วินรวีร์ ใหญ่เสมอ

บทเรียนชีวิตลูกผู้ชาย ต๊ะ บอยสเก๊าท์ (วินรวีร์ ใหญ่เสมอ) ตอน 2

บทเรียนชีวิตลูกผู้ชาย ต๊ะ บอยสเก๊าท์ – วินรวีร์ ใหญ่เสมอ (2)

อย่างที่เคยเล่าว่า ช่วงวัยรุ่นผม (ต๊ะ บอยสเก๊าท์ – วินรวีร์ ใหญ่เสมอ) ติดเพื่อนมาก ว่างเมื่อไหร่ก็ไปเที่ยว ไปเฮฮากับเพื่อนจนลืมให้ความสำคัญกับครอบครัวสุดท้ายจึงต้องพบกับความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ที่ติดอยู่ในใจไม่มีวันลืม

การสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่

เหตุการณ์ที่ทำให้ผมใจแตกสลายเกิดขึ้นเมื่อผมอายุ 25 ปี คืนนั้นเป็นคืนวันสิ้นปีผมกำลังเตรียมตัวออกไปเคานต์ดาวน์กับเพื่อน ๆ ตามที่นัดกันไว้ แต่คุณแม่ไม่อยากให้ออกไปเพราะอยากให้ผมอยู่กับครอบครัวบ้าง ท่านขอให้ผมอยู่บ้านสักคืน แต่ไม่ว่าท่านจะพูดอย่างไร ผมก็ไม่ฟัง จนสุดท้ายก็ทะเลาะกัน ท่านโมโหมากจึงพูดขึ้นมาว่า

“แม่จะจับแกบวช”

ตอนนั้นผมดื้อเกินกว่าจะฟังคำของแม่จึงออกจากบ้านมาโดยไม่รู้เลยว่า นั่นคือคำพูดสุดท้ายที่จะได้ยินจากปากท่าน

ขณะที่ผมกำลังปาร์ตี้สนุกสนานอยู่กับเพื่อน ช่วงตีหนึ่งกว่า ๆ ก็ได้รับข้อความทางเพจเจอร์ว่า “แม่ไม่สบาย รีบมาโรงพยาบาลด่วน” ผมอ่านข้อความนั้นแล้วใจหายวาบรีบออกไปโรงพยาบาลทันที จะเป็นไปได้ยังไงแม่เป็นคนแข็งแรงมาก ผมคิดในใจไปตลอดทาง ยิ่งคิดก็ยิ่งใจไม่ดี

เมื่อถึงโรงพยาบาล พ่อมายืนรอรับผมอยู่แล้ว ท่านบอกว่า “ใจเย็น ๆ นะลูก” ผมรีบเดินเข้าไปด้านในและเห็นพี่สาวนั่งร้องไห้โฮสะอึกสะอื้นเหมือนเด็กอยู่หน้าห้อง พอเดินเข้าไปในห้องก็เห็นผ้าคลุมร่างคุณแม่ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า

ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้ผมแทบบ้าผมไม่เคยคิดว่าจะต้องเสียคนที่ผมรักที่สุดในชีวิตไป เวลานั้นผมควบคุมสติไว้ไม่อยู่ ได้แต่ต่อยตัวเอง จิกกระชากผม เอาหัวโขกกำแพง ทำร้ายตัวเองสารพัด จนญาติ ๆ ต้องมาล็อกตัวกันชุลมุน

กว่าจะได้สติและพูดจารู้เรื่องก็เกือบแปดโมงเช้า คุณพ่อเล่าให้ฟังว่า คุณแม่นอนหลับไปแล้ว แต่อยู่ ๆ ก็หายใจไม่ออกคุณพ่อจึงรีบพาส่งโรงพยาบาล แต่คุณแม่ก็หมดสติไปตั้งแต่อยู่ที่บ้าน หมอบอกว่าท่านหัวใจล้มเหลว ยิ่งได้ฟังก็ยิ่งสะเทือนใจไม่มีครั้งไหนที่ผมเสียใจเท่านี้อีกแล้ว

ผมบวชหน้าไฟในงานศพแม่ และบวชต่อไปอีกเป็นเวลา 19 วัน การบวชครั้งนั้นไม่ได้ทำให้จิตใจของผมสงบลงเลย เพราะใจยังไม่พร้อม ยังคงโศกเศร้ากับการสูญเสียหลายครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้ ผมก็โทษตัวเองเสมอว่า ถ้าวันนั้นผมไม่ออกจากบ้าน เหตุการณ์นี้อาจไม่เกิดขึ้นก็ได้

