ชีวิตที่เหลือ…เพียงตัวและหัวใจ ของ สีดา พัวพิมล
เชื่อว่าผู้หญิงทุกคนคงวาดฝันว่าจะมีชีวิตคู่ที่ราบรื่นและยืนยาว ฉัน ( สีดา พัวพิมล ) เองก็เช่นกัน แต่ใครจะรู้ว่าโชคชะตาของเราจะเป็นอย่างไร
แม้ฉันไม่ใช่คนสวย แต่มีคนมาชอบพออยู่พอสมควร เพราะเป็นคนคุยเก่ง คุยสนุกค่อนข้างซ่าด้วย เรื่องกินดื่มเที่ยวถึงไหนถึงกันเรียกว่าเป็นผู้หญิงสมัยใหม่ในยุคนั้นเชียวแหละ
ฉันชอบผู้ชายทำงานเก่ง ขยันทำงานชอบคนที่สามารถเป็นผู้นำได้ เพราะเราเป็นผู้หญิงทำงาน มีความคิด มีความมั่นใจในตัวเองสูง ชอบเข้าสังคม มีเพื่อนฝูงเยอะถ้าคบกับผู้ชายที่ขี้หึงหรือไม่มีความเป็นผู้นำก็จะไปกันไม่รอด
ไม่เข็ดกับ “ความรัก”
ฉันมีครอบครัวตั้งแต่ยังไม่เข้าวงการบันเทิง และใช้ชีวิตฉันสามีภรรยากับสามีคนแรกโดยไม่ได้แต่งงาน จนมีลูกชาย(อ๊อฟ – อภิชาติ พัวพิมล) และลูกสาวที่น่ารักซึ่งเปรียบเสมือนโซ่ทองคล้องใจ สามีก็ดีทุกอย่าง แต่ฉันกลับมีปัญหากับแม่สามีรวมทั้งญาติพี่น้องของเขาเสมอ
ทุกครั้งที่มีปัญหากับคนในครอบครัวของเขา ไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ฉันไม่เคยปริปากบอกสามีเลยสักครั้ง และเขาก็ไม่เคยถามไถ่เรื่องนี้เลย ทำให้ต้องเก็บความรู้สึกไว้ในใจมาตลอด เพราะตัวเองก็ไม่ใช่คนขี้ฟ้องอยู่แล้ว
ฉันอยู่กับเขามา 3 ปี จนรู้สึกว่าไม่อาจทนมีปัญหากับแม่และญาติพี่น้องของเขาได้อีก จึงตัดสินใจขอเลิกทั้ง ๆ ที่อ๊อฟอายุแค่ 1 ขวบ และเพิ่งคลอดลูกสาวคนเล็กพอออกจากโรงพยาบาลได้ ฉันเก็บข้าวของออกจากบ้านทันที ไม่ว่าสามีจะตามง้องอนอย่างไรก็ไม่กลับไปใช้ชีวิตคู่กับเขาอีกแล้วแม้ลึก ๆ จะเสียใจอยู่ไม่น้อยก็ตาม
ตอนนั้นฉันพาลูก ๆ ไปฝากให้แม่ช่วยเลี้ยง ตอนกลางวันออกไปทำงานหาเงินเลิกงานกลับบ้านมาดูแลลูกจนหลับ แล้วก็ออกไปเที่ยวกับเพื่อนบ้างตามประสาคุณแม่ยังสาวที่ยังสนุกกับการใช้ชีวิต
หน้าที่การงานของฉันทำให้ได้พบปะพูดคุยกับคนมากมาย และโชคชะตาก็พาให้พบกับ “คู่ชีวิต” หลายคน ด้วยความที่ไม่เข็ดกับความล้มเหลวในความรัก ฉันจึงผ่านการใช้ชีวิตคู่หลายครั้ง แต่งงานสองครั้ง อยู่กินฉันสามีภรรยาโดยไม่ได้แต่งงานกับคู่ชีวิตอีกหลายคน บางคนอยู่ด้วยกันมานานนับสิบปี แต่สุดท้ายฉันก็ไม่สามารถประคองชีวิตคู่ให้ไปตลอดรอดฝั่งได้เลยสักครั้ง
ฉันเสียใจทุกครั้งที่ต้องจบความสัมพันธ์หลายคนต้องเลิกราไปโดยไม่ได้ปรับความเข้าใจกันเลยด้วยซ้ำ เพราะฉันเป็นคนแข็งและมีทิฐิแรง
เรื่องราวความรักในชีวิตเรียกว่าไม่สมหวังมาตลอด เพราะไม่เคยพูดจาปรับความเข้าใจกันและใช้ทิฐินำเสมอ นี่จึงเป็นแง่คิดอีกอย่างที่อยากฝากให้คู่ชีวิตทั้งหลายได้นำไปคิดไตร่ตรอง
ประสบการณ์เฉียดตาย
ฉันมีชื่อเสียงในวงการบันเทิงเพราะเป็นนางเอกภาพยนตร์หลายเรื่องแล้ว และเพิ่งเลิกกับคู่ชีวิตที่อยู่กินกันมานับสิบปีเพื่อน ๆ เห็นว่าฉันกำลังอยู่ในช่วงอกหักซึมเศร้า จึงแนะนำให้รู้จักกับนักธุรกิจคนหนึ่งระหว่างที่เราคบหาดูใจกัน เขามารับมาส่งฉันบ่อย ๆ
เย็นวันหนึ่งเขามารับฉันออกไปกินข้าวข้างนอก เราสองคนนั่งด้วยกันที่เบาะหลังเขานั่งด้านหลังคนขับรถ ตอนนั้นกำลังงอนเขา เลยนั่งนิ่ง มองตรงไปข้างหน้า ไม่พูดไม่จากับเขาเลย
ระหว่างรถติดที่สี่แยกแถวคลองเตยมีรถยนต์คันหนึ่งมาจอดเทียบด้านที่ฉันนั่งสักพักก็ได้ยินเสียง
ปัง ปัง ปัง…!!! ดังรัว ๆ เหมือนกับเสียงประทัด
ฉันรีบหันไปมองเขา พอเห็นว่าเขาไม่ได้เป็นอะไรจึงหันกลับไปมองทางกระจกด้านข้างตัวเองอีกครั้ง แม้กระจกรถติดฟิล์มดำสนิท แต่ก็ยังมองเห็นอย่างชัดเจนว่ามีปากกระบอกปืนจ่ออยู่กลางกระจก
ปัง ปัง ปัง ปัง…!!!
