แหม่ม อลิสา ขจรไชยกุล ชีวิตพลิกผันจากดารา…สู่แม่ค้าฮาเฮ ตอน 2
สำหรับคนอื่น เวลามีความทุกข์แล้วอาจเข้าวัดไปสงบจิตสงบใจ แต่สำหรับ แหม่ม อลิสา ขจรไชยกุล จะเข้าวัด ช่วงที่ตัวเองมีความสุข สบายใจเท่านั้น แหม่มชอบทำบุญ ไม่เลือกว่าจะต้องเป็นวัดไหนอย่างไร ขอให้เป็นวัดที่อยากเข้าไปเป็นพอ
สมัยก่อนเวลามีความทุกข์ แหม่มก็เคยเลือกวิธีผิดๆ กินเหล้าเมามายข้ามวันข้ามคืน สุดท้ายก็พบว่านอกจากจะไม่ช่วยแก้ปัญหาได้แล้ว ยังเมาค้าง ปวดหัว ไม่สบายไปหลายวัน
แหม่มคิดว่าเมื่อคนเราอายุมากขึ้นก็จะมีวิธีคิด วิธีแก้ปัญหาที่ดีขึ้น เมื่อก่อนมีปัญหาอะไรจะเก็บมาทุกข์นาน ย้ำคิดย้ำทำจนเครียด แต่เดี๋ยวนี้มีปัญหาปุ๊บก็ตัดได้ปั๊บ คิดแค่ว่า “ปัญหานี้ถ้าเราแก้ไม่ได้ก็ลองปล่อยมันไป เดี๋ยวคำตอบจะมีมาให้เราเอง”
สมัยเป็นวัยรุ่นเลิกกับแฟนคนแรกก็ร้องไห้ปางตาย แต่หลังจากนั้นพอคนที่สามที่สี่ก็เฉย ๆ คิดว่า “อ๋อ…เขาไปแล้วเหรอ” ไม่ร้องไห้ ไม่เสียใจ แต่กลับเข้าใจได้ว่า “ไม่ใช่ก็ไม่เป็นไร”
วิธีคิดพิชิตหนี้ก้อนใหญ่
ช่วงหลังปี 2540 แหม่มประสบวิกฤติชีวิตครั้งใหญ่ ทั้งล้มละลาย เป็นหนี้หลายล้าน เลิกกับแฟน ป่วยหนัก เรียกว่า ทุกอย่างรุมเร้าถึงที่สุดจนไม่ทราบว่าจะแก้ปัญหาไหนก่อนดี
เมื่อมองย้อนกลับไป แหม่มคิดว่าตอนนั้นตัวเองนำปัญหาทุกอย่างมารวมกันเป็นก้อนใหญ่เอง จนมองไม่ออกว่าจะสะสางได้อย่างไร ทั้งที่ความจริงแล้วทุกปัญหามีทางออก ถ้าเรารู้จักจัดเรียงลำดับจากน้อยไปมาก จากง่ายไปยาก จากปัญหาแรกไปปัญหาสุดท้าย แต่สิ่งสำคัญคือ เราต้องยอมรับให้ได้ก่อนว่ามีปัญหา แล้วจึงคิดหาเหตุหาผล ที่สุดคำตอบก็จะมาเอง
แทบไม่น่าเชื่อว่า คนที่สอนให้แหม่มแก้ปัญหาอย่างถูกต้องคือพนักงานธนาคาร เพราะหลังจากเป็นหนี้ธนาคารหลายล้าน จนไม่ทราบว่าจะหาเงินมาใช้หนี้ได้อย่างไร พนักงานธนาคารที่แหม่มต้องเจรจาเรื่องหนี้ด้วยก็แนะนำว่า
“พี่ลองเขียนรายการหนี้ของพี่ออกมานะ จากหนี้ก้อนโตที่สุด ไปจนถึงหนี้ที่น้อยที่สุด หลังจากนั้นพี่ก็เริ่มใช้หนี้น้อยๆ ก่อนแล้วที่เหลือพี่ก็ค่อย ๆ ทยอยใช้คืนไปเรื่อย ๆ จนหมด”
