ฉันไม่อาจรู้ได้เลยว่าพ่อแม่รักเรามากขนาดไหน จนกระทั่งวันที่ฉันมีลูกสาวตัวน้อยของตัวเอง จึงเพิ่งได้รู้ซึ้งว่าพ่อแม่คงทั้งรักและห่วงเรามากนักหนา ตอนฉันยังเป็นเด็กท่านคงห่วงว่าจะหกล้ม โดนเพื่อนแกล้ง จะกินไม่อิ่ม นอนไม่อุ่น พอโตเป็นสาวก็คงยิ่งมีเรื่องให้ท่านกังวลใจสารพัด ทั้งความปลอดภัยในการเดินทางและภัยจากเพศตรงข้าม
ตอนเด็ก ๆ ด้วยความที่เกิดเป็นลูกคนกลาง เลยทำให้ฉันรู้สึกน้อยใจนิด ๆ ว่าไม่ได้รับความรักอย่างเต็มที่จากพ่อแม่และยายเหมือนพี่สาวและน้องชาย ทั้งที่ความจริงแล้วท่านรักพวกเราเท่า ๆ กัน แต่ฉันชอบคิดไปเองว่าพ่อแม่ไม่เข้าใจฉันเลย จำได้ว่าตอนนั้นแม้ว่าจะเป็นเด็กวัยประถม แต่ฉันชอบดูรายการ รักลูกให้ถูกทาง ที่มี ดร.สายฤดี วรกิจโภคาทร นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กและครอบครัว เป็นพิธีกร ทุกครั้งที่ไม่พอใจแม่ หรือแม่ทำอะไรให้ขัดใจ ฉันก็จะตะโกนเสียงดังว่า “แม่น่ะ…รักลูกไม่ถูกทาง” ส่วนความหมายจริง ๆ ของประโยคนี้คืออะไร ตอนนั้นฉันไม่รู้เลยสักนิด รู้แต่ว่าคงจะหมายถึง “ทำไมแม่ไม่เข้าใจหนูเลย” เสียมากกว่า
แต่ต่อให้ดื้อมากแค่ไหน ฉันก็ไม่เคยทิ้งเรื่องการเรียน ฉันตั้งใจเรียนมาตั้งแต่เด็ก ถ้าไม่สอบได้ที่ 1 ก็ได้ที่ 2 เป็นประจำ จนพ่อกับแม่หมดกังวลในเรื่องนี้ หลังจากพี่สาวซึ่งอายุห่างกันแค่หนึ่งปีสอบเข้าโรงเรียนมัธยมประจำจังหวัดได้ อีกหนึ่งปีให้หลังฉันก็สอบเข้าเรียนต่อที่นี่ได้เช่นเดียวกัน เราสองคนเป็นพี่น้องที่สนิทกันมาก มีอะไรก็ช่วยเหลือกันเสมอ ที่สำคัญ เรารู้ว่าพ่อแม่ของเราซึ่งมีอาชีพทำนาต้องอาบเหงื่อต่างน้ำขนาดไหน กว่าจะหาเงินแต่ละบาทแต่ละสตางค์มาให้เราได้เรียนหนังสือ ฉันกับพี่จึงตั้งใจเรียนและพยายามช่วยเหลืองานบ้านและงานในไร่ในนาตอนช่วงวันหยุดเท่าที่เราสองคนจะทำได้
แต่แม้จะเหนื่อยกับหน้าที่การงานขนาดไหน พ่อกับแม่ก็เอาใจใส่ลูกสาวทั้งสองเป็นอย่างดี วันแล้ววันเล่าแม่จะตื่นตั้งแต่ตี 5 เพื่อหุงหาอาหารให้ลูกสาวสองคนกินก่อนไปโรงเรียน ส่วนพ่อก็จะทำหน้าที่สารถีขับมอเตอร์ไซค์ไปส่งลูกในตลาดสดใกล้อำเภอ เพื่อขึ้นรถประจำทางไปโรงเรียนซึ่งอยู่ในตัวเมือง
เย็นย่ำถ้าพ่อไม่ได้ไปรับ เราก็จะนั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างกลับมาจากตลาดสด เมื่อกลับถึงบ้าน ฉันและพี่สาวจะช่วยกันทำงานบ้านตามที่ตกลงกันไว้ วันนี้ฉันล้างจาน อีกวันเป็นหน้าที่ของพี่สาว ถ้าวันไหนพ่อมีงานยุ่ง บางครั้งฉันก็ต้องทำหน้าที่ต้อนวัวที่เอาไปเลี้ยงไว้ชายทุ่งมาเข้าคอก
