เรื่องเล่าของ ผู้เห็นความตายล่วงหน้า
มีคนเคยกล่าวไว้ว่า ไม่มีใครรู้ว่าความตายจะมาถึงเราวันไหน แต่เห็นทีคำกล่าวนี้อาจใช้ไม่ได้กับทุกคน…โดยเฉพาะกับ ผู้เห็นความตายล่วงหน้า
ทฤษฎีที่น่าสนใจข้อหนึ่งบอกไว้ว่าหากเป็นเหตุการณ์ใหญ่ ๆ ที่มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากก็จะมีคนที่มองเห็นความตายล่วงหน้ามากขึ้นตามไปด้วย
ประมาณ 2 - 3 วันก่อนที่ เอบราแฮม ลิงคอล์น ประธานาธิบดีคนที่ 16 ของสหรัฐอเมริกา จะถึงแก่อสัญกรรม เขาได้เล่าให้คนใกล้ชิดฟังว่า
“เมื่อสิบวันก่อนผมเลิกงานดึกมากเพราะต้องรอส่งแขกคนสำคัญก่อน พอขึ้นนอนบนเตียงได้ไม่นาน ผมก็ผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน ไม่นานผมก็เริ่มฝัน ผมรู้สึกถึงบรรยากาศของความตายรายล้อมอยู่รอบตัว และได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นเหมือนว่ามีคนจำนวนมากมาร้องไห้อยู่ใกล้ ๆ ผมลุกขึ้นจากเตียง เดินลงไปชั้นล่าง…ผมได้ยินเสียงร้องไห้ปานใจจะขาดดังระงมไปทั่ว แต่กลับมองไม่เห็นใครแม้แต่คนเดียวผมทั้งสงสัยและตกใจมาก และตัดสินใจที่จะตามหาต้นตอของเสียงนั้น ผมเดินไปจนถึง ‘ห้องตะวันออก’ ซึ่งพอเดินเข้าไปในห้อง ก็มองเห็นหีบศพใบหนึ่งซึ่งประดับตกแต่งไว้อย่างสวยงามราวกับกำลังรอการทำพิธีทางศาสนาตั้งอยู่ มีนายทหารยืนอยู่รอบโลง ราวกับกำลังคุ้มกันผู้ที่กำลังหลับใหลมีคนจำนวนมากยืนชุมนุมกันร้องไห้
“ผมถามทหารว่า ‘ใครกันที่มาตายในไวท์เฮ้าส์’ ทหารคนหนึ่งตอบว่า ‘ท่านประธานาธิบดี’…ขาดคำก็มีเสียงกรีดร้องดังขึ้นมาจากกลุ่มคนว่า ‘ท่านตายเพราะถูกลอบสังหาร’ เสียงนั้นทำให้ผมตกใจตื่นและหลับไม่ลงอีกเลยตลอดคืน แม้ว่ามันจะเป็นแค่ความฝัน แต่มันก็รบกวนจิตใจผมตลอดมานับตั้งแต่นั้น”
ช่างน่าประหลาดที่ลิงคอล์นมองเห็นความตายของตัวเองอย่างแม่นยำจนไม่น่าเชื่อ หรืออย่างตอนที่ วิทนีย์ ฮูสตัน เสียชีวิต เพื่อนสนิทหลายคนของเธอเล่าว่า วิทนีย์ก็มองเห็นวาระสุดท้ายของตัวเองเหมือนกัน เพราะ 2 – 3 วันก่อนหน้านั้นจู่ ๆ เธอก็กลายเป็นคนที่ชอบพูดถึงพระเจ้า เธอถกปัญหาในพระคัมภีร์กับเพื่อน ๆ อย่างยาวนาน และยังบอกกับพวกเขาว่า “ฉันอยากไปพบพระเจ้าเหลือเกิน…ฉันคิดว่าฉันใกล้จะได้พบกับพระองค์แล้ว”
“การมองเห็นความตายล่วงหน้า” หรือที่ศัพท์ภาษาอังกฤษเรียกว่า “Death Premonition” อย่างในกรณีของลิงคอล์น และวิทนีย์อาจเป็นเรื่องที่หลายคนเคยได้ยินกันมาบ้างแล้ว ด้วยความที่ทั้งสองเป็นคนดังระดับโลก แต่ถ้าไล่เรียงดูกันจริง ๆ ก็จะพบว่า มีคนจำนวนไม่น้อยที่พอจะรู้ “คร่าว ๆ” ว่าเวลาของตนเองใกล้จะหมดลงเมื่อไร เช่น คนที่จู่ ๆ ก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังจะตาย จึงเร่งเขียนพินัยกรรม หรือปู่ย่าตายายที่วันดีคืนดีก็เรียกให้ลูก ๆ หลาน ๆ กลับมาเยี่ยม ฯลฯ แล้วหลังจากนั้นไม่กี่วันคนคนนั้นหรือคุณปู่คุณย่าท่านนั้นก็เสียชีวิต
