เพิ่งรู้ว่า

เพิ่งรู้ว่า ชีวิตตัวเองมีค่า – เรื่องเล่าจากผู้อ่าน

เพิ่งรู้ว่า ชีวิตตัวเองมีค่า – เรื่องเล่าจากผู้อ่าน

โดยทั่วไปแล้วคนส่วนใหญ่คงคิดว่า การเข้าไปนอนพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลนั้นเป็นเรื่องปกติธรรมดาเมื่อมีการเจ็บไข้ แต่สำหรับผมแล้วเป็นประสบการณ์ใหม่เอี่ยมเลยทีเดียว เพราะแม้ผมจะมีอายุเกินครึ่งศตวรรษมาตั้ง 8 ปีแล้ว แต่ยังไม่เคยเจ็บป่วยถึงขั้นต้องนอนโรงพยาบาลเลยแม้เพียงครั้งเดียว

แต่ในที่สุดก็ต้องเสียสถิติจนได้ เพราะคืนหนึ่งตอนประมาณตีสี่ เกิดอาการปวดท้องอย่างรุนแรงเหมือนมีตัวเอเลี่ยนดันทะลุออกมา (ดูหนังมาก) จนต้องปลุกลูกสาวและภรรยาให้พาไปโรงพยาบาล เมื่อไปถึงหน้าห้องฉุกเฉิน เจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบสีขาวเกือบ 10 คนก็กรูกันมาล้อมพร้อมอุปกรณ์ ทั้งเตียงเข็น ช่วยกันประคองลงนั่งรถเข็นอย่างทะนุถนอม แล้วเดินกันเป็นขบวนเข้าห้องฉุกเฉินไป

เมื่ออยู่ในห้องฉุกเฉินแล้ว ผมถูกยกขึ้นนอนบนเตียงอย่างเบาหวิวโดยชายฉกรรจ์ 4 คน พยาบาลมาเจาะเลือดที่นิ้วและวัดความดัน แล้วหมอเวรก็เข้ามาถามอาการพร้อมกับกดท้องตรงนั้นตรงนี้ โดยมีหมอหรือพยาบาลอีกอย่างน้อย 3 คนคอยดูอยู่ใกล้ๆ จากนั้นผมก็ได้ยินคำวินิจฉัยลอยมาจากหลายทิศทาง “เรื่องไส้ติ่งตัดไปได้เลย อาจมีปัญหาที่ไตหรือตับอ่อนอักเสบ ดูหน้าซีดมาก ชีพจรก็ช้าผิดปกติอาจเป็นอาการหลอดเลือดหัวใจตีบ น้ำตาลในเลือดสูง อาจมีเบาหวานด้วย” สิ้นคำวินิจฉัย ภรรยาและลูกของผมก็ถูกกันออกจากห้องด้วยน้ำตานองหน้า

พอม่านถูกปิด กองทัพเสื้อขาวก็เริ่มงานทันที ผมพยายามบอกหมอว่า ผมไม่ได้เป็นโรคหัวใจนะ ไม่ได้เป็นโรคไต ปวดท้องอย่างเดียว แต่เหมือนไม่มีใครได้ยิน พอจะพูดอีกก็ถูกปิดปากด้วยปรอท เสียบจมูกด้วยสายออกซิเจน แขนซ้ายถูกล็อกเพื่อเจาะเลือด มือเสียบท่อน้ำเกลือ แขนขวาถูกรัดด้วยเครื่องวัดความดัน ข้อมือคล้องป้ายชื่อ บริเวณหน้าอกและลำตัวถูกแปะติดด้วยสายไฟหลากสี 4 – 5 เส้น โยงไปที่กล่องสี่เหลี่ยมสีดำทะมึนมีไฟกะพริบแวบๆ เสียบไว้ข้างลำตัว ถ้าเดินออกไปข้างนอก คนคงร้องกรี๊ดแล้ววิ่งหนี เพราะนึกว่าเป็นมือระเบิดพลีชีพ ผมเหลือแต่ขาและเท้าเท่านั้นที่บิดไปมาเพื่อแสดงความเจ็บปวดได้ แต่ก็ไม่นานนัก เพราะตะกั่วแผ่นใหญ่ถูกนำมาเสียบเข้าใต้ลำตัว เครื่องเอกซเรย์แบบเคลื่อนที่มาประกบด้านหน้าพร้อมคำสั่งให้อยู่นิ่งๆ หายใจลึกๆ แล้วกลั้นไว้ ผมต้องยอมจำนนในที่สุด เหมือนผู้ร้ายมือเปล่าแบกถุงปูนแล้วถูกตำรวจล้อมไว้ทุกด้านด้วยอาวุธครบมือ คิดแต่เพียงในใจแบบคนรู้ธรรมะว่า“เอาเลยๆ ตัวกูไม่ใช่ของกู”

