มนุษย์ยังคงหลับใหลอยู่ใน ถ้ำทองของกิเลส โดย ท่าน ว.วชิรเมธี
ท่ามกลางกระแสสังคมยุคปัจจุบัน คนส่วนใหญ่มัวแต่ยุ่งกับการใช้ชีวิตอยู่ในวังวนของกิเลส เหมือนกับเรื่องราวของพญานาคราชที่มัวแต่อยู่ใน ถ้ำทองของกิเลส
นานมาแล้วผู้เขียนได้อ่านหนังสือพุทธประวัติอยู่เล่มหนึ่ง เป็นพุทธประวัติสำหรับเด็ก เล่าเหตุการณ์ไว้ตอนหนึ่งว่า ก่อนที่พระโพธิสัตว์สิทธัตถะจะได้ตรัสรู้นั้น พระองค์ทรงกลับมาเสวยพระกระยาหาร เมื่อเสวยพระกระยาหารแล้ว พระองค์ก็ดำเนินไปที่แม่น้ำเนรัญชรา จากนั้นพระองค์ทรงลอยถาด ถาดก็ลอยทวนกระแสน้ำไป ลอยไปได้สัก 80 ศอกก็จมลงใต้บาดาล ใต้บาดาลนั้นมีถาดของพระโพธิสัตว์ก่อนหน้านั้น 3 องค์ ซึ่งเคยมาลอยถาดที่นี่เหมือนกัน ถาดทั้งหมดวางซ้อนกันอยู่
ถาดของพระโพธิสัตว์องค์ปัจจุบันคือ พระโพธิสัตว์สิทธัตถะลอยลงไปกระทบกับถาด 3 ใบที่ซ้อนกันอยู่ใต้น้ำ เสียงถาดกระทบกันดัง “กริ๊ก” พญานาคซึ่งนอนหลับอยู่ใต้น้ำก็สะดุ้งตื่น เพราะได้ยินเสียงถาดกระทบกันพญานาคก็อุทานขึ้นมาว่า “โอ นี่คงเป็นถาดของพระโพธิสัตว์อีกพระองค์หนึ่งแล้วสิ แหม! เมื่อวานก็มาตรัสรู้องค์หนึ่ง วันนี้มาอีกองค์หนึ่งแล้วหรือ ตรัสรู้บ่อยจัง” คำว่าบ่อยจังของพญานาคนี่ไม่ใช่แค่วันต่อวัน แต่ยาวนานถึงขนาดที่ว่าโลกวินาศไปหนึ่งครั้งแล้วพระโพธิสัตว์ถึงมาตรัสรู้อีกองค์หนึ่ง แต่แม้เวลายาวนานนับกัปกัลป์ขนาดนี้ พญานาคก็ยังบอกว่าเร็วไปหน่อย ทำไมพญานาคจึงพูดอย่างนี้ เพราะเอาแต่หลับแต่นอน มีความสุขอยู่กับการหลับอยู่ในถ้ำทองของกิเลส
ระยะเวลาหนึ่งกัปหนึ่งกัลป์นั้นยาวนานแค่ไหน ถ้าจะเปรียบเทียบก็คงเปรียบดังมหาสมุทรที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลมาก ใต้ก้นมหาสมุทรนั้นมีเต่าตาบอดอยู่ตัวหนึ่งพอครบ 100 ปี เต่าตัวนี้จะโผล่ขึ้นมาเหนือผิวน้ำ เหนือผิวน้ำนั้นมีห่วงยางลอยอยู่ห่วงหนึ่ง ลอยฟ่องถูกลมตีลอยไปลอยมา โอกาสที่เต่าจะเอาหัวมันสอดเข้าไปในห่วงยางจึงยากมหาศาล แต่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “การเกิดเป็นคนยากยิ่งกว่านั้น” และกว่าที่เต่าตาบอดตัวนั้นจะสอดหัวเข้าไปในห่วงยางได้ก็กินเวลายาวนานยิ่งกว่านั้นอีกนับแสนนับล้านเท่า เวลาที่แสนยาวนานและอุปมาไม่ได้นั้น พอจะอนุโลมเรียกว่าหนึ่งกัป
