ชีวิตผมคงไม่ต่างอะไรจากท่อนไม้ที่มองเห็นและมีความรู้สึกทุกอย่าง แต่พูดหรือแม้แต่ กระดุกกระดิกตัวก็ยังทำไม่ได้ และมันคงเป็นแบบนี้ไปตลอดทั้งชีวิต ถ้า…
ผมชื่อ “เก่ง” ชีวิตผมก็เหมือนกับคนทั่วไปที่ทำงานและเริ่มประสบความสำเร็จในชีวิตเมื่ออายุเข้าใกล้เลขสาม การออกมาอยู่ลำพังโดยไม่มีพ่อแม่มาคอยพร่ำบ่นทำให้ทุกวันของผมมีแต่ความสนุกสนานและความสุข ช่วงกลางวันผมทำงานเป็นเชฟมืออันดับต้น ๆ ของห้องอาหารอิตาลีสุดหรูใจกลางกรุงเทพฯ พอตกกลางคืนผมก็มีปาร์ตี้ที่สนุกสุดเหวี่ยงกับเพื่อน ๆ ทุกวันผมไม่เคยสะกดคำว่า “เหงา” ได้เลยสักครั้ง แม้แฟนจะอยู่ไกลออกไปอีกหลายจังหวัดก็ตาม
วันหนึ่งแม่โทรศัพท์มาบอกว่า จะย้ายไปหางานทำที่อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุร ี เพราะที่นั่นอากาศดี เหมาะกับคนแก่อายุ 60 กว่าอย่างพ่อและแม่มากกว่าในเมืองกรุง แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าท่านคงลำบาก ไม่มีเงินใช้ในช่วงแรก แต่ผมก็ส่งเงินให้ท่านได้เพียงเดือนละสองถึงสามพันบาทเท่านั้น ก็อย่างที่บอกว่าผมมีอะไรให้ทำอีกตั้งเยอะ
ไม่กี่เดือนต่อมา ช่วงสายวันหนึ่ง ผมตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกว่าร่างกายมีอาการผิดปกติ มือ ขา และอวัยวะซีกซ้ายทั้งหมดชาจนแทบจะไม่มีความรู้สึก ผมรีบใช้กำปั้นอีกข้างซึ่งขณะนั้นก็เริ่มอ่อนแรงลงเช่นกันเหวี่ยงลงไปที่ต้นขาข้างซ้าย และทุบอยู่อย่างนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่านานนับชั่วโมง ไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดใด ๆ เกิดขึ้นเลย ซ้ำร้ายทุกอย่างยิ่งแย่ลงไปกว่าเดิม ปากของผมเริ่มเบี้ยว ลิ้นก็เริ่มเกร็งและมีทีท่าว่าจะแข็งตามไปด้วย ผมรีบใช้กำลังเฮือกสุดท้ายที่มี เอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือซึ่งอยู่ไม่ไกล แล้วกดเบอร์ด้วยความยากลำบาก คนแรกที่ผมนึกถึงคือแม่ ทันทีที่แม่รับสายผมพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงว่า “แม่! ช่วยด้วย เก่งเป็นอะไรไม่รู้ ขยับตัวไม่ได้” แต่ยัง ไม่ทันที่แม่จะถามอะไร ผมก็หมดสติไม่รับรู้อะไรอีกเลย…
แม่เล่าว่า…ทันทีที่วางสายแม่ตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น รีบกระหืดกระหอบออกจากห้องเช่าที่จังหวัดราชบุรี มีเงินติดตัวอยู่ไม่ถึงสองพันบาท ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าคงไม่เพียงพอกับการควานหาตัวลูกชายโดยไร้จุดมุ่งหมายอย่างแน่นอน เพราะเก่งไม่เคยบอกแม่เลยว่าพักอยู่ที่ไหน สิ่งเดียวที่แม่พอรู้คือ เก่งทำงานเป็นเชฟอยู่ร้านอาหารอิตาลีย่านสีลมเท่านั้น