“ข่าวร้าย” ทำลายชีวิต

ความโศกเศร้าจากเรื่องแม่ยังไม่ทันจางหาย ผมก็ต้องเจอกับเรื่องร้าย ๆ ที่ทำให้สูญสิ้นทุกสิ่งในชีวิต

หลายคนคงจำได้ว่าผมเป็นข่าวใหญ่อยู่พักหนึ่ง แม้เหตุการณ์นี้ผ่านมาเกือบ 20 ปีแล้ว แต่ผมยังคงจดจำได้ดี

เช้าวันนั้นเกิดข่าวครึกโครมในหนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับว่า ต๊ะ บอยสเก๊าท์ เมายาและทำร้ายร่างกายผู้หญิง เมื่อข่าวออกมาเช่นนี้ ผมรู้ทันทีว่าชีวิตผมพังแล้ว เพราะทางค่ายเพลงต้นสังกัดสอนศิลปินทุกคนอยู่ตลอดว่า อย่าเป็นข่าวในทางไม่ดี สำหรับข่าวนี้ ผมยอมรับว่าเคยเสพยาบ้าง แต่เรื่องทำร้ายผู้หญิงผมไม่เคยทำและไม่เคยคิดที่จะทำ ถึงผมเคยผ่านเรื่องตีรันฟันแทงมาเยอะ แต่กับผู้หญิงผมไม่เคยทำแน่นอนข่าวนี้ทำให้ผมเสื่อมเสียมาก

คลิกเลข 2 ด้านล่าง เพื่ออ่านหน้าถัดไป

ทันทีที่ข่าวออกมา ค่ายเพลงต้นสังกัดออกมาแถลงข่าวตัดผมออกจากค่ายเพลงและงานทุกอย่าง ทั้งที่ผมกำลังถ่ายละครเรื่องหนึ่งและกำลังทำอัลบั้มเดี่ยวด้วย ข่าวของผมเวลานั้นมันร้ายแรงมากจริง ๆ ผมจึงเข้าใจบริษัทที่ไม่ควรมาแปดเปื้อนด้วยข่าวเสียหายของศิลปินคนหนึ่ง

ช่วงนั้นข่าวของผมแรงมาก ขึ้นหน้าหนึ่งอยู่หลายวัน ผมไม่กล้าอ่านข่าวพวกนั้นและไม่ออกไปไหน อยู่แต่บนเตียงถึง 5 วันตื่นมาก็ไม่อยากทำอะไร นอนซังกะตายอยู่อย่างนั้น ไม่พูดไม่จากับใคร ผมเพิ่งจะผ่านความเจ็บปวดจากการเสียคุณแม่ไปเมื่อต้นปีพอปลายปีก็มาเจอเหตุการณ์นี้อีก

ช่วงเวลานั้นครอบครัวเป็นกำลังใจสำคัญคุณพ่อของผมเปลี่ยนไปเลย จากที่เคยดุก็กลายมาเป็นคนที่เข้าใจผม คอยปลอบใจและเป็นกำลังใจสำคัญ นอกจากนี้ก็มีเพื่อน ๆคอยดูแล ช่วงนั้น โด่ง – สิทธิพร นิยม และพี่แซ้งค์ – ปฏิวัติ เรืองศรี ชวนผมออกไปนั่งที่ร้านของเขาเสมอ เพื่อให้ผมไม่จมอยู่กับความทุกข์ ผมก็ไปนั่งเล่นจนร้านปิด แม้จะต้องเผชิญกับสายตาที่มองมา แต่การออกไปข้างนอกก็ทำให้ผมได้รับกำลังใจดี ๆจากหลายคนที่เชื่อในตัวผมกลับมาเสมอ

เกือบคิดสั้น

ผมไม่ค่อยระบายความทุกข์ให้ใครฟังเพราะไม่อยากให้คนอื่นทุกข์ไปด้วย จึงได้แต่เก็บความทุกข์ไว้ในใจ จนครั้งหนึ่งเกือบทนไม่ไหว คิดฆ่าตัวตายให้พ้นไปจากปัญหา

วันนั้นผมไปที่คอนโดของเพื่อน ซึ่งเป็นตึกสูง 16 ชั้น แล้วขึ้นไปอยู่บนดาดฟ้าคิดวนเวียนถึงเรื่องต่าง ๆ จนร้องไห้ไม่หยุดวูบหนึ่งผมคิดว่า ผมไม่อยากอยู่แล้ว หากผมก้าวเท้าไปข้างหน้า ร่างของผมก็จะตกลงไปแต่ในวินาทีแห่งการตัดสินใจ ผมกลับได้ยินเสียงเพลงแว่วมาในหัว

