ชีวิตที่ถูกใช้ กับชีวิตที่ได้ใช้ ต่างกันอย่างไร ธรรมนำทางชีวิตจาก ท่าน ว.วชิรเมธี
ชีวิตที่ถูกใช้ ก็หมายความว่า ตื่นมาก็ถูกหน้าที่การงาน ดึงดูดเข้าสู่โลกของการทำงาน โดยที่เราแทบจะไม่สามารถบริหารจัดการชีวิตได้ คือตื่นมาก็รู้แล้วว่ามีภาระอยู่ที่คอ เหมือนมีแอกอยู่ที่คอ ตื่นมาปั๊ปก็ถูกดึงดูดไปแล้ว เคยเห็นชาวนาเขาไถนาไหม มันจะมีแอกสวมอยู่ที่คอควาย แล้วก็จะมีเชือกอยู่ซ้ายอยู่ขวา ชาวนาก็จะคอยกระตุกเชือกนั้นแหละ ให้ควายเดินไปข้างหน้า หรือว่าจะให้เลี้ยวขวาหรือจะให้เลี้ยวซ้าย เพราะฉะนั้นก็จะมีแอกค้ำอยู่ที่คอควาย คืนตื่นมาคุณมีชีวิตที่ถูกใช้ ถูกบริษัทใช้หรือ ถูกกิเลสมันกระตุ้นมันเร้า ทำให้เราต้องวิ่ง เพื่อคอยที่จะสนองกิเลส แล้วก็เป็นอย่างนี้ชั่วนาตาปีโดยที่ไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลย
แท้ที่จริงเรามีชีวิตจริง ๆ หรือเปล่า เราได้ใช้ชีวิตไหม หรือแท้ที่จริงเราถูกชีวิตมันใช้ตลอด แทบไม่มีวันหยุด แทบไม่ได้เป็นตัวของตัวเอง ตื่น..ไม่ว่าจะเป็น ตอนตื่นตอนหลับ ทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นงาน เช่น บางคนตื่นปั๊ป อาบน้ำให้เร็วที่สุด เพราะเดี๋ยวไปสาย รถติด พอไปสายแล้วรถติด เดี๋ยวไม่ทันประชุม พอเลิกมาปั๊ปกินข้าวก็กินอย่างลวก ๆ ซื้อกับข้าวที่ปากซอย แล้วก็กินอย่างลวก ๆ ก็ลูกก็หลับไปแล้ว ลูกก็นอนก่อน สามีก็อาจจะนอนก่อน เราก็นอนที่หลัง ในระหว่างที่นอนนั้น มันยังไม่หลับ ก็เปิดคอมพิวเตอร์ เช็ตเมล์ ทำงานโน่นนี่นั่น เงินเดือนแค่ 4-5 หมื่น ทำไปแล้ว 3 แสน
อันนี้คือชีวิตที่ถูกใช้ แต่ชีวิตที่ได้ใช้ก็คือไม่ได้หมายความว่า ต้องไปแยกชีวิตออกมา ก็อยู่ในหลักการทำงานนั่นแหละ แต่ว่าเรามีความรู้ตัว เรารู้เนื้อรู้ตัว เราให้ชีวิตกับการปฏิบัติธรรมมันไปด้วยกัน มันเป็นเนื้อเดียวกัน และเราทำทุกอย่างอย่างคนที่มีสติ ไม่ใช่ตื่นมางานก็ดูดไป คนก็ดูดไป ทุกสิ่งทุกอย่างดูดคุณไป คุณก็ทำไปตามสัญชาตญาณกลายเป็นสิ่งที่เรียกกันว่า รูทีน คืองานประจำและชีวิตประจำวันที่แทบไม่มีความหมายต่อการพัฒนาทางจิตวิญญาณเลย คุณก็ทำทุกสิ่งทุกอย่างไปอย่างนั้นชั่วนาตาปีก็ทำไปอย่างนั้น ถึงวันหยุดก็หลับเป็นตาย พอวันหยุดยาวปุ๊ป ก็พากันไปเที่ยว แล้วก็ไปต่างประเทศหรือไปต่างจังหวัด เหนื่อยแทบตายก็ซมซานกันมา แล้ววันหนึ่งคุณก็ป่วย คุณก็ได้ใช้เงินครั้งใหญ่ตอนที่คุณป่วย คุณจะเอาชีวิตอย่างนี้ไหม อย่างนี้คือชีวิตที่ถูกใช้
