เปิดตัว “L’Oréal Water Saver” นวัตกรรม Beauty Tech ล่าสุด ที่งาน CES 2021 ซึ่งเป็นระบบดูแลเส้นผมเพื่อความยั่งยืนสำหรับร้านซาลอนและสำหรับการใช้ที่บ้าน โดยลอรีอัลได้พัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าวร่วมกับโจซา (Gjosa)
บริษัทนวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม โดย L’Oréal Water Saver นำเสนอการสระและดูแลเส้นผมรูปแบบใหม่ด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัยที่จะช่วยประหยัดน้ำได้มากยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกันก็ยกระดับความหรูหราและประสิทธิภาพ
การสระผมที่ร้านซาลอนนับเป็นบริการที่เป็นที่ชื่นชอบของผู้คนมาหลายยุคสมัย และด้วยนวัตกรรม L’Oréal Water Saver การสระผมรูปแบบใหม่นี้จะเป็นมิตรต่อโลกเรามากยิ่งขึ้น จากนวัตกรรมที่สามารถประหยัดน้ำได้มากถึง 80% ลอรีอัลได้พลิกโฉมประสบการณ์สระผมแบบดั้งเดิม ด้วยนวัตกรรมที่ผสานเทคโนโลยีการใช้น้ำพลังงานสูงให้เกิดประโยชน์สูงสุดเข้ากับผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผมที่ออกแบบมาเป็นพิเศษจากแบรนด์ลอรีอัล โปรเฟสชั่นแนล (L’Oréal Professionnel) และเคเรสตาส (Kérastase) ซึ่งผลิตภัณฑ์จะถูกปล่อยออกมาพร้อมกับกระแสน้ำ
“ลอรีอัลเชื่อว่า ความรับผิดชอบของเราคือการทำธุรกิจโดยคำนึงถึงการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติบนโลก น้ำทุกหยดนั้นมีค่า ด้วยเหตุนี้ เทคโนโลยีใหม่ของลอรีอัลจึงให้ความสำคัญกับน้ำทุกหยด L’Oréal Water Saver ถือเป็นการยกระดับนวัตกรรม Beauty Tech ของเราไปอีกขั้น ด้วยการมอบประสบการณ์การดูแลเส้นผมที่ยอดเยี่ยม ที่มาพร้อมความยั่งยืนซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในธุรกิจของเราในทุกมิติ”
นิโคลา อิโรนิมุส รองประธานบริหารสูงสุด ลอรีอัล กรุ๊ป กล่าว
นวัตกรรม L’Oréal Water Saver เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่างศูนย์บ่มเพาะนวัตกรรมเทคโนโลยีของลอรีอัล และโจซา (Gjosa) บริษัทนวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อมจากสวิตเซอร์แลนด์ จนได้ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมชิ้นแรกของโลกที่ผสานความเชี่ยวชาญด้านสูตรผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมของลอรีอัลที่มีมานานกว่าศตวรรษ เข้ากับเทคโนโลยีการใช้น้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุดของโจซา ที่ใช้หลักการแยกส่วนซึ่งเป็นเทคโนโลยีเดียวกับที่ใช้ในเครื่องยนต์สำหรับจรวด เพื่อกำหนดรูปแบบการไหลของน้ำ โดยหยดน้ำจะไหลออกมาปะทะกันตามทิศทางที่กำหนดและกระจายตัวอย่างสม่ำเสมอ ทำให้ขนาดของหยดน้ำนั้นเล็กลง และเร่งให้เกิดความเร็วของกระแสน้ำ ส่งผลให้กระแสน้ำที่ไหลออกมาสามารถนำมาสระและชะล้างเส้นผมได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังทำให้แชมพู ครีมนวด และทรีทเมนต์อื่น ๆ สามารถล้างออกได้ง่าย