“ตายถึงยอม แต่ไม่ใช่ยอมตายเพื่อหนีปัญหาทุกอย่าง ตายมันง่าย ถ้าแน่จงอยู่สู้ให้ถึงจุดหมายปลายทาง”

นี่คือเพลง คนยุคเหล็ก ของพี่โป่งวงหินเหล็กไฟ ผมไม่รู้ว่าเสียงเพลงมาจากไหนแต่พอท่อนเพลงนี้แว็บเข้ามา ผมนึกไปถึงภาพพี่สาวที่ร้องไห้โฮเป็นเด็กในวันที่แม่จากไปมันสะเทือนใจมากจนฉุกคิดได้ว่า ถ้าผมตายไปอีกคนหนึ่ง ผมอาจจะสบาย แต่อีกสามคนในครอบครัวคงรับไม่ไหวแน่ ๆ เมื่อได้ร้องไห้ระบายความรู้สึกออกมาจนหมดสิ้นก็ค่อย ๆ นั่งลง คิดอะไรเรื่อยเปื่อยสักพัก แล้วก็ตัดสินใจว่าจะต้องสู้ต่อไป

ผมลุกขึ้นต่อสู้เพื่อให้ทุกคนได้รับรู้ความจริง โดยสู้คดีให้ถึงที่สุด ทุกครั้งที่ศาลเรียกสืบพยานผมจะมองพระพุทธรูปที่วางหน้าบังลังก์ และพูดเสมอว่า “นี่หรือคือสิ่งที่ผมได้รับ” ผมไม่เคยทำร้ายผู้หญิง ไม่เคยทำชั่วแบบนั้นและมั่นใจในสิ่งที่ทำมาตลอด ผมสู้คดีนี้อยู่ถึง 2 ปี 8 เดือน ในที่สุดศาลยกฟ้อง ผมจึงพ้นข้อกล่าวหาทั้งหมด

ในวันที่เป็นข่าว ข่าวนั้นขึ้นพาดหัวหน้าหนึ่งนาน 5 วัน แต่ในวันที่ผมพิสูจน์แล้วว่าผมไม่ผิด ข่าวของผมกลับอยู่ในกรอบเล็ก ๆ ในหน้าสุดท้ายของหนังสือพิมพ์ แล้วใครจะรู้ จะมีสักกี่คนที่เปิดอ่าน แม้ช่วงนั้นผมได้ออกไปพูดเรื่องนี้ในรายการโทรทัศน์หลายครั้ง แต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนความรู้สึกของผู้คนไปได้ เพราะหลายคนได้พิพากษาผมไปแล้วว่าผมเป็นคนไม่ดี ทุกวันนี้ยังมีคนติดภาพว่าผมเป็นคนทำร้ายผู้หญิงด้วยซ้ำ

ผมเคยกราบเรียนถามเรื่องนี้กับท่านว.วชิรเมธี ท่านบอกผมว่า เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงบางอย่างบนโลกนี้ได้ และเราไม่สามารถบังคับจิตใจคนนั้นคนนี้ให้มาคิดดี ๆ กับเราได้เช่นกัน ผมจึงเริ่มคิดได้ว่าอย่าเอาใจไปยึดติดกับอดีต แต่ต้องอยู่กับปัจจุบันให้ได้ แล้วความทุกข์ในใจจะน้อยลง

แต่กว่าจะทำใจผ่านเรื่องราวร้าย ๆเหล่านี้มาได้ ผมต้องใช้เวลานานหลายปีโชคดีที่ได้พบสิ่งที่ช่วยประคับประคองจิตใจให้ยืนหยัดต่อสู้กับความทุกข์ของตัวเองได้

(โปรดติดตามตอนต่อไป)


ขอขอบคุณ : Y Factory & Light Café ถนนประดิษฐ์มนูธรรม โทร. 0-2538-3354, 09-1946-1624

เรื่อง วินรวีร์ ใหญ่เสมอ เรียบเรียง เชิญพร คงมา ภาพ สรยุทธ พุ่มภักดี สไตลิสต์ ณัฏฐิตา เกษตระชนม์ แต่งหน้า - ทำผม ภูดล คงจันทร์

Posted in MIND
BACK
TO TOP
A Cuisine
Writer

© COPYRIGHT 2024 AME IMAGINATIVE COMPANY LIMITED.