True Story : ชมพู่ ก่อนบ่าย ฉันชอบปัญหา เพราะมันทำให้เราแข็งแรงขึ้น
ถึงครอบครัว ชมพู่ ก่อนบ่าย ธัณย์สิตา สุวัชราธนากิตติ์ จะยากจน พวกเราสี่คนต้องอยู่รวมกันในห้องแถวเล็กๆ แล้วก็มีมอเตอร์ไซค์เก่าๆ อีกแค่หนึ่งคัน แต่พ่อกับแม่ก็พยายามเลี้ยงลูกๆ อย่างดีที่สุด ไม่เคยปล่อยให้ลูกๆ ต้องลำบากอดมื้อกินมื้อ ชมพู่จึงฝันอยู่เสมอว่า อยากโตไวๆ จะได้ทำงานหาเงินมาเลี้ยงดูพ่อแม่ได้บ้าง
ความที่ชอบกล้าแสดงออกและพอจะร้องเพลงได้หลายแนว ชมพู่จึงชวนเพื่อน ๆ ตั้งวงดนตรีกันตั้งแต่มัธยมต้น โดยไม่พลาดที่จะรับหน้าที่นักร้องนำเอง วงของชมพู่นอกจากจะเล่นในโรงเรียนแล้ว บางทีก็ส่งไปประกวดตามที่ต่าง ๆ ด้วย พอปิดเทอมวงเราก็ไปรับจ๊อบตามร้านอาหารต่อ ช่วงนั้นนอกจากร้องเพลงแล้ว ชมพู่ก็ยังรับจ๊อบเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น แจกใบปลิวตามห้าง แจกสินค้าทดลอง ฯลฯ ถึงต้องทำงานแทบทุกเสาร์ - อาทิตย์ แต่ชมพู่ก็สู้ตายเพราะตั้งใจว่า ก่อนจะดูแลพ่อแม่ ต้องเริ่มจากดูแลตัวเองให้ได้ก่อน
พอใกล้เรียนจบ เพื่อน ๆ หลายคนเริ่มวางแผนไปสมัครงานตามออฟฟิศต่าง ๆ มีแต่ชมพู่ที่ปฏิเสธไม่ไปอยู่คนเดียว เพราะรู้ดีว่าตัวเองเป็นคนที่อยู่นิ่ง ๆ ไม่ได้ คงไม่เหมาะกับงานออฟฟิศนั่งโต๊ะแน่ ๆ แถมตอนนั้นรายได้จากการร้องเพลงก็พอใช้ได้และเป็นงานที่สนุก ชมพู่จึงตัดสินใจร้องเพลงตามเดิมไปก่อน แต่แล้ววันหนึ่ง โชคชะตาของเด็กจน ๆ ก็พลิกผันครั้งใหญ่ เมื่อ น้าโย่ง เชิญยิ้ม บังเอิญ ได้มาเห็น “แวว” บ้า ๆ บอ ๆ บวกกับความฮาแบบไม่มีกั๊กของชมพู่เข้า น้าโย่งจึงชวนให้ลองไปแคสติ้ง (casting) บทตลกในรายการก่อนบ่ายคลายเครียด ดู เผื่อจะเข้าตาทีมงานบ้าง
เมื่อเห็นว่าเป็นโอกาสดีที่จะได้ลองทำอะไรใหม่ ๆ ดูบ้าง ชมพู่จึงตอบตกลงทันที ในวันแคสติ้ง พี่เป็ด เชิญยิ้ม ก็สั่งให้ชมพู่เข้าฉากกับน้าโย่งแบบสด ๆ ไม่มีสคริปต์ เพราะต้องการดูว่ามีไหวพริบเหมาะกับการเป็นตลกหรือไม่ ชมพู่อาศัยประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมาบวกกับความบ้าเฉพาะตัวทำให้การแคสติ้งวันนั้นผ่านพ้นไปได้ด้วยดี พร้อม ๆ กับมี “ชมพู่ ก่อนบ่าย” ตลกหญิงดาวรุ่งแจ้งเกิดในเวลาต่อมา
