พิการ

เมื่อสองขามิอาจพาไป หัวใจจึงนำทางแทน

ฉันไม่เคยคาดคิดว่าชีวิตจะเดินทางมาถึงจุดที่ “เดิน” ต่อไปไม่ได้ เหตุการณ์ครั้งนั้นทำฉันได้แต่อ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอร้องให้ฉันจากไปอย่างสงบ ขอให้สวดมนต์แล้วหลับไปโดยไม่ต้องตื่นขึ้นมารับรู้อะไรอีก

ฉันเกิดและเติบโตที่จังหวัดจันทบุรี มีพี่น้อง 3 คน ฉันเป็นลูกคนกลาง ครอบครัวเราไม่สมบูรณ์นัก เพราะพ่อกับแม่แยกทางกันตั้งแต่ฉันอายุเพียง 5 ขวบ แม่จึงต้องเลี้ยงดูลูกทั้ง 3 คนตามลำพัง แม่เป็นแม่ค้าขายของทะเลในตลาด ฐานะทางบ้านเราไม่สู้ดี ฉันต้องช่วยแม่ทำงานทุกอย่าง เรียกว่าค้าขายเป็นตั้งแต่จำความได้

เมื่อจบชั้น ม.ต้น ฉันเลือกเรียนต่อสายอาชีพและเริ่มคบหากับแฟนคนแรก ดูเหมือนชีวิตกำลังดำเนินไปด้วยดี แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด ฉันตั้งท้องกับแฟนตั้งแต่เรียนอยู่ชั้นปี 1 จึงจำเป็นต้องลาออกแม้จะเสียใจและเสียดายที่ไม่ได้เรียนต่อ แต่ฉันก็เลือกที่จะออกมาหาเงินสร้างครอบครัวทว่าความรักวัยรุ่นก็ไม่ยั่งยืนตามที่ฝัน เราเริ่มมีปัญหาและทะเลาะกันบ่อยขึ้น แม่เสนอทางเลือกให้ 2 ทาง

“ถ้าอยู่กับแฟน สักวันหนึ่งหากไปด้วยกันไม่ได้ ลูกจะไม่เหลือใครเลยนะ แต่ถ้าอยู่กับแม่ ไม่ว่ายังไงแม่ก็ไม่มีวันทิ้งลูก” ฉันเชื่อคำพูดของแม่ จึงตัดสินใจแยกทางกับแฟนและเลี้ยงดูลูกชายด้วยตัวเอง

ไม่นานฉันก็พบรักครั้งใหม่ เขาเอาใจใส่และดูแลฉันเป็นอย่างดี กระทั่งเรามีลูกสาวด้วยกัน 1 คน ฉันหวังว่าเราจะสร้างอนาคตด้วยกันได้ แต่ก็ต้องผิดหวังอีกครั้ง เพราะเขาติดสุรา ทั้งยังมีความเห็นไม่ตรงกันหลายเรื่อง เราจึงแยกทางกันเพราะคิดว่าน่าจะดีกว่าทนอยู่ต่อไปโดยไม่มีความสุข

เวลานั้นฉันยังเด็กจึงไม่รู้จักวิธีบริหารเงิน บวกกับค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูลูกทั้งสองคนค่อนข้างสูง รายได้จากการขายของก็ไม่มากมายนัก ทำให้เงินไม่พอใช้ ชักหน้าไม่ถึงหลัง เริ่มมีหนี้สินจากแหล่งเงินกู้นอกระบบ กู้รายนั้นมาจ่ายรายนี้ เป็นวงจรที่เต็มไปด้วยทางตัน ประกอบกับช่วงนั้นฉันพบกับแฟนคนที่ 3 แรก ๆ เขาเป็นคนดีขยันทำมาหากิน แต่เหมือนว่าเรายังรู้จักกันไม่ดีพอ

วันหนึ่งบริษัทที่แฟนทำงานอยู่ก็โทรศัพท์มาบอกว่า แฟนของฉันขโมยสินค้าของบริษัทไปขาย ให้ฉันนำเงินไปใช้หนี้แทน ฉันตกใจมาก เพราะแฟนไม่เคยมีพฤติกรรมเช่นนี้มาก่อน เมื่อนำเงินไปจ่าย ฉันจึงได้รู้ว่าเขาติดยาเสพติด

