเผื่อแผ่ไปยังคนอื่น ๆ ที่ลำบากกว่าพู่เคยคิดเหมือนกันว่า วันนี้ถ้าพู่หยุดทำงานโอเค ลำพังตัวพู่สบาย มีความสุขแล้ว แต่คนรอบข้างล่ะอยู่ยังไง ธุรกิจวันนี้มันถอยหลังไม่ได้แล้ว ต้องเดินหน้าต่ออย่างเดียว และเรามีหน้าที่คิดว่าจะเดินไปอย่างไรโดยไม่ประมาทและมั่นคง ถึงแม้ธุรกิจทุกวันนี้จะเหนื่อยและหนัก แต่ก็ยังดีกว่าชีวิตที่ต้องกลับไปลำบากอีก
ส่วนวิธีให้กำลังใจตัวเอง พู่โชคดีที่เป็นคนชอบมองอะไรด้านบวก เพราะฉะนั้นเวลาเจอปัญหาหรือมีความทุกข์ ถ้าเราคิดบวกทุกข์นั้นจะน้อยลง และช่วยให้เรามีวิธีรับมือหรือจัดการกับปัญหานั้นได้ง่ายขึ้น หลาย ๆคนเวลาเจอปัญหาอาจช็อกหรือตกใจ แต่สำหรับพู่จะค่อย ๆ ใช้สติมองว่าปัญหาคืออะไร ทางออกคืออะไร แล้วค่อย ๆ แก้ไปทีละสเต็ป จากที่เคยทุกข์นานก็จะทุกข์น้อยลงเราจะแก้ปัญหาได้ถูกจุด ชีวิตมันต้องเดินหน้าต่อ ถ้ามัวแต่นอนจมอยู่กับปัญหา มันก็ไม่มีอะไรก้าวหน้า
คลิกเลข 4 ด้านล่าง เพื่ออ่านหน้าถัดไป
คิดว่าอะไรคือเคล็ดลับความสำเร็จของเราคะ
ตอนนี้พู่อายุ 32 ปี คงเพราะเราเริ่มต้นทำอะไรเร็วกว่าคนอื่น คือเริ่มมาตั้งแต่เมื่อสิบปีที่แล้วในขณะที่อายุยังน้อย และการเริ่มต้นเร็วกว่าคนอื่น แม้จะล้มไปบ้างก็จะมีเวลาให้พู่ลุกขึ้นสู้ได้อีกหลาย ๆ ครั้ง ในขณะที่คนอื่นอาจยังกลัว ไม่กล้าเผชิญกับความผิดหวังหรือความล้มเหลว แต่พู่ไม่กลัวคือถ้าล้มเหลวก็ช่างมัน ค่อยเริ่มต้นใหม่ผิดหวังก็หวังใหม่
จากวันที่พู่ขายของบนสะพานลอยจนถึงวันนี้ ก็ล้มและลุกใหม่ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้วดังนั้นเคล็ดลับความสำเร็จของพู่จึงอยู่ที่การเริ่มต้นใหม่ให้เร็ว แม้จะล้มจะเจ็บก็ไม่เป็นไรเพราะทุกครั้งที่เราลุก เราจะแข็งแรงกว่าเดิมที่สำคัญคือ ต้องคิดบวก ใช้ทัศนคติด้านบวกเป็นแรงจูงใจ สิ่งดี ๆ ก็จะตามมา
การทำธุรกิจมีความเสี่ยงอยู่ตลอดเวลาเมื่อก่อนเวลาล้ม พู่จะหยุดก่อนเพื่อตั้งสติแล้วดูว่ามันเกิดจากข้อผิดพลาดอะไร แล้วก็เริ่มต้นใหม่ให้ดีกว่าเดิม
ที่สำคัญที่สุดคือใจ ต่อให้เราล้มร้อยครั้ง แต่เราสู้ทั้งร้อยครั้ง มันต้องมีสักครั้งที่สำเร็จ คนส่วนมากที่ล้มไม่ได้ล้มมาจากภายนอก แต่ล้มมาจากภายในจิตใจ พอภายในล้มปุ๊บ ก็ไม่มีแรงต่อสู้กับภายนอกเลยทำให้ชีวิตยิ่งแย่ลงไปอีก พู่ว่าคุณจะล้มแบบไหนให้คุณล้มไปเลย แต่ใจคุณอย่าล้มเท่านั้นเป็นพอ