แหม่มทำตามคำแนะนำนั้น จนวันนี้สามารถใช้หนี้ได้เกือบหมด แทบไม่มีอะไรต้องกังวลใจอีกต่อไป มีแต่ตั้งหน้าตั้งตาขายอาหารตามสั่ง วันนี้อาจขายดี อีกวันขายไม่ดีก็ไม่เครียด รู้จักทำใจตัวเองให้สบาย ๆ
เกือบแต่งงาน แต่ไม่ได้แต่งเพราะ…
ชีวิตทุกวันนี้ของแหม่มเรียกว่าโสดสนิท สมัยก่อนด้วยความที่คิดว่า “เราสวยเลือกได้” ก็เลือกเยอะ ด้วยความที่แหม่มเติบโตมาจากครอบครัวที่แตกแยก ทำให้มีปมในใจว่า หากวันหนึ่งมีครอบครัวแล้วต้องหย่าร้าง ลูกก็ต้องอยู่คนเดียว มีชีวิตเหมือนเรา คิดแล้วก็กลัว พอคบกันไปสักพัก คนที่คิดว่าจะแต่งงานด้วยกลับเลิกรากันไป
ส่วนคนที่มาขอแต่งงานด้วย แหม่มก็ตอบปฏิเสธเขาไป เพราะคิดว่าตัวเองเพิ่งเข้ามาทำงานในวงการบันเทิงได้ไม่นาน ยังสนุกกับการใช้ชีวิต กลัวว่าถ้าแต่งงานไปแล้ว ชีวิตคงจบลงแค่นั้น สุดท้ายเขาก็เลยไปแต่งกับคนอื่น
ทุกวันนี้ตั้งจิตอธิษฐานเลยว่า ถ้าจะมีใครเข้ามาก็ขอให้เราเป็นกัลยาณมิตรที่ดีต่อกัน ไปกินข้าว ดูหนัง ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แต่ในอีกแง่หนึ่ง แหม่มพบว่าการไม่มีแฟนก็มีความสุขไปอีกแบบ เพราะเพื่อนหลายคนที่มีครอบครัวมักจะพูดให้ฟังแบบขำ ๆ ว่า
“เป็นโสดน่ะดีแล้ว แกรู้ไหมว่าฉันจะไปไหนแต่ละทีต้องขออนุญาตสามีอยู่ 3 วัน แถมพอออกจากบ้านปั๊บ โดนถามทันทีว่า ‘จะกลับกี่โมง’ ชีวิตไม่มีอิสระเลย”
ส่วนเรื่องมีลูก สมัยก่อนแหม่มเคยคิดว่าอยากมีลูกเหมือนผู้หญิงทั่วไป แต่ตอนนี้คงไม่ทันแล้ว ได้แต่เลี้ยงหลานชื่อ น้องใบเตย ลูกสาวของลูกพี่ลูกน้องแทน แหม่มรักเขาเหมือนลูก ดูแลตั้งแต่ตอนที่แม่เขาท้อง และช่วยเลี้ยงจนอายุ 2 ขวบ ตอนนี้เขาอยู่กับแม่ที่ศรีราชา ว่างๆ แหม่มก็จะไปเยี่ยม
สำหรับเรื่องคู่ครอง แหม่มคิดว่าแล้วแต่บุญแต่กรรม ถ้ามีก็ดีจะได้มีเพื่อนคู่คิด แต่ถ้าไม่มีก็ดี ชีวิตก็สงบราบรื่น เป็นอิสระ แหม่มคิดว่าถ้าเราคิดในแง่ดี อย่าไปคิดลบเสียอย่าง เราก็หาความสุขให้ตัวเองได้แล้ว
อย่าทักทายด้วยคำที่ทำร้ายกันอีกเลย