ชีวิตที่ได้ใช้ก็คือ คุณทำทุกอย่างอย่างมีสติ เช่น ตื่นนอนขึ้นมาปั๊ป แทนที่จะผลุนผลันเข้าห้องน้ำตามสัญชาตญาณ คุณไม่ได้ทำอย่างนั้น ตื่นนอนขึ้นมาสิ่งแรกที่ควรทำ คือกลับมาอยู่กับปัจจุบันขณะ ตามดูลมหายใจ ทันทีที่คุณตื่นนอนมา คุณปฏิบัติได้เลย อย่างพระปฏิบัติทั้งหลายท่านจะปฏิบัติเป็นลูกโซ่ ก็คือให้การปฏิบัติเกิดขึ้นตลอดเวลาในชีวิตประจำวัน เช่น ตื่นนนอนมา เราไม่จำเป็นต้องลุกขึ้นมาหรอก เราสามารถนอนอยู่บนเตียง ประสานมือไว้หน้าท้อง แล้วตามดูลมหายใจท้องพองท้องยุบเราก็ดูไปสิ ดูท้องพองท้องยุบไปสัก 5 นาที เป็นการรดน้ำให้เมล็ดพันธุ์แห่งสติ ตั้งแต่นาทีแรกที่คุณลืมตาตื่นขึ้นมา คุณก็จะมีเช้าวันใหม่ที่สดชื่นรื่นเย็น พอตาตื่นลืมตาปั๊บตัวรู้ก็ตื่น หมายถึงจิต จิตเราก็ตื่น
บางคนตาตื่นแต่จิตไม่ตื่น อาการของจิตไม่ตื่น คือตื่นมามันก็เกาหัว เอาอีกแล้ว ยุ่งอีกวันหนึ่งแล้ว แล้วก็โซซัดโซเซเข้าห้องน้ำแบบหน้าสโลโต๋เต๋ ในขณะที่แต่งเนื้อแต่งตัวก็บ่นไปด้วย หรือบางทีแต่งเนื้อแต่งตัว ปากก็ด่าลูก ด่าสามี นี้แหละเขาเรียกว่าตาตื่นแต่ตัวรู้ไม่ตื่น หรือใจของคุณไม่ตื่น และคุณก็เป็นอย่างนี้ทั้งวัน อันนี้เรียกว่า หลับทั้ง ๆ ที่ยังตื่นอยู่ คนส่วนใหญ่เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น เป็นคนที่หลับทั้ง ๆ ที่ยังตื่น คุณไม่รู้เนื้อรู้ตัวด้วยซ้ำ ว่าคุณถูกชัก ถูกลาก ถูกผลัก ถูกรุน ถูกดัน คุณกระเสือกกระสนไปเพราะอะไร มันชักมันลากคุณอยู่คุณไม่รู้ตัว แต่ถ้าเรามีชีวิตที่ได้ใช้ พอตื่นมาปั๊ป จิตดวงแรกสัมผัสกับตัวรู้เลย ตาตื่นปั๊ปตัวรู้ทำงานเลย เข้าข้อต่อการปฏิบัติจากการที่เราทำไว้เมื่อคืนก่อนนอน ก็ตามดูตามรู้ลมหายใจ จากนั้นไปอาบน้ำ วักน้ำขึ้นมาล้างหน้าเราก็ตระหนักรู้ถึงน้ำที่กำลังแตะผิวหน้า แปรงฟันก็ตามดูตามรู้จิตของเรากับฟันที่แปรงนั่นอยู่ดูด้วยกันตลอดเวลา เมื่อเราอาบน้ำเราลูบเนื้อลูบตัว เราก็ตระหนักรู้อยู่ตลอดเวลา กายอยู่ไหนใจก็อยู่นั่นไม่ได้พรากจากกันเลย เราทำอย่างนี้ เพียงสามวันเท่านั้น พระอาจารย์จะท้าทายไว้ตรงนี้ ถ้าไม่เปลี่ยนให้มันรู้ไป
คุณจะกลายเป็นพระประธานน้อย ๆ ขึ้นมาเลย ถ้าคุณใช้ชีวิตในปกป้องคุ้มครองของสติแบบนี้ คุณแทบไม่หลุด คุณจะกลายเป็นคนที่ จู่ ๆ ก็รู้สึกขึ้นมา ทำไมเราอารมณ์ดีอย่างนี้ ทำไมเรามีความรู้สึกว่า มันเย็นกลายเย็นใจอย่างนี้ ทำไมประสิทธิภาพในการคิดการพูดการทำของเรา ทำไมมันนิ่ง มันเฉียบคม มันมีเหตุผล และที่สำคัญเราจะจัดการอารมณ์ได้ดีขึ้น มันจะดีวันดีคืน ดีขึ้น ๆ จนอยู่ที่ไหนเราก็สุข นั่งก็สุข นอนก็สุข