หนี้สินที่รุมเร้าและพฤติกรรมของแฟนทำให้ฉันเครียดมาก ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใครจึงตัดสินใจเข้าสู่ทางธรรม ฉันเริ่มเข้าวัดไปใส่บาตรทุกเช้าและฟังธรรมจากหลวงพ่อฉันนั่งสมาธิไม่เก่ง จึงเลือกทำประโยชน์ให้วัดแทน เช่น ล้างจาน ขัดห้องน้ำ ซึ่งทำให้จิตใจสงบลงและมีสติมากขึ้น จนเริ่มเห็นทางออกของปัญหา

ฉันขยันทำงานมากขึ้น ไม่กู้เงินเพิ่มขณะเดียวกันก็ลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นไปพร้อม ๆ กัน พยายามทุกทางเพื่อไม่ให้มีหนี้สินติดตัว และตัดสินใจใช้ชีวิตกับแฟนต่อไปเมื่อก่อนฉันคิดเสมอว่า ถ้ามีแฟนไม่ดีก็เลิกกัน แล้วหาใหม่ให้ดีกว่าเดิม แต่เมื่อโตขึ้นความคิดฉันก็เปลี่ยนไป ฉันไม่อยากหาคนใหม่อีกแล้ว คิดว่าจะหยุดชีวิตไว้ตรงนี้จึงเลือกที่จะปรับตัวและเรียนรู้ที่จะอยู่กับเขาโดยไม่เป็นทุกข์ หลวงพ่อสอนฉันว่า “ตัวเราต้องเป็นหลักของตัวเองให้ได้ อย่าไปหวั่นไหวหรือเสียใจกับสิ่งที่คนอื่นทำ”

หลังจากใช้ธรรมะเป็นเครื่องนำทาง ชีวิตก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ ฉันเริ่มมีเงินเก็บ ขณะเดียวกันก็ยังเข้าวัดฟังธรรมเช่นเดิม แต่ชีวิตก็พลิกผันอีกครั้ง ซึ่งเป็นครั้งที่ร้ายแรงที่สุดในชีวิต

วันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2556 ฉันกับแฟนเดินทางไปทำธุระที่กรุงเทพฯ ขณะเดินทางกลับฉันเห็นว่าดึกมากแล้ว จึงถามเขาว่า “ขับไหวหรือเปล่า ถ้าไม่ไหวบอกนะ เดี๋ยวขับให้” แต่เขาปฏิเสธ ฉันงีบหลับไปเพราะเหนื่อยมาก โดยไม่รู้เลยว่าคำปฏิเสธนั้นจะเป็นประโยคสุดท้ายที่ฉันได้พูดคุยกับเขา

ฉันรู้สึกตัวอีกทีเพราะได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวาย พร้อมกับรู้สึกเจ็บระบมไปทั่วตัว เมื่อลืมตาขึ้นจึงเห็นว่าหน่วยกู้ภัยกำลังพยายามช่วยฉันออกจากซากรถ ผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่า รถของฉันวิ่งมาด้วยความเร็วประมาณ 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และแหกโค้งพุ่งชนต้นไม้โดยไม่มีเสียงเหยียบเบรกเลยแม้แต่น้อย ตำรวจสันนิษฐานว่าแฟนของฉันน่าจะหลับใน

เมื่อถึงโรงพยาบาล หมอต้องเจาะปอดเพื่อระบายเลือดคั่ง ร่างกายฉันบอบช้ำมากขยับตัวแทบไม่ได้ ขาหัก กระดูกซี่โครงหักกระดูกสันหลังหัก เพราะฉันไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัย ทำให้ตัวกระแทกกับคอนโซลหน้าเต็ม ๆ ฉันคิดว่าตัวเองคงไม่รอดแน่ ๆ เมื่อเห็นแม่มาเยี่ยม จึงสั่งเสียให้แม่ช่วยดูแลลูกทั้งสองคนแทน เพราะฉันทนความเจ็บปวดต่อไปไม่ไหวแล้ว ฉันได้แต่อ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอร้องให้ฉันจากไปอย่างสงบ ขอให้สวดมนต์แล้วหลับไปโดยไม่ต้องตื่นขึ้นมารับรู้อะไรอีก

