คุณค่าของการรู้จักคิด และการมีกัลยาณมิตรที่ดี – บทความดีๆ จากท่าน ว.วชิรเมธี
ปุณณ์และปัณณ์หลานรักปู่ได้เคยเล่าไปแล้วว่า ชีวิตคนเราจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว ย่อมขึ้นอยู่กับองค์ประกอบ 2 ประการ ได้แก่ การรู้จักคิด และการมีมิตรที่ดี วันนี้ปู่ขอขยายความอีกนิดหน่อยว่า
“การรู้จักคิด” นั้นเป็นองค์ประกอบภายในใจของเราเอง
ส่วน “การมีมิตรที่ดี” นั้นเป็นองค์ประกอบภายนอก
องค์ประกอบทั้งสองนี้ต่างก็เกื้อกูลกันอุดหนุนกัน เช่น สามเณรบัณฑิตที่ปู่เล่าให้ฟังนั้น มีพระอุปัชฌาย์ สายน้ำ ช่างถากไม้คนดัดลูกศร เป็นกัลยาณมิตร ซึ่งเป็นปัจจัยภายนอกที่มีอยู่ทั่วไป
แต่พอเณรน้อยช่างคิด เห็นสิ่งเหล่านี้แล้วเกิดความสงสัย รู้จักตั้งคำถามขึ้นมาภายในใจ (ปัจจัยภายใน + ปัจจัยภายนอก)สิ่งของธรรมดา ๆ ก็เลยกลายเป็นที่มาของปัญญาที่ลุ่มลึกได้อย่างไม่น่าเชื่อ
เรื่องนี้ก็คงไม่ต่างจากการที่ไอแซกนิวตัน นั่งอยู่ใต้ต้นแอปเปิล แล้วเห็นแอปเปิลหล่นลงมา จึงตั้งคำถามว่า ทำไมวัตถุที่หล่นลงมาแล้วไม่ลอยขึ้นไปบนฟ้าแทนที่จะตกลงมาสู่ดิน ผลจากการตั้งคำถามต่อมาจึงนำไปสู่การค้นพบกฎแห่งแรงโน้มถ่วงของโลกยังไงล่ะ
นี่แหละ นักปราชญ์ท่านจึงว่า
“ความสงสัยเป็นจุดเริ่มต้นของปัญญา”
ปุณณ์และปัณณ์หลานรัก คราวนี้ปู่ขอเล่าตัวอย่างของการมีมิตรที่ดีให้หลานฟังก็แล้วกัน หลานจะได้รู้ว่า ถ้าเรารู้จักคบคนดีเป็นมิตรแล้ว ชีวิตจะดีขึ้นมาได้อย่างไรและในทางกลับกัน ถ้าคบคนเลวเป็นสหายแล้ว ชีวิตจะเลวลงเพียงไร
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
มีนกแขกเต้าสองพี่น้องอยู่คู่หนึ่ง อาศัยอยู่ในรังเดียวกันกับพ่อแม่อย่างมีความสุขอยู่มาวันหนึ่งเกิดลมพายุหมุนพัดมาอย่างรุนแรง นกแขกเต้าสองพี่น้องถูกลมพัดปลิวไปตกคนละทิศคนละทาง
ตัวหนึ่งลมพัดปลิวไปตกอยู่ข้างกองอาวุธของพวกโจร จึงได้ชื่อใหม่ตามที่นายโจรตั้งให้ว่า “สัตติคุมพะ” แปลว่า “ไอ้หอก”
อีกตัวหนึ่งลมพัดปลิวไปตกอยู่ตรงพุ่มดอกไม้ซึ่งกำลังผลิบานส่งกลิ่นหอมฟุ้งใกล้อาศรมของพวกฤาษี จึงมีชื่อใหม่ว่า “ปุปผกะ” แปลว่า “นายดอกไม้”
นกแขกเต้าสองพี่น้องนั้น แม้จะเป็นลูกพ่อแม่เดียวกัน แต่เนื่องจากเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน จึงมีอุปนิสัยที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ตัวพี่ตกไปอยู่ข้างกองสรรพาวุธของพวกโจร โตขึ้นมาในชุมโจร วัน ๆ ได้เห็นได้ยินแต่พวกโจรซึ่งมีอุปนิสัยกักขฬะหยาบคาย ร้ายกาจ คิดแต่จะเบียดเบียนปล้น ฆ่า ล่าสมบัติของคนอื่น คำพูดคำจาก็กระโชกโฮกฮาก ดุดัน ขาดความสุภาพเมื่อเห็นบ่อย ๆ ฟังบ่อย ๆ เข้า นกก็เลยจำไว้ พวกโจรคิดอย่างไรก็คิดตามอย่างนั้นพวกโจรพูดอย่างไรก็พูดตามอย่างนั้น พวกโจรออกไปปล้นก็บินตามไปดู พวกโจรล้อมวงกินเหล้า มันก็เฝ้าอยู่ใกล้ ๆ วงเหล้านั่นเอง
