การได้ทำในสิ่งที่รักและรักในสิ่งที่ทำ ย่อมนำมาซึ่ง ความสำเร็จ ได้
คุณวรวิทย์ ศิริพากย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทปุริ จำกัด เจ้าของแบรนด์ปัญญ์ปุริ สินค้าไทยที่วางขายไปทั่วโลก ได้เล่าถึงจุดเริ่มต้นของ ความสำเร็จ ในวันนี้ไว้ว่า
“หลังจากเรียนจบ ผมทำงานที่บริษัทที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์และการบริหาร จากนั้นได้ไปทำงานที่นิวยอร์กสหรัฐอเมริกา วันที่มีการก่อวินาศกรรม 11 กันยายน พ.ศ.2544 ผมมีนัดประชุมกับลูกค้าที่ตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ ขณะประชุมได้ยินเสียงดังตูม! ดังมาก มองออกไปนอกหน้าต่างเห็นควันสีขาวตลบอบอวล พร้อม ๆ กับผู้คนวิ่งหนีตายกันจ้าละหวั่น รวมทั้งผมด้วย เหตุการณ์นี้ทำให้คิดได้ว่า ชีวิตคนเราสั้นนัก อยากทำอะไรให้รีบทำ ประกอบกับมหาวิทยาลัยที่อิตาลีตอบรับเรื่องทุนเรียนต่อ มันเหมือนประตูบานหนึ่งปิดลง และประตูอีกบานหนึ่งเปิดออก ผมตัดสินใจลาออกจากงานและไปเรียนปริญญาโทด้านการบริหารสินค้าลักชัวรี่ที่ประเทศอิตาลี
“จริง ๆ แล้วธุรกิจเครื่องหอมส่วนหนึ่งได้ไอเดียมาจากก่อนเรียนจบ ช่วงที่คิดหัวข้อทำวิทยานิพนธ์ก็มานั่งคิดว่าประเทศไทยมีอุตสาหกรรมใดที่เป็นธุรกิจชั้นนำของประเทศได้บ้าง ผมจึงเลือกธุรกิจสปามาวิเคราะห์เพื่อทำวิทยานิพนธ์เพราะประเทศไทยนั้นมีทรัพยากรที่มีความสมบูรณ์โดดเด่นในด้านวัฒนธรรมทางตะวันออกที่มีความหลากหลาย และที่สำคัญคือ คนไทยชอบความสวยความงามและการดูแลผิวพรรณ ดังนั้นธุรกิจสปาจึงตอบโจทย์ที่สุด
“เมื่อกลับเมืองไทยผมมีโอกาสได้ใช้บริการสปาหลายแห่งปรากฏว่าผลิตภัณฑ์ทุกตัวที่ใช้ภายในสปาเป็นผลิตภัณฑ์ของต่างชาติทั้งหมด จึงรู้สึกแปลกใจว่าทำไมผลิตภัณฑ์ของไทยถึงไม่ได้เข้าไปอยู่ในสปาเหล่านั้น คุณภาพของผลิตภัณฑ์ไทยเทียบต่างชาติไม่ได้เลยหรือ แล้วถ้ามีผลิตภัณฑ์ดี ๆ มีคุณภาพอยู่ในหีบห่อสวยงามล่ะจะเป็นอย่างไร เลยจุดประกายการทำธุรกิจขึ้นมา และพอดีผมมีเพื่อนคนหนึ่งเป็นนักเคมีที่มีโรงงานทำผลิตภัณฑ์สปา ธุรกิจจึงเริ่มต้นขึ้น
“ตอนตั้งชื่อแบรนด์ ผมนั่งอ่านหนังสือธรรมะถึง 7 วันเพราะต้องการชื่อที่บ่งบอกถึงตัวตนของแบรนด์ที่มาจากตะวันออก ซึ่งก็นึกถึงภาษาบาลีและสันสกฤตอันเป็นรากฐานของภาษาไทย ในที่สุดก็ลงเอยที่ชื่อปัญญ์ปุริ ซึ่งปัญญะคือการตื่นของจิตใจ ส่วนปุริหมายถึงเมืองศักดิ์สิทธิ์ในประเทศอินเดีย ในภาษาอังกฤษก็ใกล้กับคำว่า purify ปัญญ์ปุริจึงหมายถึงคุณค่าอันบริสุทธิ์และความสมดุลของตัวเรา รวมถึงสิ่งแวดล้อมที่เกิดมาจากภายใน
“เมื่อแรกเริ่มธุรกิจ ทุกอย่างต้องลงมือทำด้วยตัวเองผมและเพื่อนช่วยกันคิดค้นสูตรเครื่องหอม วางแผนการตลาดต่าง ๆ ขับรถส่งของเอง ยืนขายของด้วยตัวเอง เวลานั้นคิดอย่างเดียวว่ามันต้องไปได้ เพราะมีช่องว่างของตลาดชัดเจนมาก
“ส่วนเรื่องอุปสรรค ผมมองว่าเป็นเรื่องปกติของธุรกิจเป็นส่วนสำคัญและส่วนหนึ่งของธุรกิจ รวมถึงการใช้ชีวิตเป็นโจทย์ที่ทำให้เราพยายามใช้ความคิดใหม่ ๆ ในการแก้ไขอุปสรรคเหล่านั้น ปัญหาทุกอย่างมันอยู่ที่สถานการณ์และสิ่งแวดล้อม ถ้าถามว่าปัญหาปัจจุบันเทียบกับปัญหาเมื่อสิบปีก่อนอันไหนใหญ่ - เล็ก เปรียบเหมือนคนในช่วงเวลาต่าง ๆ ถามว่าช่วงไหนสุข - ทุกข์มากน้อยกว่ากัน ก็ตอบยากสุดท้ายสุขอยู่ที่ว่าเราจะมองมุมไหน เหมือนกับปัญหาที่เราจะมองมุมไหนและแก้ยังไง
“สิ่งสำคัญในการทำงาน ผมว่าพระพุทธศาสนาใช้ในการทำงานได้จริง ๆ เป็นตรรกะแบบปรัชญาโลกได้เลย อย่างง่าย ๆ เลยก็คือ การเอาใจเขามาใส่ใจเรา อันนี้เป็นการบริการลูกค้า เรายังอยากได้บริการที่ดี แล้วทำไมเราถึงไม่ทำแบบนั้นกับลูกค้า เรากล้าเอาของที่ไม่ดีไปให้พ่อแม่เราใช้ไหม ถ้าอย่างนั้นทำไมถึงจะกล้าให้ลูกค้าใช้ ถ้าคุณอยากได้รับอย่างไรคุณต้องทำกับเขาอย่างนั้น
“ผมวัดความสำเร็จของการทำงานจากความสุข คือรู้สึกมีความสุขกับสิ่งที่ทำ แล้วก็มีความอยากที่จะทำ อย่างวันนี้คุณตื่นขึ้นมาแล้วรู้สึกว่าอยากไปทำงานมากเหลือเกิน ไม่ว่าจะมีปัญหาขนาดไหนก็ยังเป็นเรื่องสนุกและท้าทายอยู่ ผมว่านี่ละครับคือประสบความสำเร็จในชีวิตการทำงานแล้ว”
เพียงแค่มีความรักและมีความสุขกับงานที่ทำ ก็เป็นนิมิตหมายอันดีแล้วสำหรับความสำเร็จ