รายได้จากอาชีพนักแสดงตลกนอกจากจะทำให้ดูแลตัวเองได้ดีขึ้นแล้ว ชมพู่ยังสามารถเลี้ยงดูพ่อแม่และน้องชายได้ด้วยเท่านั้นยังไม่พอ ชมพู่ยังเริ่มฝันต่ออีกว่าน่าจะมีกิจการเล็ก ๆ ให้ที่บ้านด้วย จะได้มั่นคงมากขึ้น ระหว่างที่คิดว่าจะทำอะไรดี ก็นึกขึ้นมาได้ว่า แม่เคยพูดเปรย ๆ ไว้ตั้งแต่ชมพู่ยังเด็กว่า “อยากทำร้านอาหาร”ด้วยความที่อยากให้ฝันของแม่เป็นจริง ชมพู่จึงเริ่มหารือกับหุ้นส่วนก่อนจะตกลงทำร้านอาหารที่ชลบุรีในเวลาต่อมา จากนั้นก็ซื้อที่ดิน 2 ไร่ แบ่งเป็นร้านอาหาร 1 ไร่ และที่จอดรถอีก 1 ไร่ แต่เชื่อไหมคะว่าชมพู่ทำโปรเจ็กต์ใหญ่ขนาดนี้ทั้งที่ไม่มีเงินเก็บเลย ต้องอาศัย “การหมุนเงิน” จากบัตรเครดิตที่มีอยู่นับสิบใบอย่างเดียว
ในไม่ช้าร้านอาหารในฝันของแม่ก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาจริง ๆ เราทุกคนในบ้านช่วยกันดูแลงานด้านต่าง ๆ เมื่อมีเวลาว่าง ชมพู่ก็จะรีบตีรถจากกรุงเทพฯเข้ามาช่วยงานที่ร้านทันที ไม่ว่าตำแหน่งไหนชมพู่ก็ทำได้หมด ตั้งแต่พนักงานต้อนรับ เด็กเสิร์ฟนักร้อง ไปจนถึงผู้จัดการร้าน เวลาผ่านไปเกือบ 2 ปี กิจการกำลังไปได้ด้วยดี แต่จู่ ๆ ชมพู่ก็เกิดขัดแย้งกับหุ้นส่วนอย่างรุนแรง จนพ่อกับแม่ขอให้“ถอนเงินลงทุนทั้งหมด” ออกจากร้านทันที
ทว่าเรื่องกลับไม่จบลงง่าย ๆ เพราะแทนที่จะได้เงินทุนติดไม้ติดมือกลับมาด้วย ชมพู่กลับต้องหอบ “หนี้สินก้อนโต” มาแทนเสียนี่!…หนี้เหล่านี้เกิดจากการหมุนเงินของชมพู่ที่เล่ามาข้างต้นนั่นเอง แรก ๆ ก็ยังไม่หนักใจเท่าไหร่ คิดว่าทำงานไปเรื่อย ๆ ก็คงใช้หนี้ได้หมด แต่พอแม่เริ่มเฉลยว่า จริง ๆ แล้วร้านยังมีหนี้ตรงนั้นตรงนี้อีกหลายก้อน ชมพู่ก็เริ่มเครียดเพราะกลายเป็นว่า เบ็ดเสร็จแล้วชมพู่ต้องใช้หนี้ถึง 4 ล้านบาท จากช่วงชีวิตที่กำลังไปได้ดี จู่ ๆ ก็ต้องมาสะดุดครั้งใหญ่ แต่โชคดีที่ชมพู่ไม่ใช่คนจมอยู่กับปัญหา คิดแค่ว่าเมื่อปัญหาเกิดแล้วเราก็ต้องรีบแก้ไข จะได้ทำอะไรใหม่ ๆ ต่อไปได้ สมัยเด็ก ๆ เราเคยลำบากมากกว่านี้ ต้องทำงานสารพัด แต่ก็ยังผ่านมาได้
แม้วันนี้เราจะมีหนี้ก้อนใหญ่ แต่ก็ยังโชคดีที่มีงานทำอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นเราต้องจัดการปัญหานี้ได้แน่ ๆ ถ้าจะใช้หนี้ให้หมดเร็วขึ้น ก็ต้องยอมปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่ด้วยการ“ลดรายจ่ายฟุ่มเฟือยลง” ใช้จ่ายเท่าที่จำเป็นขณะเดียวกันก็ต้อง “หารายได้เพิ่มขึ้น” ด้วย