แต่คำขอของฉันไม่เป็นผล วันรุ่งขึ้นฉันยังมีลมหายใจอยู่และต้องทนทรมานกับความเจ็บปวดต่อไป กระทั่งผ่านไป 7 วัน คืนหนึ่งฉันฝันว่าตัวเองกำลังขับรถขึ้นเขาพร้อมกับแฟน จู่ ๆ รถก็ตกเขา ทำให้เราทั้งคู่เสียชีวิต ฉันสะดุ้งตื่นและสังหรณ์ใจ จึงถามน้องสาวว่าแฟนไปไหน ไม่เห็นหน้ามาหลายวันแล้ว เธอตอบกลับมาว่า “ทำใจก่อนนะ” เพียงเท่านี้ฉันก็รู้แล้วว่าคงไม่มีวันได้เจอหน้าเขาอีกน้องเล่าให้ฟังว่าอวัยวะของเขาเสียหายเกินเยียวยาเพราะตัวเขากระแทกกับพวงมาลัยเต็มแรง เขาเสียชีวิตระหว่างถูกส่งตัวมาโรงพยาบาล

1 เดือนต่อมาร่างกายส่วนอื่น ๆ ก็เริ่มฟื้นฟูและดีขึ้นตามลำดับ มีเพียงขาเท่านั้นที่ขยับไม่ได้ ญาติ ๆ ต่างพากันบอกว่า เดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง ฉันก็เชื่อเช่นนั้นมาตลอด กระทั่งได้คุยกับคุณหมอเจ้าของไข้จึงทราบว่า กระดูกสันหลังของฉันแตกไปตัดถูกเส้นประสาททำให้ฉันเดินไม่ได้อีกต่อไป

ฉันตกใจมาก ไม่เคยคิดว่าเรื่องอย่างนี้จะเกิดขึ้นกับตัวเอง ฉันเอาแต่ร้องไห้ ไม่รู้จะทำอย่างไร ในหัวเอาแต่คิดวนเวียนว่าเราจะมีชีวิตต่อไปอย่างไร จะเลี้ยงดูลูกได้หรือเปล่า เราจะอยู่ต่อได้หรือไม่ ทั้งกังวล เครียด และเสียใจมาก แม้ญาติพี่น้องจะมาให้กำลังใจ แต่ก็ไม่เป็นผล

ฉันนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลประมาณ 3 เดือน ระหว่างนั้นก็ต้องผ่านเหตุการณ์เฉียดตายอีกครั้ง วันนั้นเป็นวันที่หมออนุญาตให้กลับบ้าน แต่อยู่ดี ๆ ฉันก็ปวดหัว อาเจียนตัวร้อน และไข้ขึ้นสูง หมอตรวจพบว่าฉันติดเชื้อในกระแสเลือด หากรักษาไม่ทันร่างกายจะช็อกจนเสียชีวิตได้ คืนนั้นเป็นอีกครั้งที่ฉันทรมานจนต้องสวดมนต์อ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยพาฉันไปอย่างสงบ ฉันไม่อยากมีชีวิตอีกต่อไปแล้ว

แต่ใครจะคาดคิดว่าชีวิตจะมีปาฏิหาริย์เป็นครั้งที่ 2 วันรุ่งขึ้นฉันยังลืมตาได้ และยังหายใจได้เช่นเดิม

หลังจากฟื้นฟูร่างกายจนเริ่มแข็งแรงฉันก็กลับมารักษาตัวที่บ้าน ชีวิตของฉันเหมือนกลับไปติดลบอีกครั้ง เพราะเงินหมดไปกับค่ารักษาพยาบาล ค่ายา ผ้าอ้อมผู้ใหญ่รถเข็น ฯลฯ ซ้ำร้ายฉันยังถูกฟ้องร้องเพราะไม่มีเงินจ่ายค่างวดรถ ซึ่งฉันเพิ่งถอยออกมาจากโชว์รูมได้ไม่ถึง 3 เดือนก่อนประสบอุบัติเหตุ