ในสมัยพุทธกาลมีพระรูปหนึ่ง ชื่อพระปิลินทวัจฉะ ท่านเป็นพระราชา ท่านมาบวชพอมาบวชปั๊ป ท่านมีความสุขมาจากการเจริญสติ ตามดูรู้อยู่ทุกลมหายใจอย่างนี้ จนนั่งที่ไหนท่านกก็อุทานว่า “โอ๊ย สุขจังเลย สุขหนอ…สุขหนอ…สุขหนอ ” ตามดูตามรู้แทบไม่ทัน มันสุข พระก็ไปรายงานพระพุทธเจ้าว่า สงสัยจะคิดถึงความสุขสมัยเป็นเจ้าชาย พระพุทธเจ้าก็เรียกมาถามว่า เออนี่ลูกเขาลือกันว่าเธอนั่งตรงไหนก็อุทานตรงนั้นว่า สุขหนอ…สุขหนอ ตกลงมันเป็นอย่างไร พระท่านก็ถวายรายงานว่า หม่อมฉันไม่ได้คิดถึงสุขในราชสมบัติ แต่ที่หม่อมฉันอุทานว่าสุขหนอ…สุขหนอ ก็เพราะว่ามันมาจากก้นบึ้งจริง ๆ หม่อมฉันมีความสุขในการบวช ก่อนหน้านั้นหม่อมฉันอยู่ที่ไหนก็ตามก็จะมีราชองครักษ์คอยคุมเชิงอยู่ คอยเฝ้าคอยแหนอยู่ล้อมหน้าล้อมหลัง แต่หม่อมฉันรู้สึกเสมอว่าชีวิตมันไม่ปลอดภัย มันไม่มีความสุข แต่พอหม่อมฉันมาบวช หม่อมฉันมีผ้าสามผืนมีบาตรหนึ่งใบ แล้วทำไมหม่อมฉันสุขขนาดนี้ก็ไม่รู้ หม่อมฉันถึงอุทานว่า สุขหนอ..สุขหนอ ถ้าคุณเคยปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน เวลาเมล็ดพันธุ์แห่งความสุขมันผลิบานขึ้นมา อย่างเช่น พระอาจารย์เจริญสติมาแบบยุบหนอพองหนอ มันจะขึ้นจากช่วงท้อง แล้วมันจะขึ้นมามันจะแผ่ขึ้นมา ๆ ๆ คุณห้ามมันไม่ได้หรอก มันเป็นปีติ
บางครั้งเราปฏิบัติไว้แล้วมันอยากร้องไห้ อาการที่อยากร้องไห้ก็จะขึ้นมาเลย ขึ้นมา ๆ สุดท้ายก็ทะลุตาน้ำตาก็ไหลออกมาเลย บางครั้งเกิดความสุข ความสุขนั้นมันจะบอกเราว่าหัวเราะ เราก็ต้องหัวเราะออกมาเลยทีเดียว ฉะนั้นคนที่ปฏิบัติแล้วจะเข้าใจว่า ทำไมพระปิลินทวัจฉะ ท่านถึงอุทานว่า สุขหนอ..สุขหนอ คือมันเป็นภาษาพระเรียกว่า เอโกทิธรรมะ แปละว่า ธรรมอันเป็นเอก ผุดขึ้นมาจากข้างใน นี่เป็นสภาวะจิตที่มันตื่นรู้ขึ้นมาแล้ว พอมันตื่นรู้ขึ้นมาแล้วมันก็จะไปทั้งเนื้อทั้งตัว มันจะแผ่ตั้งแต่หัวจรดเท้าเลยทีเดียว มันจะเป็นอย่างนี้เขาเรียกว่าปีติสุขมันเกิดขึ้น ฉะนั้นใครก็ตามที่หล่อเลี้ยงความรู้ตัวน้อย ๆ เอาไว้ระหว่างวัน ซึ่งพระอาจารย์ขอเรียกชื่อใหม่ว่า นิพพานระหว่างวัน
ใครก็ตามสั่งสมนิพพานระหว่างวัน ให้เกิดขึ้นตลอดเวลา ตามดูตามรู้อย่างเป็นธรรมชาติอันเป็นธรรมดา คุณจะมีความสุข พระอาจารย์ท้าทายไว้ตรงนี้ ทำอย่างนี้สักสามวัน คุณจะลดความสุขจากการเสพวัตถุลงหมดเลย ความสุขจากการอยากได้เทคโนโลยีใหม่ ๆ ความสุขจากการอยากได้เงินเยอะๆ ความสุขจากการอยากใส่เสื้อผ้าสวย ๆ ความสุขจากการอยากเป็นคนที่มีชื่อเสียงเป็นเซเลบ มันจะลดไปหมด และจะเห็นว่าพวกนี้มันธรรมดาหมดเลย ใครจะเอารางวัลอะไรมาให้มันก็รู้สึกเฉย ๆ
ถอดความ : สุขทุกวัน7วัน7กูรู :ชีวิตที่ถูกใช้กับชีวิตที่ได้ใช้ต่างกันอย่างไร พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี 21 มิ.ย. 60
ภาพ : www.pexels.com
บทความน่าสนใจ
อย่ายอมให้อัตตาครองใจ ธรรมะเตือนสติโดย พระไพศาล วิสาโล
พระพุทธเจ้าในภาษาคนภาษาธรรม ถอดอัตตาให้ไปสู่วิมุตติ
Dhamma Daily : เหตุใดพุทธศาสนาจึงสอนให้คนไม่ควรมี อัตตา