การที่คิดได้อย่างนี้ได้มาจากการค่อย ๆสั่งสมประสบการณ์และมีบทเรียนที่สอนเราไปเรื่อย ๆ ว่าเจออุปสรรคแบบนี้ต้องรับมือแบบไหน ให้เราเผชิญหน้ากับปัญหาบ่อย ๆ แล้วจะเป็นคนที่แก้ปัญหาเก่ง เหมือนที่พู่เชื่อว่าเราทุกคนไม่มีใครหรอกที่ร้องไห้ได้ทุกวันแล้วก็ไม่มีใครที่หัวเราะได้ทุกวัน แต่เมื่อเราพลาดแล้ว จะทำอย่างไรให้จากที่เคยร้องไห้ 3 ชั่วโมง ให้เหลือร้องแค่ 10 นาที ตรงนี้เราต้องฝึกฝนเอาประสบการณ์ความผิดพลาดแต่ละครั้งมาคิดไตร่ตรอง แยกแยะ หาทางว่าเราจะเดินหน้าต่อไปอย่างไร พู่เชื่อว่าทุกปัญหามีทางออก เมื่อได้ฝึกแก้ปัญหาบ่อย ๆทุกคนจะค่อย ๆ เก่งขึ้นเอง
ความสุขของคุณพู่คืออะไรคะ
คือการที่ได้ดูแลคนในครอบครัวจากเงินที่หามาโดยสุจริต ด้วยการใช้ความสามารถที่มีโดยไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน เมื่อก่อนไม่มีเงิน ลำบากมามาก เวลาจะกินอะไรก็ต้องคำนวณให้พอดีกับเงินในมือ จะซื้อของก็ต้องคอยดู กลัวเงินจะไม่พอ มันรู้สึกทุกข์ แต่วันนี้พู่มีทุกอย่าง ตอนนี้อยากกินอะไรก็ได้กิน อยากดูแลใครก็ทำได้ อยากตอบแทนพระคุณใครเราได้ตอบแทน นี่คือความสุขที่สุดแล้ว พู่อยากบอกคนที่ชอบคิดว่าครอบครัวตัวเองไม่สมบูรณ์ ให้ดูพู่เป็นตัวอย่าง เพราะพู่ก็เกิดมาในครอบครัวที่ไม่ได้ดีพร้อม แต่พู่มั่นใจว่าตัวเองไม่ได้มีปมด้อยและไม่ได้ขาดหากจะถามว่าเป็นแบบนี้เพราะใคร พู่ซึมซับและเก็บเกี่ยวมาจากแม่ ดึงส่วนดี ๆ ที่แม่มีมาใช้กับตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นความเก่ง ความขยัน
พู่ไม่เคยเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับใคร เพราะมันคือความทุกข์ ถ้าเราอยู่ในแบบของเรา ไม่เว่อร์ อยู่แบบประมาณตน ความสุขก็จะเกิดขึ้นได้จากความพอเพียงทุกวันนี้พู่อยู่ง่าย กินง่าย ไม่ติดหรู หลายคนถามว่า รวยจริงหรือเปล่า ทำไมขับรถกระบะล่ะ ทำไมขับรถเก๋งธรรมดาล่ะ ทำไมไม่ขับรถซูเปอร์คาร์หรือรถสปอร์ตแพง ๆ พู่อยากบอกว่า ถ้าคุณจะวัดความรวยด้วยของนอกกายเหล่านั้นแล้วละก็ พู่ขอเป็นคนธรรมดาที่มีความสุขที่สุดดีกว่า พู่จะเลือกทำในสิ่งที่พู่พอใจ มากกว่าสิ่งที่คนอื่นพยายามยัดเยียดให้ เพราะของนอกกายตายไปก็เอาไปไม่ได้ มีแต่ความดีเท่านั้นที่ติดตัวเราไปได้
หากเราจะบอกว่า เธอเป็นตัวอย่างของการ “ทำดีได้ดี” ก็คงไม่ผิดนัก ซึ่ง ซีเคร็ตเชื่อเหลือเกินว่า เรื่องราวของเธอสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับใครอีกหลาย ๆ คนที่กำลังสู้ชีวิตได้อย่างแน่นอน
Secret BOX
ต่อให้เราล้มร้อยครั้ง แต่เราสู้ทั้งร้อยครั้ง ต้องมีสักครั้งที่สำเร็จ ทุกอย่างสำคัญที่ “ใจ”
ชมพู่ – กชพรรณ วิรุฬห์รักษ์สกุล
เรื่อง ธันยาภัทร์ รัตนกุล ภาพ วรวุฒิ วิชาธร ผู้ช่วยช่างภาพ อนุวัฒน์ วรรณศิริ สไตลิสต์ ณัฏฐิตา เกษตระชนม์