ความทรงจำ กลางป่าช้า…
ความทรงจำ ณ กลางป่าช้า ในขณะที่บวช เขายังระลึกถึงที่นั่นอยู่เสมอ ยี่สิบปีต่อมาเขาได้จัดผ้าป่าไปถวายที่วัดนั้น เพื่ออุทิศส่วนกุศล ทุกวันนี้โกดังเก็บศพนั้นยังอยู่ เดี๋ยวนี้ที่วัดมีเมรุเผาศพแล้ว ไม่มีก็แต่เด็กวัดเหมือนสมัยที่เขาบวชอยู่นั่น เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ติดตามอ่านได้เลย
เมื่อก่อนผมเป็นเด็กยากจน ต้องหาเช้ากินค่ำ บ้านต้องเช่า ข้าวต้องซื้อ ก่อนหน้านี้บ้านผมมีอาชีพ ทำไร่ทำสวนอยู่ที่โคราช ถึงไม่ร่ำรวยแต่ก็พอมีกินมีใช้ แต่แล้วโชคชะตาก็เล่นตลกกับเราเหมือนจงใจแกล้ง หรือจะเป็นเพราะกรรมเก่าก็สุดจะเข้าใจ เมื่อคุณปู่ที่อยู่จังหวัดศรีสะเกษเสียชีวิต ทำให้คุณย่าไม่มีคนดูแล พ่อจึงตัดสินใจขายที่ขายบ้านย้ายมาตั้งรกรากที่อำเภอราษีไศล
เราเดินทางออกจากโคราชด้วยรถไฟ โดยที่ไม่รู้เลยว่ารถไฟขบวนนั้นจะเป็นรถไฟสายเปลี่ยนชีวิต พอลงรถไฟที่สถานีอุทุมพรพิสัย แม่ก็นึกขึ้นมาได้ว่าลืมกระเป๋าใบหนึ่งไว้บนรถไฟ ซึ่งในกระเป๋าใบนั้นมีเงินอยู่หลายแสนบาท ถึงแม้จะให้เจ้าหน้าที่รถไฟพยายามติดต่อเพื่อหากระเป๋าให้ แต่ก็ไม่เป็นผล ครอบครัวเราจึงเหลือเงินอยู่แค่ 2 บาทเท่านั้น และนั่นคือจุดเริ่มต้น…!!
หลังเรียนจบชั้นประถมศึกษา เพื่อน ๆ ของผมต่างสมัครเข้าเรียนต่อโรงเรียนมัธยมในอำเภอ คนฐานะดีหน่อยก็ไปเรียนต่อที่โรงเรียนในจังหวัด ในขณะที่ผมเริ่มไม่แน่ใจกับอนาคตตัวเอง พ่อถีบสามล้อรับจ้าง แม่เข็นรถขายขนมไทย แล้วจะเอาเงินที่ไหนไปเรียนต่ออยู่มาวันหนึ่ง ด้วยความอยากเรียน ผมจึงเข้าไปบอกกับพ่อว่า
“ผมอยากเรียนต่อที่โรงเรียนราษีไศล”
ท่านมองผมด้วยตาเศร้า ๆ เหมือนรู้อยู่แล้วว่าวันนี้ต้องมาถึง
“จะเรียนได้ไงล่ะโจเอ้ย พ่อจะเอาเงินที่ไหนส่งมึงเรียน”
ผมทั้งโกรธทั้งน้อยใจ คว้าเอาจักรยานคันเดียวของบ้านไปเล่นเปตองตั้งแต่บ่ายโมงยันตีสอง แล้วผมก็คิดขึ้นมาได้ว่า
“ไหนจะน้องสาวและน้องชายอีก 3 คน แล้วก็อะไรอีกจิปาถะ พ่อจะหาเงินมาจากไหน”
พอรุ่งเช้า ผมจึงตัดสินใจบอกกับแม่ที่กำลังทำขนมเตรียมออกไปขายเหมือนทุกวันว่า
“แม่…ผมจะบวชนะ ผมจะบวชเรียนจะได้ไม่รบกวนทางบ้านและจะไม่สึกด้วย”
พูดเสร็จก็นั่งลงช่วยทำขนมถั่วแปบ ขณะที่น้องสาวผมกำลังทำขนมต้ม
“บวชก็ดี.! ได้บุญ ได้เรียนด้วย แต่มึงแน่ใจเหรอว่าจะบวชตลอดชีวิต”
“ครับ” ผมตอบอย่างไม่ลังเลเหมือนกับว่าการบวชเป็นเรื่องง่าย ๆ
“ช่วงนี้วัดบ้านหนองกินเพลกำลังบวชธรรมทายาทภาคฤดูร้อน เดี๋ยวแม่จะพาไปบวชที่นั่น”
ผมจำได้ว่าวันนั้นเป็นวันที่ 9 เมษายน 2532 ครอบครัวเหมารถพาผมไปสมัครเข้าร่วมโครงการบวชธรรมทายาทที่วัด