ทีนี้เจ้าพญานาคราชนั้นรู้สึกว่าเมื่อวานพระโพธิสัตว์มาตรัสรู้องค์หนึ่งไปหยก ๆ วันนี้มาอีกแล้ว แสดงว่าพญานาคนอนหลับลึกขี้เซาสุด ๆ หลับไปเลยหนึ่งกัปหนึ่งกัลป์ จนมีเสียงถาดกระทบกันปลุกให้ตื่น แต่ตื่นแล้วแทนที่จะลุกขึ้นมาฟังธรรมของพระโพธิสัตว์ซึ่งกำลังจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า กลับไม่ฟังขอหลับต่อ
คำถามก็คือว่า…
อะไรคือเสียงถาดกระทบกัน อะไรคือพญานาคขี้เซาตนนั้น เสียงถาดกระทบกันดัง “กริ๊ก” แสดงถึงการมาของพระพุทธเจ้า แสดงถึงการมาของพระธรรม แสดงถึงการมาของพระอริยสงฆ์ แสดงถึงการมาของยุคตื่นรู้ทางปัญญาและจิตวิญญาณครั้งยิ่งใหญ่ของโลกคือการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ส่วนพญานาคขี้เซาก็คือพวกมนุษย์อย่างเรานี่เองที่ไม่มีเวลาสนใจใฝ่พระธรรม
ในทำนองเดียวกัน เมื่อมีการแสดงพระธรรมเทศนา หลายคนได้ทราบข่าวล่วงหน้าก่อนแล้ว รู้แล้วว่ามีธรรมะมา รู้แล้วว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ กำลังจะมาถึง แต่ทั้ง ๆ ที่รู้นั่นแหละ เราก็ “ไม่สนใจ ไม่ว่าง งานยุ่ง ไว้โอกาสหน้าก่อนเถิด”
อาการผัดเพี้ยนต่อความสนใจในธรรมอย่างนี้แหละ เราเรียกว่าเป็นการ “หลับ” ในภาษาธรรม หรือตื่นอยู่อย่างผู้หลับใหล ตื่นคือ รู้ว่าธรรมะเป็นของดี หลับอยู่ คือเอาไว้ก่อน วันหลังค่อยสนใจ หรือแก่แล้วค่อยสนใจ หรือป่วยแล้วค่อยสนใจ การรู้ว่าอะไรดี แต่ไม่มีเวลาสนใจ การผัดวันประกันพรุ่งต่อความดีงาม ต่อการสร้างสรรค์พัฒนาการ ไม่สนใจใฝ่ศึกษาหาความรู้ว่าสัจธรรมของชีวิตคืออะไร เราเกิดมาทำไม สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตนี้คืออะไร ด้วยการอ้างเหตุผลต่าง ๆ นานาอย่างนี้เรียกว่าเป็นการ “หลับอยู่ของผู้ตื่นแล้ว” คือตาตื่น ใจยังหลับอยู่กับกิเลสต่อไป หรือจะเรียกว่า “ตื่นอยู่อย่างผู้หลับใหล” ก็ได้
คนบนโลกจำนวนมากชอบทำตัวเป็นพญานาคราชขี้เซาตนนั้น รู้อยู่ว่ามีสัจธรรมในนามพุทธศาสนา รู้อยู่ว่ามีวัดตรงนี้ รู้อยู่ว่ามีพระมาแสดงธรรม รู้อยู่ว่าเขาสอนวิปัสสนากรรมฐาน แต่แล้วเราก็มีเหตุผลร้อยแปด-พันเก้าเอาไว้อ้างกับตัวเองหรู ๆ “ธรรมะเป็นเรื่องของคนแก่ ฉันยังไม่แก่ เอาไว้ก่อน” “จะให้ไปวัดตอนนี้เหรอ ไม่ได้หรอก เสียภาพลักษณ์ ยังหนุ่มยังสาวอยู่เลย ขอทำงานก่อน หากินก่อน ขอเที่ยวก่อน” เราให้เหตุผลกับตัวเองแบบนี้ แล้วผัดวันประกันพรุ่งอยู่ตลอด