ยิ่งโตฉันก็ดูเหมือนจะลืมความรู้สึกที่ว่าพ่อแม่ไม่รักฉันเท่ากับพี่น้องลงไปเรื่อย ๆ นั่นเป็นเพราะมันถูกกลืนหายไปกับความรักและความใส่ใจที่พ่อแม่มีให้ฉัน พอเริ่มโตขึ้น ฉันก็ยิ่งภาคภูมิใจในตัวเองที่เป็นที่รักและไว้ใจของพ่อแม่ ฉันจำได้ว่าเวลาแม่ทำกับข้าว ท่านจะเรียกฉันมาช่วยชิมอาหารอยู่บ่อย ๆ ถ้าฉันบอกว่าเปรี้ยวอีกนิด หวานอีกหน่อย แม่ก็จะปรุงเพิ่มตามที่ฉันบอก และนั่นเองที่ทำให้ฉันประทับใจ และทุกครั้งที่นึกถึงก็อดเผลอยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียวไม่ได้
หลังจบ ม.6 ฉันสอบเข้าเรียนต่อพยาบาลได้ สมความตั้งใจของพ่อ พ่อบอกว่าอยากให้ลูกสาวคนโตเป็นครู และลูกสาวคนรองเป็นพยาบาล ฉันไม่เคยรู้ถึงความฝันนี้ของพ่อมาก่อน จนวันที่ฉันเรียนจบ พ่อจึงเล่าให้ฟังว่าพ่อภาวนามาตลอดให้ลูกเรียนวิชานี้ แต่เกรงว่าถ้าบอกฉันไปตั้งแต่แรกจะทำให้ฉันรู้สึกกดดัน ท่านจึงทำได้เพียงรอลุ้นฉันอยู่เงียบ ๆ
ผ่านไปราว 10 ปี ฉันกับพี่สาวยังคงมุ่งมั่นกับการทำงานที่กรุงเทพฯ จนวัยเลยผ่าน 30 ปีไปแล้ว ไม่มีใครมีวี่แววว่าจะพบเนื้อคู่เลยแม้แต่น้อย คราวนี้จากที่พ่อเคยห่วงว่าจะมีหนุ่ม ๆ มาจีบลูกสาว กลับเริ่มเป็นกังวลว่าลูกสาวทั้งสองคนจะกลายเป็นสาวแก่ไม่มีหนุ่มที่ไหนมาขอ ท่านมักจะพูดเปรย ๆ อยู่เสมอว่าอยากอุ้มหลาน อยากมีเด็กเล็ก ๆ วิ่งเล่นอยู่ในบ้าน
ที่สุดฉันก็ทำให้ความฝันของพ่อเป็นจริงอีกครั้ง เมื่อมีหนุ่มมาขอสมใจท่าน ด้วยความที่บ้านของลูกเขยอยู่ไกลมาก เขาจึงมาตั้งขบวนขันหมากที่บ้านญาติของฉัน ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กันก่อนวันแต่งงาน 2 เดือน แม่เล่าให้ฟังว่าพ่อทำในสิ่งที่แม่ไม่เคยเห็นมาก่อน…
ปกติพ่อเป็นผู้ชายที่ไม่ทำงานของผู้หญิง เช่น ไม่ล้างจาน ทำกับข้าว แต่วันนั้นแม่เล่าว่าพ่อไปหาดินมากองไว้ที่สนามหญ้าหน้าบ้าน แล้วนำขวดเบียร์มาปักลงดิน ล้อมเป็นรั้วรูปหัวใจ ก่อนจะค่อย ๆ เกลี่ยดินให้สม่ำเสมอ และนำปุ๋ยคอกมาคลุกเคล้าเข้าด้วยกัน เสร็จแล้วก็นำดอกคุณนายตื่นสายหลากสีที่พ่อเตรียมไว้มาปักลงไปในดิน
แม่บอกว่าไม่เคยเห็นพ่อปลูกดอกไม้อย่างนี้มาก่อน ที่สำคัญ ท่านค่อย ๆ ทำอย่างละเมียดละไมเหมือนกำลังตั้งใจทำงานศิลปะชิ้นเอก
เมื่อถึงวันแต่งงานของฉัน ดอกคุณนายตื่นสายสีส้ม ขาว แดง ชมพู ม่วง ที่มีรั้วเป็นรูปหัวใจของพ่อก็แข่งกันเบ่งบานต้อนรับคนที่มาร่วมงานแต่งงานของฉัน แต่เหนืออื่นใด ฉันรู้ว่าพ่ออยากมอบดอกไม้ทั้งหมดนี้แทนความรักทั้งหัวใจที่ท่านมีให้ฉันนั่นเอง
ฉันอยากกราบท่านและบอกว่า “หนูก็รักพ่อ เช่นเดียวกันค่ะ”
(ดอกไม้ของพ่อ)
ที่มา นิตยสาร Secret
เรื่อง จิราวดี ปัทถาพงษ์