ภาณุเดช วัฒนสุชาติ

ชีวิตแสนสุขบนถนนสายศิลปะ ของ ภาณุเดช วัฒนสุชาติ

ชีวิตแสนสุขบนถนนสายศิลปะ ของ ภาณุเดช วัฒนสุชาติ

เพราะเชื่อว่าหากมีใจรักในสิ่งใดแล้ว แม้คุณจะไม่มีโอกาสได้เรียนรู้ในระบบอย่างมีแบบมีแผนจนได้ประกาศนียบัตรหรือปริญญาบัตรมาการันตี ก็ขอเพียงให้ใช้ “การสังเกต ความทุ่มเท และหมั่นฝึกฝนเรียนรู้” ไม่ช้าชีวิตก็จะประสบความสำเร็จและมีความสุขได้ ภาณุเดช วัฒนสุชาติ หรือ ดุ๊ก แจ้งเกิดในวงการบันเทิงด้วยการรับบทนักแสดงนำในละครโทรทัศน์เรื่อง สุสานคนเป็น เมื่อ พ.ศ. 2534 ส่งผลให้ชื่อของภาณุเดชขึ้นสู่ทำเนียบนักแสดงคุณภาพของเมืองไทยอย่างรวดเร็วและยืนหยัดมาจนปัจจุบัน

ภาณุเดชหลงใหลในงานศิลปะและการแสดงมาตั้งแต่เด็กๆ และฝึกฝนด้วยตนเองเรื่อยมา ถึงแม้เขาจะไม่ได้เรียนด้านศิลปะดังใจหวัง จนต้องเบนเข็มชีวิตไปเรียนด้านโฆษณาที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพแทน แต่ทว่าที่นี่เขากลับได้รับโอกาสสำคัญ คือการได้เป็น“นักแสดงละครเวที” และตามติดมาด้วยการเป็นนักแสดงจอแก้ว

นอกจากความสามารถด้านศิลปะ ภาณุเดชยังรับหน้าที่เป็นอาร์ตไดเร็คเตอร์ให้บริษัทเมกเกอร์ เจ กรุ๊ป จำกัด และเป็นวิทยากรพิเศษให้สถาบันการศึกษาหลายแห่ง ทั้งยังทำกิจกรรมศิลปะเพื่อสังคมรวมถึงจัดตั้งบริษัทรับออกแบบตกแต่งบ้านในนามบริษัท 825 Integrated Design อีกด้วย

จุดไฟฝันคนรักศิลปะ                                                                           

คุณพ่อ (คุณมาโนชญ์ วัฒนสุชาติ) คือสุดยอดแห่งพลังความคิด ความสุข ความรัก และแรงบันดาลใจ เพราะเรื่องราวชีวิตของท่านทำให้ผมเห็นว่า ความสุขในชีวิตคือการได้ทำสิ่งที่ตนเองรักและทำมันอย่างดีที่สุด แม้ต้องใช้ความพยายามมากขนาดไหน หรือต้องเผชิญอุปสรรคใดๆ ก็ถือเป็นบทพิสูจน์ที่ต้องฝ่าฟันไปให้ได้

ส่วนคุณแม่ (คุณประมวลศรี วัฒนสุชาติ) คือ สุดยอดในเรื่องความรักและความซื่อสัตย์ เพราะสำหรับท่านแล้ว ไม่ว่าอะไรก็ตาม ความสำคัญของครอบครัวต้องมาเป็นอันดับแรก  ประกอบกับความที่คุณแม่เป็นคนชอบแต่งตัว แต่งบ้าน ทำทุกอย่าง อย่างมีสไตล์ โดยไม่จำเป็นต้องเป็นของราคาแพง คุณแม่ก็สามารถมิกซ์แอนด์แมทช์ (ผสมผสาน) ให้เข้ากันและดูดีได้อย่างเหมาะเจาะ มีรสนิยม

“มุมมองการใช้ชีวิต” และ “ความรักในศิลปะ” ของผมจึงเป็นส่วนผสมที่ลงตัวที่สุดที่ได้มาจากคุณพ่อและคุณแม่ครับ

สุดยอดรางวัลชีวิต                                                                   

ผมรักการแสดงมาตั้งแต่เด็กๆ แต่ก็ไม่กล้าคิดว่าตัวเองจะมีศักยภาพมากพอที่จะเป็นนักแสดงได้ จนวันหนึ่งเมื่อมีรุ่นพี่ให้โอกาสเล่นละครเวที ผมก็พยายามทำอย่างเต็มที่ แม้ว่าสองเรื่องแรกจะได้รับคำวิจารณ์ไม่ดีนัก แต่ผมก็ไม่ท้อ เพราะอย่างน้อยๆ ละครเวทีก็ลบความขี้อายของผมออกไป และทำให้ผมเริ่มมั่นใจในตัวเองมากขึ้น