แม่ก้าวเท้าขึ้นรถตู้ที่ชาวบ้านบอกว่าใช้เวลาเพียงชั่วโมงกว่า ๆ ก็ถึงกรุงเทพฯ แต่โชคร้ายระหว่างทางมีงานรับปริญญาของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง รถจึงเคลื่อนตัวได้ช้ากว่าปกติ กว่าจะถึงกรุงเทพฯเวลาก็ล่วงมาเกือบสี่ชั่วโมงเต็ม การตามหาลูกชายกลางเมืองหลวงเริ่มต้นขึ้นทันทีที่ลูกชายคนโตตามมาสมทบ พี่ชายพยายามโทร.ถามเพื่อนของเก่งหลายครั้ง แต่ก็ไม่มีใครรับสาย ทุกอย่างเหมือนจะมืดแปดด้านไปหมด โชคยังดีที่ได้แท็กซี่ใจดีช่วยขับรถตระเวนรอบสีลมให้ทั้งที่การจราจรติดขัด แม่วิ่งเข้าออกแทบทุกอพาร์ตเมนต์พร้อมชูรูปลูกชายจากโทรศัพท์มือถือ แต่ไม่มีใครคุ้นหน้าเก่งเลยสักคน เวลาผ่านไปจนพลบค่ำก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะหาพบ แล้วเสียงสวรรค์ก็ดังขึ้น เป็นเสียงโทรศัพท์มือถือของพี่ชาย ซึ่งสายที่โทร.เข้ามาคือเพื่อนของเก่ง แม้เขาจะไม่ทราบว่าอพาร์ตเมนต์ที่เก่งพักมีชื่อว่าอะไร แต่อย่างน้อยเขาก็บอกได้ว่าที่ทำงานของเก่งอยู่ที่ไหน เพราะที่พักน่าจะอยู่ไม่ไกลกันนัก
แม่ใจเต้นไม่เป็นส่ำเมื่อเริ่มมองเห็นหนทางหาตัวลูก แม้ซอยนี้จะมีอพาร์ตเมนต์มากกว่าสิบแห่งและมีตรอกเล็กซอยน้อยเต็มไปหมด แต่ก็ไม่ทำให้แม่หมดกำลังใจแต่อย่างใด หลังจากที่เดินหาจนครบทุกแห่งแต่ไม่มีวี่แววของเก่ง แม่ยกมือขึ้นเหนือหัวพร้อมอธิษฐานขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยปกป้องคุ้มครองลูกเก่งของแม่ด้วย ทันใดนั้นหางตาแม่ก็เหลือบไปเห็นอพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นที่ที่แม่เคยเดินเข้าไปถามหาเก่งมาแล้ว แต่ครั้งนี้เหมือนมีบางสิ่งดลใจให้แม่เดินเข้าไปใกล้ ๆ พร้อมกับตะโกนเสียงดังว่า “เก่ง ๆ ๆ อยู่ที่นี่รึเปล่าลูก เก่งได้ยินแม่ไหม แม่มาช่วยเก่งแล้ว” ทันใดนั้นก็มีเสียงของหล่นดังโครม! แม่รีบวิ่งเข้าไปในตัวอาคารทันที โดยมีพี่ชายและคนขับแท็กซี่ตามมาไม่ห่าง
อพาร์ตเมนต์จำนวนสี่ชั้นไม่ได้เป็นอุปสรรคของแม่แต่อย่างใด หลังจากได้รับอนุญาตจากเจ้าของ แม่ก็ทั้งวิ่งทั้งตะโกนเรียกชื่อเก่ง แม้จะไม่แน่ใจว่าเสียงของหล่นเมื่อสักครู่นี้เป็นเสียงของเก่งหรือไม่ แต่แม่ก็วิ่งตามหาต้นตอของเสียงทุกชั้นจนถึงชั้นที่สาม หลังจากตะโกนเรียกลูกชายจนเกือบถึงห้องสุดท้าย แม่ได้ยินเสียงคล้ายอะไรบางอย่างกระทบพื้นกระเบื้องดังตึง! ตึง! แม่เงี่ยหูฟังพร้อมตะโกนขึ้นอีกครั้งว่า “ใช่เก่งรึเปล่าลูก” แล้วก็เกิดเสียงตึงดังขึ้นอีกครั้งแม่คิดว่าต้องเป็นเก่งแน่ ๆ จึงบอกให้ลูกชายคนโตรีบวิ่งลงไปตามเจ้าของอพาร์ตเมนต์มาช่วยไขกุญแจห้องให้ วินาทีแรกที่เปิดประตูเข้าไปแม่แทบไม่เชื่อสายตาตัวเองว่าเป็นเก่งของแม่จริง ๆ แม่น้ำตาไหลพรากโผเข้าไปกอดลูกชาย ซึ่งบัดนี้นอนตาลุกโพลง ตัวแข็งทื่อ เพียงอึดใจพี่ชายและคนขับแท็กซี่ก็ช่วยกันอุ้มตัวเก่งลงมาพร้อมขับรถไปโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ที่สุดทันที