มือปืนรัวกระสุนเข้ามาแบบไม่ยั้งกระสุนทุกนัดวิ่งผ่านหน้าไปอย่างรวดเร็วฉันกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง วินาทีที่ใกล้ความตายมากที่สุดนี้ ในใจคิดถึงแต่ “แม่” เท่านั้น
เมื่อสิ้นเสียงปืน ฉันรีบหันไปมองเขาอีกครั้ง คราวนี้เห็นร่างของเขาเอนล้มลงไปช้า ๆ เนื้อตัวเต็มไปด้วยกองเลือดแดงฉานยังไม่ทันได้ตั้งสติ ก็มีเสียงปืนรัวเข้ามาอีกสามชุด เมื่อสิ้นเสียง รถคันนั้นก็แล่นหนีไปอย่างรวดเร็ว
ตอนนั้นเนื้อตัวของฉันเต็มไปด้วยเลือดเศษเนื้อ เศษสมองของชายที่นั่งข้าง ๆ ฉันค่อย ๆ หันไปมองเขาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ภาพที่เห็นทำให้แทบช็อกสิ้นสติไปตรงนั้น
หน้าของเขาแหลกเละไปหมด เลือดไหลอาบโชกไปทั้งตัว
ฉันกรีดร้องสุดเสียง จากนั้นก็นั่งนิ่งตัวชา ร้องไห้กับสิ่งที่เห็นตรงหน้า ทำอะไรไม่ถูกอีกแล้ว
“คุณสีดาครับ ผมโดนยิง”
เสียงคนขับรถพูดขึ้น เรียกสติฉันขึ้นมา คนขับรถโดนลูกหลงที่ขาข้างหนึ่งแต่เขาพยายามขับรถไปจนถึงโรงพยาบาลจุฬาฯ ระหว่างทางรถติดมาก ฉันได้แต่นั่งช็อก ร้องไห้อยู่ตลอดเวลา คนที่อยู่บนรถเมล์และข้างทางต่างมองดูรถที่มีรอยกระสุนเต็มไปหมด
เมื่อถึงโรงพยาบาล ฉันก็รีบให้เพื่อนสนิทมารับและไปค้างที่บ้านของเพื่อนไม่กล้ากลับบ้านเพราะกลัวแม่ตกใจ แต่เช้าวันรุ่งขึ้นแม่ก็รู้จนได้ เพราะหนังสือพิมพ์เกือบทุกฉบับพาดหัวข่าวว่า
“นางเอกหนังสีดานั่งอยู่ในรถ โดน M16 ยิง กระจกบาดเหวอะหวะ”
ทั้งที่ความจริงแล้วฉันไม่มีบาดแผลใด ๆ เลยสักนิด ไม่มีแม้รอยข่วนจากเศษกระจกที่แตกกระจาย เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ฉันอยู่ใกล้ความตายมากที่สุดในชีวิต และทำให้ฉุกคิดได้ว่า
“ชีวิตคนเราไม่มีอะไรแน่นอน จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้”
จริง ๆ แล้วฉันน่าจะตายก่อนเขาด้วยซ้ำ ที่รอดมาได้จึงเป็นเหมือนปาฏิหาริย์อาจเพราะมีบุญเก่ามาช่วยไว้ เมื่อยังมีชีวิตอยู่จึงต้องหมั่นทำความดี ทำบุญทำกุศลรวมทั้งคิดดี มีเมตตากับคนอื่น เพื่อสร้างบุญเพิ่ม เพราะเราไม่รู้เหมือนกันว่าชาติก่อนทำบาปทำกรรมอะไรไว้มากแค่ไหน และกรรมจะกลับมาตามสนองเราเมื่อไหร่
แม้จะเตรียมใจไว้แล้วว่า “ความตาย” อยู่ใกล้ตัวนัก แต่เมื่อต้องมาเผชิญกับการสูญเสียคนที่รัก หัวใจฉันก็แทบสลาย
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
เรื่อง สีดา พัวพิมล เรียบเรียง เชิญพร คงมา ภาพ วรวุฒิ วิชาธร สไตลิสต์ สุธีร์ รติวัฒน์บุญญา แต่งหน้า - ทำผม ภูดล คงจันทร์ ขอขอบคุณ ศูนย์การค้า ธัญญาพาร์ค ศรีนครินทร์ เอื้อเฟื้อสถานที่