เมื่อได้รับเลือกเป็นพระเอกในละครเวทีเรื่องที่สาม ขอโทษทีไม่มีนามบัตร ผมจึงทุ่มเทฝึกฝนตนเองเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าเพื่อให้งานออกมาดีที่สุด และแล้วผมก็ได้รับการตอบแทนที่แสนคุ้มค่า เมื่อได้รับ รางวัลหน้ากากทองคำ รางวัลเกียรติยศของกลุ่มคนละครเวทีมาครองเป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2532

รางวัลนี้นอกจากจะเป็นเกียรติยศในอาชีพการแสดงแล้ว ยังทำให้ผมรู้ว่า “ความอดทน ความตั้งใจ ไม่ท้อถอย” ให้รางวัลแก่ตัวเราอย่างไร และให้ความภาคภูมิใจแค่ไหนทุกครั้งที่นึกถึง

โลกนี้ไม่มีใครเพอร์เฟ็คท์

ช่วงที่ผมได้รับการทาบทามให้ทำหน้าที่ “ครูใหญ่บ้านเอเอฟ 2” เพื่อนๆพี่ๆ ทุกคนห้ามหมดเลยว่า อย่าทำนะ เพราะดุ๊กจะต้องเจอะเจอกระแสสารพัด โดยเฉพาะเสียงก่นด่าที่มากกว่าเสียงชื่นชม แต่ด้วยความที่ผมมั่นใจในศักยภาพของตัวเอง และมุ่งมั่นจะเป็นให้ได้อย่างที่พี่ตุ๊ก – ดวงตาเคย “สอน” ผมมาก่อน ผมจึงยินดีและเต็มใจรับหน้าที่นี้อย่างบริสุทธิ์ใจ ไม่มีเคลือบแฝง

ในไม่ช้าสิ่งที่ทุกคนเตือนก็เป็นความจริง เมื่อผมโดนกระแสโจมตีว่า ลำเอียงบ้าง ไม่สมควรกอดน้องผู้หญิงบ้าง หรือคิดเกินเลยกับน้องผู้ชายบ้าง ทำดีกับคนนี้ แฟนคลับคนนั้นก็ว่า ฯลฯเรียกว่าโดนทั้งขึ้นทั้งล่อง นั่นจึงทำให้ผมรู้ว่า “โลกนี้ไม่มีใครเพอร์เฟ็คท์และไม่มีใครดีที่สุด” ซึ่งทำให้ผมลดอัตตาตัวเองลงด้วยว่า เราไม่จำเป็นต้องเป็น“ที่สุด” เพียงพอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่ และตั้งมั่นอยู่ในความดีก็เพียงพอแล้ว

เปลี่ยนวิธีคิด ชีวิตก็เปลี่ยน

อาชีพนักแสดงยังทำให้ผมได้รู้จัก พี่ตุ๊ก (คุณดวงตา ตุงคะมณี)นักแสดงรุ่นพี่ที่ให้ความเอ็นดู สั่งสอนผมเหมือนน้องแท้ๆ โดยเฉพาะการปรับทัศนคติเรื่องบทบาทการแสดงที่พี่ตุ๊กชี้ให้เห็นว่า

“ถ้าเราหาจุดที่เหมาะสมกับตัวเราได้และทำสุดความสามารถที่เรามี  เราก็จะอยู่ในวงการนี้ได้นาน” นั่นจึงทำให้ผมตัดสินใจเปลี่ยนบทบาทตัวเองจาก “พระเอก” มาเป็น“ตัวร้าย” ได้ง่ายขึ้น จากที่คิดลังเล อยู่นาน จนได้ข้อสรุปว่า นักแสดงที่ดีต้องไม่ยึดติดกับบทบาท บทอะไรก็ได้ ขอแค่ให้มีคุณภาพในการแสดง

ผมจึงตัดสินใจรับบท “ชีพ” บทนำที่ร้ายแสนร้ายในละครเรื่องสุสานคนเป็น เป็นครั้งแรก และเพียงแค่ชั่วข้ามคืน ชื่อของผมก็เป็นที่รู้จักและเป็นที่ยอมรับไปทั่วทั้งวงการ เปิดโอกาสการทำงานของผมให้มากขึ้นไปอีก

ผมมีวันนี้ได้เพราะความรักความเอาใจใส่ของพี่ตุ๊กแท้ๆ ขอบคุณครับพี่สาว

 

ทุกวันนี้ผมมีความสุขและพอเพียงกับสิ่งที่มี เพราะผมได้ทำงานศิลปะที่รัก มีรายได้เลี้ยงตัวเอง และมีโอกาสแบ่งปันความรู้ทำประโยชน์คืนกลับให้สังคม แม้จะไม่มากมาย แต่ก็ภูมิใจที่สุดครับ


เรื่อง วรลักษณ์ ผ่องสุขสวัสดิ์ ภาพ ณัฐวุฒิ  เพ็งคำภู

Secret Magazine (Thailand)


บทความน่าสนใจ

การค้นพบชีวิตและสุขที่แท้จริง ดุ๊ก  ภาณุเดช วัฒนสุชาติ

© COPYRIGHT 2024 AME IMAGINATIVE COMPANY LIMITED.