บ้านหนองกินเพล อำเภอวารินชำราบจังหวัดอุบลราชธานี แต่กลับได้รับคำตอบจากทางวัดว่า “หมดเขตรับสมัครแล้ว”แม่จึงพยายามขอร้องท่านเจ้าอาวาส
“ลูกชายจะบวชตลอดชีวิต ขอท่านได้โปรดเมตตารับไว้ด้วยเถอะค่ะ”
ระหว่างที่คุยกันนั้นเป็นช่วงที่พระฉันอาหารเช้าเสร็จพอดีญาติโยมอยู่กันเต็มเรือนฉัน อาจจะเพราะเกรงใจชาวบ้านหรืออะไรก็มิอาจทราบได้ ท่านเจ้าอาวาสจึงพูดขึ้นมาว่า
“ในเมื่อตั้งใจมาบวชแล้วก็ยินดี แต่มาไม่ทันตามกำหนดก็ยังบวชพร้อมเขาไม่ได้ ต้องอยู่เป็นเด็กวัดไปก่อนแล้วค่อยบวชทีหลัง โยมจะว่ายังไงล่ะ”
แม่เลยหันมาถามผมว่า “ยังอยากจะบวชอยู่ไหม”
ชั่วโมงนั้นผมไม่มีทางเลือกจึงตอบตกลงไป และผมก็พอรู้ว่าทำไมท่านถึงพาผมมาบวชที่นี่ เพราะการบวชที่วัดนี้ไม่มีค่าใช้จ่ายนั่นเอง
หลังจากครอบครัวกลับไปแล้ว ผมต้องอยู่กับเด็กวัดคนอื่นซึ่งตอนนั้นมี 5 คน เราช่วยกันกวาดลานวัด จากนั้นก็ทำความสะอาดห้องน้ำ ขณะที่ผมกำลังทำความสะอาดอยู่นั่นเอง หลวงพี่องค์หนึ่งเดินผ่านมาพอดีและบอกกับผมว่า
“การทำความสะอาดห้องน้ำช่วยลดทิฐิในใจเรานะ”
ผมไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่ามันหมายถึงอะไร แต่ก็ทำต่อไปหลังทำวัตรเย็นท่านเจ้าอาวาสบอกว่า
“จากนี้ไปจะให้หลวงพี่ฉลวยสิริปาโล คอยอบรมดูแลนะ”
หลังเสร็จสิ้นการบวชธรรมทายาท แต่ละคนก็ลาสิกขากลับไปเรียนต่อ ขณะที่ผมและเด็กวัดคนอื่นยังต้องตื่นขึ้นมาทำกิจวัตรแบบเดิม ๆ เช่น เดินตามพระบิณฑบาต ล้างจาน กวาดลานวัดล้างห้องน้ำ และสารพัดงานที่มีมาให้ทำเรื่อย ๆ หลวงพี่บอกว่า
“การอยู่เฉย ๆ จะทำให้จิตฟุ้งซ่าน คนที่อยู่วัดต้องพูดน้อย กินน้อย นอนน้อย และทำให้มาก ๆ”
พอเสร็จงานก็ต้องฝึกนั่งสมาธิจนถึงเวลาเตรียมอาหารเพล ตกบ่ายก็กลับไปฝึกนั่งสมาธิต่อจนถึง 4 โมงเย็นวนเวียนอยู่อย่างนี้ทุกวัน จนกระทั่งเดือนมิถุนายน ปี 2532 ผมจึงได้บวชเณรพร้อมกับเณรอีกคนหนึ่งที่มาหลังผมเพียง 5 วัน
วัดที่ผมบวชนี้ไม่มีเมรุเผาศพ มีแต่ป่าช้าเก่าด้านหลังวัด ซึ่งใช้เป็นสถานที่ฝึกอบรมธรรมทายาท พอมีคนตาย ชาวบ้านก็จะแบกศพไปไว้ที่โกดังเก็บศพกลางป่าช้า รอทำพิธีฝังหรือเผาต่อไปลักษณะโกดังเก็บศพเป็นบ้านไม้ยกใต้ถุนทรงไทยอีสาน ในป่าช้าปกคลุมไปด้วยต้นไม้หนาสูงจนแสงแดดแทบจะส่องไม่ถึงพื้น ที่นั่นเต็มไปด้วยหลุมศพทั้งเก่าและใหม่ เคยมีเณรทะเลาะกัน หลวงพี่จึงให้ทั้งคู่ไปปักกลดที่หน้าหลุมศพเพื่อเป็นการลงโทษ และบอกว่า
“การพิจารณาอสุภะจะช่วยให้รักกันมากขึ้น”
เมื่อเริ่มมีพระมาจำพรรษาที่วัดมากขึ้น หลวงพี่จึงให้เราย้ายไปพักที่โกดังเก็บศพ วันไหนมีศพก็มานอนที่ศาลา พอทำพิธีศพเสร็จ กลางคืนก็กลับไปนอนที่นั่น