แหม่มคิดว่าสังคมไทยเป็นสังคมที่น่ารัก อบอุ่น แต่บางครั้งเราก็อาจทำร้ายคนอื่นโดยที่ไม่รู้ตัว เพราะแทนที่เราจะทักทายกันว่า “สบายดีไหมคะ ช่วงนี้ทำอะไรอยู่” เรากลับทักทายด้วยคำพูดที่ว่า
“ต๊าย…ไปทำอะไร ทำไมปล่อยให้อ้วนขนาดนี้ ดูแลตัวเองบ้างนะ…”
หรือถ้าผอมลง หลายคนก็คงจะเคยได้ยินคำพูดประมาณนี้
“ต๊าย…เป็นอะไร ทำไมถึงผอม ลดความอ้วนหรือผัวมีเมียน้อย…”
ค่านิยมที่ว่าเป็นดาราแล้วต้องผอม หุ่นดีอยู่เสมอ สร้างความกดดันให้แหม่มเป็นอย่างมาก เพราะช่วงที่ป่วยแหม่มต้องกินยาสเตียรอยด์เลยทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น แต่ไม่มีใครรู้ บางครั้งพอบอกใครว่าอ้วนเพราะกินยา คนที่เข้ามาทักก็คิดว่าแหม่มหาข้อแก้ตัว ใครที่คิดแบบนี้ช่วงแรกๆ แหม่มก็จะตอกกลับไปอย่างไม่ถนอมน้ำใจว่า
“ขอโทษนะคะ ดิฉันเป็นดารา ไม่ใช่คนในบ้านคุณ ถ้าไม่ชอบก็ไม่ต้องดูนะคะ เปลี่ยนช่องได้เลยค่ะ” หลัง ๆ เจอคำถามนี้มากเข้า แหม่มก็ได้แต่ยิ้ม ไม่ตอบอะไร แล้วเดินผ่านไปเลย คิดในใจว่า “ถ้ากูตอบ มึงก็ตาย” เพราะถ้าใครทักมาแบบนี้ แหม่มก็โต้กลับไปเจ็บๆ เหมือนกัน
หลายคนฟังแล้วอาจคิดว่าแหม่มเป็นคนแรง แต่แหม่มคิดว่านี่คือชีวิตของเรา ไม่จำเป็นต้องให้ใครตัดสิน ทำไมต้องให้คนอื่นมานั่งบอกว่า “ฉันต้องเป็นอย่างนั้น ฉันต้องทำอย่างนี้”
แต่สำหรับใครที่ทำได้อย่างที่สังคมคาดหวัง แหม่มก็ดีใจด้วย อย่าง พี่ตั๊ก – มยุรา เศวตศิลา ซึ่งมีระเบียบกับตัวเองดีมาก เมื่อ 20 ปีที่แล้วเราเคยเล่นละครด้วยกัน แหม่มยังตัวเท่าพี่เขาเลยแต่เวลาผ่านไปเขาก็ยังเป็นตั๊กที่ตัวเท่าเดิม แต่แหม่มกลับกลายเป็นตั๊ก-ตั๊ก (ฮา) แทน
แหม่มคิดว่าคงมีหลายคนที่ประสบปัญหาเดียวกันนี้ จึงอยากจะบอกคนอื่นๆ ในสังคมว่า เรามาเปลี่ยนคำทักทายใหม่เป็น “สบายดีไหม” หรือ “วันนี้ดูสดใสจัง” เพื่อเป็นการให้กำลังใจกันดีกว่าค่ะ ลองหามุมดีๆ ของคนอื่นมาพูด แหม่มคิดว่าสังคมไทยจะน่าอยู่ขึ้นอีกเยอะ
(ติดตามตอนต่อไป)
เรื่อง อลิสา ขจรไชยกุล เรียบเรียง เสาวลักษณ์ ศรีสุวรรณ ภาพ สรยุทธ พุ่มภักดี