ช่วงนั้นจึงเป็นโอกาสดีที่ชมพู่ได้ลองท้าทายตัวเองด้วยงานใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นงานพิธีกร งานอีเว้นต์ รวมไปถึงละคร เชื่อไหมคะว่า ชมพู่มีคิวงานแน่นเอี้ยดทุกวัน บางวันต้องวิ่งรอกถึง 3 – 4 งาน กินนอน พักผ่อนไม่เป็นเวลาเลย ตอนนั้นต่อให้ทำงานมากเท่าไหร่ก็ไม่เหนื่อย เพราะนอกจากจะรู้สึกสนุกไปกับงานทุกชิ้นแล้ว ยิ่งพอคิดว่า “เรามีหนี้ที่ต้องใช้” ชมพู่ก็ยิ่งมีแรงฮึดว่าต้องทำให้ได้ เรียกว่า “เป็นช่วงชีวิตที่ทำงานเป็นบ้า โดยมีหนี้เป็นแรงผลักดันและแรงบันดาลใจ”
หนึ่งปีต่อมา ด้วยความทุ่มเทแบบสุดตัว ชมพู่ก็สามารถใช้หนี้ก้อนโตได้สำเร็จอย่างที่ตั้งใจ คราวนี้ก็เริ่มต้นเก็บเงินกันใหม่ ไม่มัวมานั่งเสียดายเวลาอยู่ เพราะตราบใดที่ยังมีแรง ไม่ขี้เกียจ ไม่นานก็หาใหม่ได้
บทเรียนเรื่องหนี้ก้อนโตนี้ยังสอนให้รู้ว่า การทำธุรกิจต้องคิดให้รอบคอบอย่าใจร้อนด่วนตัดสินใจ ต้องวางแผนเป็นขั้นเป็นตอนเพื่อป้องกันให้เกิดปัญหาตามมาน้อยที่สุด ไม่ว่าจะเรื่องหุ้นส่วนหรือเรื่องเงิน การโหมทำงานหนักในครั้งนั้นยังทิ้ง“ของฝาก” ไว้ให้ชมพู่จนทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นโรคหมอนรองกระดูกฉีก ซึ่งเกิดจากการทำงานที่มีทั้งต้องใส่รองเท้าส้นสูงนาน ๆ การออกท่าออกทางหนัก ๆ ตามสไตล์นักแสดงตลก ตลอดจนการกินอาหารและการพักผ่อนไม่เป็นเวลา ทำให้ชมพู่มีอาการโรคกระเพาะและโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบรบกวน สิ่งเหล่านี้ทำให้ชมพู่รู้ว่า บางครั้งการโหมทำงานเพื่อหาเงินได้มาก ๆ เพราะหวังจะได้ใช้เงินนั้นเพื่อความสุขของตัวเอง แต่เอาเข้าจริงเรากลับไม่ได้ใช้เงินก้อนนั้นทำอย่างอื่น นอกจากต้องใช้รักษาตัวเอง ซึ่งมันไม่คุ้มกันเลย
การทำงานจึงเหมือนการใช้ชีวิตที่ควรยึดทางสายกลาง อย่าทำอะไรหักโหมเกินตัวเพื่อรักษาร่างกายเราไว้นาน ๆ รวมทั้งการให้เวลากับงานแต่ละงานอย่างเต็มที่ ย่อมทำให้งานทุกชิ้นของเรามีคุณภาพยิ่งขึ้นราวกับว่า งานทุกชิ้นเป็นงานที่ดีที่สุด
บทความน่าสนใจ
” อยู่กับความเป็นจริง ไม่ใช่ความหวัง ” บทความเตือนใจจาก พระชาญชัย อธิปญฺโญ
เจาะใจ 3 นางร้าย เจ้าของหัวใจนางเอ๊ก นางเอก
น้องโอ เด็กดี ผู้มีมานะ ขายข้าวไข่เจียวเลี้ยงตนและน้อง สานฝันเรียนให้จบดั่งใจหวัง
ทุกวันที่ยังมีลมหายใจ นั่นคือ “ความโชคดี” ที่สุดแล้ว เจิน ณิชชาพัณณ์ ชุณหะวงศ์วสุ