พยาบาลรีบนำตัวเก่งเข้าห้องไอซียู ไม่กี่ชั่วโมงแพทย์ก็วินิจฉัยว่า เก่งเป็นโรคเส้นเลือดในสมองแตก ซึ่งปกติมีโอกาสเสียชีวิตสูงมาก แต่โชคดีที่กรณีของเก่งเลือดแข็งตัวเร็วจึงไม่เสียชีวิต แต่เก่งจะกลายเป็นอัมพาตขยับตัวไม่ได้ตลอดไป สิ้นเสียงหมอ พ่อ แม่ และพี่ชายทุกคนกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ด้วยความสงสาร ได้แต่ปลอบใจกันและกันว่า คงเป็นเวรกรรมที่ทำให้เก่งต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้…
ผมนอนไม่ได้สติอยู่ในโรงพยาบาลราวสองวัน และกลับมารู้สึกตัวอีกครั้งพร้อมอาการมึนงงและปวดหัวอย่างรุนแรง ผมสงสัยมากว่าทำไมป้าคนนี้ถึงมายืนร้องไห้อยู่ใกล้ ๆ แถมยังเรียกผมว่าลูกทุกคำด้วย ไม่เพียงเท่านั้นผมยังจำใครไม่ได้เลยสักคน รู้แต่เพียงว่า ป้าคนนี้มาคอยช่วยเหลือดูแลผมทุกอย่าง แถมยังพร่ำบอกให้ผมเรียกว่า “แม่” ด้วย แต่จะให้ผมเรียกป้าว่าแม่ได้ยังไงกัน ในเมื่อผมยังจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าแม่ของผมหน้าตาเป็นอย่างไร
ป้า ลุง และพี่ผู้ชายคนหนึ่งมักผลัดกันคอยดูแลผม แรก ๆ ผมอายมากที่ป้าคอยเช็ดล้างและทำความสะอาดร่างกายให้ด้วยความเต็มอกเต็มใจ ภายหลังการพักฟื้นถึงหนึ่งเดือนเต็มที่โรงพยาบาล ผมเริ่มเรียกป้าคนนั้นว่าแม่ พร้อมเรียกลุงว่าพ่อด้วย หลังจากที่หมอบอกให้กลับบ้าน พ่อกับแม่ก็พาผมเดินทางไกลมาที่บ้านแห่งหนึ่ง ซึ่งแวดล้อมไปด้วยภูเขาและต้นไม้ แม่เรียกที่นี่ว่า “สวนผึ้ง” แม่บอกว่าที่นี่อากาศดี ผมจะหายเร็วกว่าอยู่กรุงเทพฯ แล้วแม่ก็ยังบอกอีกว่า ผมโชคดีที่เจ้านายฝรั่งเอ็นดูช่วยจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ทั้งหมด เขายังให้เงินแม่มาดูแลผมอีกก้อนหนึ่งด้วย
พ่อและแม่ของผมอายุหกสิบกว่าแล้วทั้งคู่ แม้ท่านจะแก่ชราแล้ว แต่ท่านก็ยังช่วยกันพยุงผมนั่งบนรถเข็น กางร่มให้เพราะกลัวแดดจะร้อน แล้วเข็นรถพาผมไปทำกายภาพบำบัดทุกสองถึงสามวัน ระหว่างทางท่านไม่เคยหยุดพักและมักจะสอนผมเสมอว่า ลูกต้องหมั่นทำกายภาพบำบัดบ่อย ๆ นะ พ่อกับแม่เชื่อว่าเก่งทำได้ ถึงหมอที่กรุงเทพฯ จะบอกว่าไม่มีทางหายก็ตาม ตอนนั้นแม้สมองจะยังไม่เต็มร้อยนัก แต่ผมก็ปฏิบัติตามด้วยความสงสารท่านจับใจ
ผลของการเชื่อฟังพ่อแม่และพยายามฝึกตามที่หมอกายภาพบำบัดสอน สองเดือนต่อมาผมก็เริ่มพยุงตัวขึ้นมานั่งได้ ขยับแขนขาเองได้เล็กน้อย ซึ่งหมอบอกว่าปาฏิหาริย์มากที่ผมสามารถทำได้ถึงขนาดนี้
เดือนที่สามแม่สอนให้ผมติดกระดุมเสื้อเอง ผมใช้ความพยายามนานนับชั่วโมงกว่าจะติดกระดุมได้ นอกจากนี้แม่ก็ยังสอนวิธีอาบน้ำให้ จนผมสามารถทำได้โดยไม่ต้องมีแม่คอยช่วยอีกต่อไป ทุกวันแม่จะเล่าเรื่องราวชีวิตที่เคยผ่านมาทั้งหมดให้ผมฟังอย่างละเอียด พร้อมคอยสอนผมอยู่เสมอว่าให้คิดดีทำดีและช่วยเหลือตัวเองให้ได้