ฟีเจอร์สุดล้ำจาก L’Oréal Water Saver ประกอบด้วย
- ความเร็วระดับสูงของกระแสน้ำ และช่วยลดปริมาณการใช้น้ำได้มากถึง 80% เมื่อเทียบกับการสระผมตามปกติ: L’Oréal Water Saver ใช้ปริมาณน้ำ 2 ลิตรต่อนาที เมื่อเทียบกับการสระผมทั่วไปที่บ้านซึ่งใช้ปริมาณน้ำถึง 8 ลิตร โดยไม่นับรวมความแตกต่างของแรงดันน้ำ
- ประสบการณ์การดูแลเส้นผมรูปแบบใหม่ด้วยเทคโนโลยีการทำความสะอาด Cloud Cleansing ภายใต้การจดทะเบียนสิทธิบัตร: ด้วยรูปแบบการพ่นน้ำที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ ส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ที่มีขนาดเล็กระดับไมโครจะผสานเข้ากับสายน้ำ โดย L’Oréal Water Saver จะทำให้หยดน้ำมีขนาดเล็กกว่าปกติถึง 10 เท่า เพื่อให้น้ำเข้าสู่เส้นผมได้ดีกว่าเดิม และล้างออกได้รวดเร็วขึ้นกว่าเดิม
- แดชบอร์ดข้อมูลและรายงานการใช้ทรัพยากร: ข้อมูลการประหยัดน้ำและต้นทุนจะแสดงอยู่บนแดชบอร์ดที่จัดทำขึ้นมาสำหรับเจ้าของร้านซาลอน โดยมีบันทึกรวมประวัติการดูแลเส้นผมแสดงอยู่ด้วย นอกเหนือไปจากการติดตามผลในเรื่องการประหยัดน้ำ พลังงาน และต้นทุน
“ภารกิจของศูนย์บ่มเพาะนวัตกรรมเทคโนโลยีของลอรีอัลตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาคือ มุ่งมั่นในการผสานความงามเข้ากับเทคโนโลยี โดยเป้าหมายของเราคือการท้าทายตัวเองให้สร้างสรรค์ประสบการณ์ความงามรูปแบบใหม่ที่ดีกว่าเดิม ทรงประสิทธิภาพกว่าเดิม และมอบผลลัพธ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะบุคคลให้ดียิ่งขึ้นเพื่อลูกค้าของเรา ทั้งนี้ นวัตกรรม L’Oréal Water Saver เกิดจากเทคโนโลยีที่มีความล้ำสมัย แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเทคโนโลยีนี้ช่วยยกระดับประสบการณ์การดูแลเส้นผมของลูกค้า รวมถึงสร้างความตื่นเต้น และสร้างแรงบันดาลใจให้กับบรรดาลูกค้าของเรา”กุยเว่ บาลูค หัวหน้าศูนย์บ่มเพาะนวัตกรรมเทคโนโลยีของลอรีอัล กล่าว
“L’Oréal Water Saver เป็นผลลัพธ์ที่เกิดจากการเป็นพันธมิตรที่ยอดเยี่ยมของทั้ง 2 บริษัท ซึ่งนำนวัตกรรมการดูแลเส้นผมที่สั่งสมมานานกว่าศตวรรษมาผนวกกับเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย ก่อเกิดเป็นประสบการณ์ใหม่แก่ผู้บริโภคที่ควบรวมความยั่งยืน โดยเราหวังที่จะเห็นนวัตกรรมนี้มีการใช้งานทั่วโลก” อามิน อับดุลลา ผู้ร่วมก่อตั้งโจซา กล่าว
L’Oréal Water Saver เปิดให้สัมผัสประสบการณ์แล้วที่ร้านซาลอนของลอรีอัลในนิวยอร์กและปารีส โดยจะมีการขยายบริการนี้ออกไปในประเทศต่างๆ ในปี 2564 และ 2565 บริษัทฯ คาดว่าในอีก 2-3 ปีข้างหน้าจะสามารถขยายบริการ L’Oréal Water Saver ได้ในซาลอนอีกหลายพันแห่งทั่วโลก ซึ่งจะช่วยประหยัดน้ำได้เป็นจำนวนมหาศาล หรือสูงสุดประมาณ 1 พันล้านแกลลอน หรือ 2.8 พันล้านลิตรต่อปี ส่วนอุปกรณ์ที่สามารถติดตั้งเพื่อการใช้งานภายในบ้านนั้น จะเปิดตัวในภายหลังจากนี้