แต่ในความโชคร้ายก็ยังพอจะโชคดีอยู่บ้าง ฉันรู้จักกับทนายความท่านหนึ่งซึ่งเขาอาสาทำคดีให้ เนื่องจากฉันกลายเป็นบุคคลทุพพลภาพ จากที่ต้องเสียเงินนับแสนจึงลดหย่อนเหลือเพียงหลักหมื่นเท่านั้น นอกจากนี้ฉันและแฟนยังเคยทำประกันชีวิตไว้ จึงได้เงินชดเชยกลับมาบ้าง

 

แม้ว่าปัญหาเรื่องเงินจะเริ่มคลี่คลาย แต่ปัญหาด้านจิตใจกลับไม่จางไปเลย จากคนที่เดินได้กลับเดินไม่ได้ ต้องให้ลูกอุ้มไปอาบน้ำจากที่เคยเป็นผู้นำครอบครัว กลับต้องให้น้องช่วยแต่งตัว ฉันหมดกำลังใจในการมีชีวิตร่างกายผ่ายผอม แขนขาลีบเล็ก กระทั่งได้อ่านหนังสือของ อาจารย์กำพล ทองบุญนุ่มซึ่งแนะให้ใช้ธรรมะเยียวยา ลองสวดมนต์ทำจิตใจให้สบาย ฉันมีพื้นฐานด้านการปฏิบัติธรรมอยู่บ้าง จึงนำมาปรับใช้ได้ไม่ยากนักไม่นานสภาพจิตใจก็เริ่มดีขึ้น

หลังจากนั้นน้องก็เริ่มพาออกไปนั่งเล่นที่สวนสาธารณะ สูดอากาศบริสุทธิ์ พาไปเที่ยวยังสถานที่เดิม ๆ ไปเจอคนรู้จัก ซึ่งต่างพากันเข้ามาให้กำลังใจ บอกให้ฉันเข้มแข็งและสู้ต่อไป น้องพูดกับฉันว่า

“ฉันก็ไม่รู้จะช่วยพี่ยังไง เพราะฉันก็ไม่เคยเจอปัญหาแบบนี้มาก่อน สิ่งที่พอจะให้ได้ก็มีแค่กำลังใจเท่านั้น”

เขาไม่รู้หรอกว่าคำพูดและกำลังใจของเขาเป็นแรงผลักดันสำคัญให้ฉันมีพลังในการใช้ชีวิตต่อไป ทำให้ฉันคิดได้ว่า “ถ้าเราไม่สู้ เราจะมีชีวิตต่อไปเพื่ออะไร ถ้าเราท้อลูกเราจะอยู่อย่างไร เรายังมีภาระอีกมากที่ต้องดูแล จะยอมแพ้ไม่ได้”

ตั้งแต่นั้นฉันก็ออกมาขายของเหมือนเดิมใช้ชีวิตตามปกติ แม้ช่วงแรกลูกค้าจะหายไปบ้าง แต่เมื่อเขารู้ข่าวก็กลับมาเป็นลูกค้าประจำเช่นเดิม

ฉันคิดถึงอนาคตว่าตอนนี้ลูกชายกำลังเรียนอยู่ชั้น ม.5 อีกไม่นานต้องเข้ามหาวิทยาลัยส่วนลูกสาวก็กำลังเรียนหนังสือเช่นกัน ฉันจึงสมัครเรียนชงกาแฟโบราณ และเปิดร้านกาแฟเพื่อหารายได้เสริม ฉันเป็นคนชงกาแฟ ส่วนน้องเป็นลูกมือคอยช่วยทำในสิ่งที่ฉันไม่ถนัด

ตอนนี้ชีวิตฉันกำลังดำเนินไปด้วยดี แม้จะเดินไม่ได้เหมือนเมื่อก่อน แต่ก็ไม่เคยคิดท้อใจ พยายามใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบันการที่ฉันเดินผ่านความตายถึง 2 ครั้ง ทำให้คิดได้ว่า เราไม่มีทางรู้เลยว่าวันไหนคือวันสุดท้ายของเรา ฉะนั้นเราต้องมีสติอยู่ตลอดเวลา ดำรงชีวิตด้วยความไม่ประมาท และพยายามทำปัจจุบันให้ดีที่สุด

ใครผ่านมาแถวตลาดสวนมะม่วง อำเภอเมืองฯ จังหวัดจันทบุรี อย่าลืมแวะอุดหนุนเห็ดและกาแฟโบราณที่ร้าน Pla na ka ของคุณปลา หญิงแกร่งหัวใจสู้กันนะคะ