ส่วนนกผู้น้องถูกฤๅษีผู้ใจดีมีเมตตาเก็บไปเลี้ยงดูด้วยความรัก ด้วยความเอ็นดูดังหนึ่งลูกน้อยกลอยใจ ทั้งสิ่งแวดล้อมก็เต็มไปด้วยธรรมชาติแสนรมณีย์ ชวนยินดีปรีดาแก่ผู้มาพบเห็น อาศรมของหมู่ฤาษีมีไม้ดอกไม้ประดับเขียวขจีหอมกรุ่น มีสายน้ำไหลผ่านสดชื่นรื่นเย็นตลอดปี มีหมู่นกผีเสื้อ กระรอก กระแต เก้งกวาง บินฉวัดเฉวียนและเดินผ่านไปมาอย่างมีความสุขไม่ต้องหวาดระแวงภัย เพราะมองไปทางไหนก็เห็นแต่หมู่ฤาษีกำลังนั่งสมาธิ สวดมนต์หรือไม่ก็กำลังให้อาหารปลาอยู่ริมแม่น้ำ ให้อาหารกระรอกกระแตอยู่ตามพุ่มไผ่ใบหนาหรือเดินถือตะกร้าเก็บผลหมากรากไม้อยู่ตามพุ่มพฤกษาที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วpดอกไม้และไม้ผล
สภาพแวดล้อมของอาศรมฤๅษีที่กล่าวมาจึงไม่ต่างอะไรกับสวรรค์บนดินที่มีแต่ความร่มรื่นนอกด้วยแมกไม้และร่มรื่นในด้วยธรรมะ
ต่อมาพระราชาพระองค์หนึ่งแห่งแคว้นปัญจาละเสด็จฯเข้าป่าล่าเนื้อกับปวงข้าราช-บริพาร แล้วเกิดพลัดหลงกัน พระองค์ทรงพระดำเนินสะเปะสะปะเข้าป่าไปด้วยความเหนื่อยอ่อนจนบรรทมหลับไปที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง เจ้านกตัวพี่บินมาพบพระองค์เข้าพอดีมันจึงตะโกนลั่นป่าตามประสาพวกโจรว่า
“ไอ้เสือบุก หยุดนะ เราล้อมไว้หมดแล้ว มีทรัพย์สินอะไรโยนออกมาให้หมดถ้าขัดขืนเราจะไม่ไว้ชีวิต”
พระราชาได้ยินเช่นนั้นก็ตกพระทัยมากทรงแหงนมองขึ้นไปตามเสียง ก็พบว่าต้นเสียงมาจากนกตัวเล็ก ๆ เท่านั้นเอง พระองค์ฉงนพระทัยว่า ทำไมเจ้านกตัวเล็กจ้อยจึงมีใจคอโหดเหี้ยมไม่ต่างอะไรกับพวกโจร ทรงรู้สึกว่าที่นั่นไม่ปลอดภัย จึงทรงพระดำเนินผ่านแนวป่าต่อไปจนถึงอาศรมของพวกฤๅษี
ที่อาศรมของพวกฤาษี ทรงพบกับเจ้าปุปผกะบินอยู่เหนือพุ่มพวงของปวงดอกไม้ นกตัวน้อยนั้นทักทายพระองค์ด้วยสำเนียงเพราะพริ้งว่า
“สวาคตัม ๆ” หรือ “ยินดีต้อนรับ ๆ”
“เชิญผู้ใจบุญมาทางนี้ก่อนเถิด น้ำเย็น ๆ มีอยู่ในกระบอกโน้นแน่ะ เชิญรินดื่มดับกระหายเอาตามแต่ใจชอบเถิด เมื่อดื่มน้ำแล้ว ขอเชิญนั่งพักที่ริมโขดหินริมน้ำให้สำราญบานใจก่อนเถิด เราจะไปแจ้งข่าวแก่หมู่ฤๅษีว่ามีอาคันตุกะมาเยือน”
พระราชาทอดพระเนตรเห็นนกผู้ปากหวานขานเพราะแล้ว ก็พระทัยชื้นขึ้นมาทันทีทรงรู้สึกว่าพระองค์มาถึงที่ปลอดภัยแล้ว
สักพักหนึ่งเมื่อหลวงปู่ฤๅษีเดินมาถึงที่ประทับแล้ว พระองค์จึงทรงถามว่า วันนี้ทรงพบนกสองตัว เป็นนกชนิดเดียวกัน แต่ทำไมนิสัยจึงต่างกันอย่างสิ้นเชิง
หลวงปู่ฤๅษีจึงทูลว่า นกสองตัวนั้นเดิมก็เป็นพี่น้องกัน เติบโตมาในรังของพ่อแม่เดียวกัน แต่ถูกลมพัดไปตกอยู่ต่างถิ่นต่างที่คนพี่โตมากับโจร คนน้องโตมากับนักบวชนิสัยจึงต่างกันอย่างนี้เอง
พระราชาได้ทรงสดับแล้ว พระองค์ทรงอุทานเบา ๆ ว่า
“โอหนอ คนเราเกิดมาจากพ่อแม่เดียวกันแท้ ๆ แต่ได้รับการเลี้ยงดูมาด้วยสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน นิสัยจึงต่างกันราวฟ้ากับดิน
นกตัวหนึ่งกลายเป็นโจร เพราะอยู่กับโจร
ตัวหนึ่งกลายเป็นบัณฑิตใจดีมีเมตตาเพราะอยู่กับฤๅษีผู้มีปัญญา
อย่างนี้สิหนอ นักปราชญ์แต่โบราณท่านจึงเตือนว่า
‘คบคนเช่นใดก็จะกลายเป็นคนเช่นนั้น’ ”
Photo by Evan Kirby on Unsplash
บทความที่น่าสนใจ
Dhamma Daily : กฏแรงดึงดูด ในทางพระพุทธศาสนาทำงานอย่างไร
Dhamma Daily: สีกา โทรศัพท์พูดคุยกับพระสงฆ์นานเป็นชั่วโมง เป็นการผิดวินัยสงฆ์หรือไม่
จุดหันเหสู่ทางธรรมของ 3 คนดังสายธรรมะ
นิทานธรรมะ กระต่ายผู้ทรงศีล ยอมเสียสละปรารถนาให้ชีวิตเป็นทาน
กิ๊ก มยุริญ พักงานวงการบันเทิงลาไปบวชชีศึกษาธรรมะที่พม่า