หลังทำวัตรเย็นคืนหนึ่ง หลวงพี่ได้เทศน์อบรมเราจนถึง 3 ทุ่มเราจึงพากันถือตะเกียงเดินเข้าป่าช้าเพื่อไปพักที่โกดังเก็บศพ พอเดินมาถึงต้นตะเคียนใหญ่ก็มีบางสิ่งตกลงมาข้างหน้า ความมืดและเงียบทำเอาเราทั้งคู่ตกใจร้องเสียงหลง เมื่อใช้ตะเกียงส่องดูจึงเห็นว่าเป็นดินปลวกที่ตกมาจากต้นตะเคียน เราจับมือกันวิ่งไปที่โกดังทันทีพอถึงโกดังก็เข้ากลดใครกลดมันและไหว้พระสวดมนต์นอน
ผมตื่นขึ้นมาอีกทีเพราะปวดฉี่ แต่ไม่กล้าลงไปห้องน้ำ เลยฉี่ใส่ขวดน้ำและนอนต่อ แต่ยังไม่ทันจะหลับก็ได้ยินเสียงเคาะหน้าต่างข้าง ๆ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นชาวบ้านที่มาหาตุ๊กแกไปขายแกล้งเล่น จึงทำเป็นไม่สนใจ แต่เสียงเคาะก็แรงขึ้น ๆ แล้วเงียบไป ได้ยินเสียงเหมือนคนเดินอยู่บนหลังคา ผมเริ่มกลัวขึ้นมาและคิดในใจว่า
“คนที่ไหนจะขึ้นไปอยู่บนหลังคาได้เร็วขนาดนั้น ยิ่งกลางคืนอย่างนี้ ยิ่งไม่น่าจะเป็นไปได้”
แล้วเสียงเดินก็เงียบไป มีแต่เสียงกิ่งไม้ไผ่เสียดสีกับหลังคา ผมนอนตัวสั่นจนเหงื่อชุ่มผ้าห่ม ได้ยินเสียงเดินลากเท้า ฉาบ…ฉาบ…! อยู่หน้าประตูห้องนอน และมีเสียงเคาะประตูอย่างแรงเหมือนกับจะพังเข้ามา แล้วจู่ ๆ หน้าต่างทุกบานก็ดังปึงปัง ๆ…!!
“เป็นไปได้ไง หน้าต่างสูงจากพื้นตั้ง 2 เมตรกว่า คนที่ไหนจะมาเคาะได้”
ตอนนี้ผมมั่นใจแล้วว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่ฝีมือชาวบ้านแน่ ๆ แต่เป็นผี เณรอีกคนวิ่งมาหาผม เรานอนเบียดกันตัวสั่น
“ได้ยินเหมือนกันไหม” ผมถาม
“ได้ยินสิ” เพื่อนเณรตอบ
สักครู่ก็มีเสียงระฆังทำวัตรเช้าดังมาจากวัด เสียงนั่นจึงเงียบไปแต่เราทั้งคู่ก็ไม่กล้าออกไป ได้แต่รอจนถึงเวลาหกโมงเช้าจึงออกไปและเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้พระที่วัดฟัง หลังฉันอาหารเช้าและให้ศีลให้พรญาติโยมเสร็จเรียบร้อย หลวงพี่จึงเล่าให้ฟังว่า
“พระที่นี่เจอกันทุกองค์ละ ที่โกดังนั่นน่ะ หลวงพี่ก็เคยเจอมาแล้ว คืนนี้ให้เด็กวัดไปนอนเป็นเพื่อนแล้วกัน”
แต่หลังจากคืนนั้นมาก็ไม่เคยเจออะไรแปลก ๆ อีกเลย
ทุกวันนี้ผมสึกออกมาแล้ว เพราะมีปัญหาสุขภาพ แต่ยังระลึกถึงที่นั่นอยู่เสมอ ยี่สิบปีต่อมาผมได้จัดผ้าป่าไปถวายที่วัดนั้นเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้พวกเขา ทุกวันนี้โกดังเก็บศพนั้นยังอยู่ เดี๋ยวนี้ที่วัดมีเมรุเผาศพแล้ว ไม่มีก็แต่เด็กวัดเหมือนสมัยที่ผมบวชอยู่นั่น อาจจะเป็นเพราะเด็ก ๆ มีโอกาสทางการศึกษามากขึ้นแล้วก็เป็นได้
ที่มา นิตยสาร Secret
เรื่อง พ.อ.อ.จักราพิชญ์ อัตโน; พยาบาล รพ.กองบิน 21