ข้อคิดจากพระวิชิต ธมฺมชิโต วัดโพธิ์เผือก จังหวัดนนทบุรี       

เรื่องราวชีวิตของโยมปลาได้แสดงให้เห็นถึงคุณค่าของสติปัญญา และกัลยาณมิตร ว่าคือคุณค่าอันแท้จริงที่จะนำเราพ้นจากความทุกข์ได้ในทุกสถานการณ์หากความบอบช้ำจากปัญหาครอบครัวทำให้เธอสติแตก หรืออุบัติเหตุครั้งใหญ่ทำให้เธอสูญสิ้นสติสัมปชัญญะลงแล้ว ร่างกายที่เหลือแม้จะอยู่ครบถ้วนสมบูรณ์ก็คงไร้คุณค่าไปอย่างสิ้นเชิง ในอีกด้านหนึ่งคนที่ยังมีสติสมบูรณ์ในร่างกายที่มิได้พิกลพิการ แต่เมื่อชีวิตต้องเผชิญกับปัญหาแล้วไม่รู้จักใช้ปัญญา ไม่มีกัลยาณมิตร ก็พานพาให้จมสู่ห้วงแห่งความทุกข์จนหาทางออกไม่ได้ถึงขั้นปลิดชีวิตตนเองไปก็มี

สติที่สมบูรณ์ของโยมปลาแม้อยู่ในกายที่บกพร่อง แต่เมื่อประกอบด้วยปัญญาคือความรู้จักคิด (โยนิโสมนสิการ) มีกัลยาณมิตร ทั้งแม่ น้องสาว หลวงพ่อที่วัด หนังสือธรรมะที่อ่านรวมทั้งลูกค้าที่กลับมาอุดหนุนเธอเช่นเดิมมาคอยประคับประคองให้สติชี้ทางที่ควรเดินและเป็นกำลังใจอยู่ข้างๆ ผนวกเข้ากับความพากเพียรแข็งขันสร้างกรรมใหม่ สู้ชีวิตอย่างไม่ย่อท้อ ก็ทำให้เธอฝ่าฟันอุปสรรค ก้าวออกจากความทุกข์ยืนหยัดขึ้นได้อีกครั้ง ความผิดพลาดบอบช้ำจากชีวิตครอบครัว ความสูญเสียทั้งทรัพย์สิน สามี และขาทั้งคู่ที่พาเธอก้าวเดินมาตลอดนั้น ก็ไม่สามารถกักขังเธอให้จมอยู่ในห้วงแห่งทุกข์ได้ตลอดไป

เรื่องของวิบากหรือบุญกรรมในอดีตชาติที่ชาวพุทธเรามักยกขึ้นอธิบายเบื้องหลังเรื่องราวต่างๆ นั้น นอกจากพระพุทธองค์แล้ว ไม่มีใครรู้ชัดหรอกว่าเราทำอะไรไว้ในอดีต จึงส่งผลสู่ปัจจุบันเช่นนี้ ดังนั้นหน้าที่ของเราเมื่อเจอทุกข์ พบอุปสรรค จึงไม่ใช่เที่ยววิ่งแก้กรรมชำระอดีต แต่ควรเร่งสร้างกุศลกรรมใหม่ด้วยสติและปัญญาอย่างไม่ย่อท้อ รู้จักเข้าหากัลยาณมิตร ดังที่โยมปลาได้ใช้ชีวิตของเธอแสดงให้เราได้เห็นประจักษ์ถึงคุณค่าของกรรมใหม่ที่ใช้แก้กรรมเก่าได้อย่างชัดเจน

เรื่อง คุณปลา เรียบเรียง พิชญา ภาพ สรยุทธ พุ่มภักดี สไตลิสต์ ณัฏฐิตา เกษตระชนม์

Secret คือแรงบันดาลใจ
สั่งซื้อนิตยสารหรือสมัครสมาชิก Secret ได้ที่ 0-2423-9889
ทาง Naiin.com : https://www.naiin.com/magazines/title/SC/

Posted in MIND
BACK
TO TOP
cheewajitmedia
Writer

© COPYRIGHT 2024 AME IMAGINATIVE COMPANY LIMITED.