การพยายามทำกายภาพบำบัดด้วยตัวเองอยู่เสมอทำให้เดือนที่สี่ผมเริ่มพยุงตัวยืนได้ จับช้อนส้อมและกินข้าวได้เอง พัฒนาการที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ ของผมทำให้แม่กล้าเปิดร้านขายกับข้าวบริเวณหน้าบ้าน หลังจากที่ปิดร้านมาหลายเดือนเพราะทุ่มเทดูแลผม แม่บอกว่าขายได้บ้างไม่ได้บ้างก็ไม่เป็นไร ขอแค่เป็นงานที่ได้ดูแลผมไปด้วยก็พอ
พลังแห่งความรักและการดูแลเอาใจใส่ของทั้งพ่อและแม่ทำให้ผมมีใจสู้ พยายามทำกายภาพบำบัดอย่างสม่ำเสมอโดยไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย ผลก็คือ ผมสามารถเดินได้โดยมีไม้ช่วยพยุงภายในเวลาไม่ถึงแปดเดือน จำได้ว่า
วันนั้นผมเห็นรอยยิ้มกว้างฉายอยู่บนใบหน้าของพ่อและแม่เป็นครั้งแรกในชีวิต
เหมือนฟ้าหลังฝนที่ชีวิตกลับมาสดใสอีกครั้ง ทุกอย่างในครอบครัวเราเริ่มดีขึ้น แม่ได้เข้าไปขายขนมบ้าบิ่นอยู่ในบ้านหอมเทียน ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวของอำเภอสวนผึ้ง โดยมีผมเป็นลูกมือคอยช่วย เพราะหลังจากการทำกายภาพบำบัดกว่าหนึ่งปีเต็ม ผมก็สามารถเดินได้เองแม้จะกะโผลกกะเผลก พูดได้เก่งขึ้น แม้บางครั้งจะพูดช้าและปากอาจยังเบี้ยวอยู่บ้าง
ผมรับรู้ได้ว่าแม่ภูมิใจในตัวผมมาก แม้ท่านจะไม่เคยพูดตรง ๆ เพราะหลังจากไปช่วยได้ไม่นาน แม่ก็ปล่อยให้ผมขายขนมเองตามลำพัง…แทบไม่น่าเชื่อที่ขนมของแม่ขายดีมาก ผมหอบหม้อเปล่ากลับบ้านทุกวัน
เงินทุกบาททุกสตางค์แม่ให้ผมเป็นคนดูแลทั้งหมด ผมเก็บเล็กผสมน้อยเพียงไม่กี่เดือนก็ซื้อของขวัญที่ตั้งใจเอาไว้ได้นั่นคือรถยนต์ ผมตัดสินใจซื้อรถกระบะมือสองสภาพดีให้พ่อกับแม่ ท่านจะได้เดินทางสะดวกสบาย ไม่ลำบากเหมือนแต่ก่อน ผมยังได้รับความช่วยเหลือจากพี่ชายด้วย จนสามารถสร้างบ้านเป็นของเราเองที่สวนผึ้งได้ พ่อกับแม่ดีใจมาก ท่านขอบคุณผมพร้อมกับบอกว่าภูมิใจในตัวผมมาก
ทุกวันนี้ผมรู้ตัวเองดีว่าสมองของผมคงไม่มีทางกลับไปเต็มร้อยเหมือนเก่า และคงไม่ได้ใช้ชีวิตเหมือนเดิมอีก แต่ผมกลับรู้สึกโล่งใจ และขอบคุณโรคร้ายนี้ที่ทำให้ผมได้มาอยู่ใกล้ชิดและได้ดูแลพระอรหันต์ในบ้านอีกครั้ง รวมทั้งยังทำให้ผมได้รู้ว่า ความสุขที่แท้จริงในชีวิตคืออะไร
ข้อคิดจาก พระอาจารย์ ดร.นิตินัย ธีรวังโส วัดป่าเมตตาวนาราม จังหวัดเชียงราย
อำนาจแห่งรักของครอบครัวนั้นเป็นความรักที่ยิ่งใหญ่ ยิ่งเป็นรักจากพ่อและแม่ด้วยแล้ว จะมีพลังอานุภาพมหาศาลเกินกว่าประมาณได้ บุคคลที่เชื่อฟังและเคารพพ่อแม่มักพบแต่ความสุขเจริญรุ่งเรือง ดังคำกล่าวของปราชญ์ทั้งหลายว่า “พรอันประเสริฐที่สุดคือพรของพระอรหันต์ในบ้านหรือพ่อแม่นั่นเอง”
ที่มา : นิตยสาร Secret
เรื่อง : ชินพร – พิกุล แช่มประสิทธิ์
เรียบเรียง : ชลธิชา แสงใสแก้ว
ภาพ : วรวุฒิ วิชาธร