พอเสร็จพิธีกรรมจากห้องฉุกเฉิน ก็ถึงเวลาเคลื่อนขบวนแห่ เจ้าหน้าที่เข็นเตียงผมไปพร้อมสายระโยงระยาง โดยมีถุงน้ำเกลือห้อยไว้บนยอดเสาเหมือนเป็นธงนำเบิกทางไปยังห้องพัก ผ่านทางเดินและห้องโถงที่มีผู้มารอใช้บริการอยู่พอควรแม้จะยังเช้าตรู่ คนที่เห็นส่วนใหญ่หลีกทางให้ แล้วมองดูผมอย่างเวทนา บ้างก็พูดกับคนข้างๆ ว่า “สงสัยจะหนัก” พอไปถึงห้องพัก ผมถูกถ่ายไปยังอีกเตียงอย่างนุ่มนวล พร้อมกับคำร่ำลาจากพนักงานเปลโดยพร้อมเพรียงว่า “ขอให้ท่านหายเร็วๆ นะครับ” พนักงานที่นี่เรียกผมว่า “ท่าน” ทุกคำ จนผมเกือบลืมตัว…คำนี้มันทำให้คนเราสำคัญตนผิดได้จริงๆ

ไม่นานนักอาการปวดท้องก็ทุเลาลงอย่างมาก บางขณะก็ไม่รู้สึกเลย ด้วยยาวิเศษแสนแพงชื่อ “มอร์ฟีน” ขณะกำลังเคลิ้มหลับด้วยความอ่อนเพลีย พยาบาลมาบอกว่า ผลเอกซเรย์ช่องท้องระบุว่า มีสิ่งแปลกปลอมที่ตับและไตหลายจุด แพทย์ไม่สามารถระบุได้ว่าคืออะไร ต้องไปเอกซเรย์ใหม่ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ ผมจึงถูกแห่ผ่านห้องโถงเดิมอีกตอนขากลับห้อง พอเคลิ้มหลับพยาบาลก็มาแจ้งว่า ฟิล์มยังไม่ชัดพอ ต้องทำใหม่ คราวนี้ต้องดื่มน้ำย้อมสีด้วยสองขวด ประมาณ 1 ลิตร ผมพยายามกลืนลงไปได้ขวดกว่าๆ แต่ท้องไม่ยอมรับ อาเจียนออกมาหมด เลยเจอมาตรการขั้นสูงกว่าโดยการอัดเข้าทางทวารหนัก แม้จะรู้สึกเสียเซลฟ์นิดๆ แต่ก็ยังดีใจที่พยาบาลกระทำการอย่างนุ่มนวล

 

เพิ่งรู้ว่า
Photo by Ali Yahya on Unsplash

ขบวนแห่ผ่านทางเดิมอีกรอบ คราวนี้ผมหลับตาตลอดทางจนถึงห้องพัก ก่อนจะหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย ตื่นมาอีกครั้งเกือบเที่ยง คณะแพทย์ที่ทางโรงพยาบาลจัดให้โดยไม่รู้ตัวก็ทยอยกันมารายงานอย่างละเอียดยิบ

คุณหมอโรคหัวใจรายงานว่า หัวใจมีขนาดปกติ การทำงานปกติ คลื่นหัวใจก็เป็นปกติ แต่ต้องหมั่นออกกำลังกายเพื่อให้หัวใจแข็งแรง จะได้ทนความเจ็บปวดได้ (คือไม่ใจเสาะ)

คุณหมอทรวงอกรายงานว่า ปอดยังสะอาดดีอยู่แม้จะสูบบุหรี่บ้าง แต่ควรจะลดและเลิก เพราะอายุมากแล้ว

คุณหมอโรคตับและไตรายงานว่า สิ่งแปลกปลอมที่พบเป็นเพียงถุงน้ำหรือซีสต์ที่พบเป็นปกติในคนทั่วไป ไม่มีอันตรายร้ายแรง แต่ควรมาเอกซเรย์ซ้ำเป็นระยะเพื่อเฝ้าดูการเปลี่ยนแปลง