บางคนว่า “ไม่ได้หรอก งานฉันยุ่งไว้ว่างก่อนแล้วค่อยไปฟัง”
บางคนก็อวดดีบอกว่า “พระอยู่ที่ใจ” แต่พอถึงเวลาตายก็เห็นมานิมนต์พระที่วัดทุกที ไม่เห็นนิมนต์พระที่ใจมาสวด
คนที่หลับใหลอยู่ในถ้ำทองของกิเลสก็เหมือนพญานาคที่มักหาเหตุผลให้ตัวเองไม่สนใจในสัจธรรมความดีได้เสมอ แต่แล้ววันหนึ่งเขาก็ได้พบว่า เขาไม่อาจเบือนหน้าหนีสัจธรรมได้ เพราะสัจธรรมคือ ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ทุกข์ตรมขมไหม้ที่ต้องเจอในชีวิตทั้งนั้น มีความเป็นสากล เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องพบอยู่แล้วในชีวิตนี้ พุทธศาสนาไม่เดือดร้อนไม่ว่าอะไรหากคนไม่สนใจพุทธศาสนา เราเพียงแต่นำเสนอความจริงอย่างเป็นกลาง
เสรีภาพในการนับถือศาสนานั้นเป็นเรื่องของมนุษย์ แต่ถ้าเมื่อไหร่เราบอกว่าเป็นชาวพุทธ คือปฏิญาณว่าเป็นชาวพุทธแล้วอย่างน้อยก็ควรหาความรู้ในทางพุทธศาสนาเอาไว้บ้าง มิเช่นนั้นจะเป็นการนับถือที่สูญเปล่าเหมือนกบเฒ่านั่งเฝ้ากอบัว ไม่เคยลิ้มชิมเกสรบัว ปล่อยให้แมลงภู่บินจากที่อื่นมาชมเชยเกสรไป ตัวเองก็เฝ้าอยู่อย่างนั้น เป็นกบเฒ่าที่ไม่รู้ภูมิรู้ภูมิธรรมอะไรเลย เกิดมาอย่างกบตัวหนึ่ง ตายอย่างกบตัวหนึ่งเท่านั้น ที่ถูกนั้นคือเกิดมาอย่างกบ แต่ควรจะตายอย่างกบที่เป็นอรหันต์ก็จะไม่เสียชาติกบ
เราต้องเลิกทำตัวเป็นพญานาคที่เห็นแก่หลับแก่นอน ที่หันหลังให้สัจธรรมชั่วนาตาปี มาเป็นพญานาคในรูปแบบใหม่ที่พอได้ยินเสียงถาดของพระโพธิสัตว์แล้วก็ลุกขึ้นมารอเฝ้าพระพุทธเจ้าเป็นคนแรกหลังตรัสรู้ พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้อยู่หน้าบ้าน จะปล่อยให้เสียสิทธิ์การฟังธรรมเป็นคนแรกก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรแล้ว
เรื่อง ท่าน ว.วชิรเมธี
บทความที่น่าสนใจ
เชษฐ์ วรเชษฐ์ เอมเปียร์ กับชีวิตในแบบ “ธรรมะ ธรรมชาติ ธรรมดา”
อีกมุมของ เจมส์ มาร์ พระเอกวัยใสหัวใจธรรมะ
“จิตไม่มีปัญญา ย่อมหลงกลลวงของกิเลส” ธรรมะดี ๆ โดย หลวงพ่อทูล ขิปฺปปญฺโญ