คุณหมอโรคเลือดรายงานว่า ไม่ได้เป็นเบาหวานหรือโรคเลือดอื่นใด สบายใจได้

มาถึงตอนนี้ ผมเป็นงงจริงๆ นึกไม่ออกเลยว่าตกลงตัวเองมาทำอะไรที่นี่กันแน่ จนกระทั่งคุณหมอช่องท้องที่เป็นเจ้าของไข้รายงานเป็นท่านสุดท้ายว่า มีลำไส้อักเสบเพราะอาหารเป็นพิษ กินยาแก้อักเสบและฆ่าเชื้อวันสองวันก็หาย จะกลับบ้านเลยก็ได้ แต่ควรนอนค้างสักหนึ่งคืนเพื่อเฝ้าดูอาการ ลูกสาวและภรรยาสุดที่รักของผมฟังจบก็ลิงโลดทิ้งผมไปทำงานทันที โดยเอารถไว้ให้ขับกลับบ้านเองในวันรุ่งขึ้น ทั้งที่ก่อนหน้านี้ทำท่าวิตกฟูมฟาย กลัวว่าผมจะสิ้นอายุขัย เพราะอีกเพียงสามวันก็จะถึงวันเกิด อารามรีบจัดเลยให้แต่บัตรเครดิตไว้จ่ายค่าโรงพยาบาล ทำเอาผมใจฝ่อเพราะไม่มีเงินติดตัวสักบาท กางเกงในก็ไม่มีเปลี่ยน หนำซ้ำยังต้องใส่ชุดนอนลายมิกกี้เมาส์ตัวเดิมขับรถกลับบ้านอีก โชคดีเท่าไรแล้วที่ไม่เจอด่านตรวจแอลกอฮอล์!

สรุปแล้วคือ ผมเป็นโรคอาหารเป็นพิษ (ชื่อจริงของโรคท้องร่วงนั่นเอง) ซึ่งคนสวนที่บ้านเป็นเมื่ออาทิตย์ก่อน แต่แกไม่เสียเงินสักบาท ไม่ใช่เพราะไปโรงพยาบาลรัฐหรอก แต่เพราะรอหมอกว่าสองชั่วโมงจนหายปวดท้องเอง แกเลยกลับบ้านไป กรณีของผมก็คงเหมือนกัน ถ้าทนปวดหน่อยแล้วหาซื้อยามากินเองไม่กี่บาทก็อาจหายได้ แต่ผมก็จะไม่ได้รู้ว่า

ข้าฯไม่เป็นโรคหัวใจ  กรวยไตก็ไม่มีปัญหา
ปอดยังโล่งปลอดโปร่งอุรา  แถมตับข้าฯนั้นยังทนทาน
หนอยมาหาว่าเป็นเบาหวาน  รับประทานของแพงไม่ได้
อีกเม็ดเลือดที่หล่อนเจาะไป  ก็ยังไร้โรคาเบียดเบียน

ผมจึงต้องขอขอบคุณคณะแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ร่วม 100 ชีวิต ที่เห็นค่าของชีวิตผมและได้ปฏิบัติการกู้ชีพในครั้งนี้จนสำเร็จลุล่วงอย่างงดงาม (แต่ยังสงสัยอยู่หน่อยว่า ถ้าผมเป็นคนสวนจะยังมีคนระดมช่วยขนาดนี้ไหมนะ) และยังทำให้ผมสำนึกได้ว่า ชีวิตของตนนั้นมีค่าเกินกว่าจะละเลย ดังธรรมะของของพระไพศาล วิสาโล ที่ให้ไว้ว่า

“ความเจ็บป่วยเป็นสัญญาณเตือนให้เราหันมาทบทวนการใช้ชีวิตว่ามีความผิดพลาดตรงไหน ทำงานหนักไป พักผ่อนน้อยไป กินอาหารไม่ถูกต้อง ขาดการออกกำลังกาย หรืออยู่กับความเครียดความโกรธมากเกินไป หากเราสามารถปรับเปลี่ยนวิธีการใช้ชีวิตให้ถูกสุขลักษณะ ก็เท่ากับเราได้บทเรียนที่ล้ำค่าจากการเจ็บป่วย ซึ่งกำลังสั่งสอนเราว่าสังขารไม่เที่ยง ความเจ็บป่วยเป็นธรรมดาของชีวิต ไม่ควรประมาท ควรเห็นคุณค่าของสุขภาพและชีวิต”

เงินค่ารักษาพยาบาลในครั้งนี้เพียงแค่เกือบ 50,000 บาทเอง มันน้อยนิดเมื่อเทียบกับความทุ่มเทของท่านทั้งหลาย แต่คุ้มค่าและสบายมากสำหรับคน (เกือบ) รวยอย่างผม

ที่น่าประทับใจเป็นอย่างยิ่งคือ รถที่ลูกสาวจอดทิ้งไว้ให้ขับกลับบ้านเอง (หากรอดชีวิต) ถูกคลุมกันแดดกันฝนไว้ด้วยผ้าใบเป็นอย่างดี…เสียดายนิดเดียวที่ผมไม่มีเงินทิปให้ยาม!

 

ที่มา  นิตยสาร Secret

เรื่อง  ลุงปุ๋ย

Photo by Marlon Lara on Unsplash

Secret Magazine (Thailand)

IG @Secretmagazine

 

© COPYRIGHT 2024 AME IMAGINATIVE COMPANY LIMITED.