ด้วยเหตุนี้ การเห็นความตายล่วงหน้าจึงเป็นหนึ่งในสัมผัสพิศวงที่ผู้คน (ที่สนใจด้านนี้) รู้จักกันดี ถึงขั้นมีการเขียนเป็นทฤษฎีขึ้นมาเลยทีเดียว ทฤษฎีที่น่าสนใจข้อหนึ่งบอกไว้ว่า หากเป็นเหตุการณ์ใหญ่ ๆ ที่มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ก็จะมีคนที่มองเห็นความตายล่วงหน้ามากขึ้นตามไปด้วย ทฤษฎีนี้แม้จะฟังดูไม่น่าเป็นไปได้แต่เอาเข้าจริงกลับมีตัวอย่างรองรับมากมาย
เรื่องที่โด่งดังเรื่องหนึ่งคือ เหตุการณ์เหมือง Marfa Colliery ถล่มในปี ค.ศ.1890 เหมืองแห่งนี้ตั้งอยู่ในเมืองพอร์ตทอลบอต (Port Talbot) แห่งเวลส์ วันที่เกิดเหตุมีคนงานเกือบครึ่งหนึ่งลาหยุดงานพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย เมื่อสอบถามภายหลังจึงทราบว่า พวกเขาลาหยุดเพราะรู้สึกไม่สบายและใจคอไม่ดีเอามาก ๆ จนไม่อยากไปทำงานจริง ๆ บางคนถึงกับบอกว่าได้กลิ่นความตายลอยขึ้นมาจากเหมืองด้วย
อย่างไรก็ดี ในวันนั้นยังมีคนงานไปทำงานตามปกติถึง 87 คน และในนาทีที่เหมืองถล่ม ทุกคนก็เสียชีวิตหมด
อีกเหตุการณ์หนึ่งที่ร่ำลือกันว่ามีผู้คนเห็นความตายล่วงหน้าจำนวนมากก็คือ เหตุวินาศกรรมในวันที่ 11 กันยายน ค.ศ.2001 หรือ เหตุการณ์ 9/11 ในวันครบรอบเหตุการณ์ปีที่ 9 บอนนี่ ภรรยาม่ายของ เอมอน แมคอีเนียนีย์ (Eamon Mc-Eneaney) ได้ตีพิมพ์หนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า Messages: Signs, Visits, and Premonitions from Loved Ones Loston 9/11 เพื่อเป็นการไว้อาลัยต่อโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้น หนังสือเล่มนี้เล่าเกี่ยวกับประสบการณ์เหนือธรรมชาติที่ครอบครัวและเพื่อนฝูงของผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ 9/11 หลายคนได้สัมผัส
บอนนี่เล่าว่า ในวันนั้นสามีของเธอได้รับสัญญาณบางอย่างที่สื่อว่าเขากำลังจะตาย เช่น จู่ ๆ เอมอนก็บอกให้เธอเข้มงวดกับลูก ๆ ในเรื่องระเบียบวินัยมากขึ้น ทั้งที่ทั้งคู่เคยตกลงกันว่าเรื่องนี้จะเป็นหน้าที่ของเอมอน เมื่อเธอย้อนถาม เขากลับตอบว่า “ใช่ มันเป็นหน้าที่ของผม แต่ผมอาจจะอยู่ได้ไม่นานขนาดนั้น คุณต้องหาวิธีสอนลูก ๆ ด้วย” แถมตอนก่อนจะออกไปทำงานในวันมรณะนั้น เอมอนก็เกิดปวดศีรษะอย่างรุนแรงขึ้นมากะทันหันจนเธอต้องขอให้เขาลาหยุด แต่เอมอนก็รั้นจะไปทำงานให้ได้และนั่นคือครั้งสุดท้ายที่เธอได้เห็นเขา
จากคำบอกเล่าของคนที่เคยมองเห็นความตายล่วงหน้า พบว่า สัญญาณที่บ่งบอกว่าความตายรออยู่ใกล้ ๆ ตัวมีได้หลายรูปแบบ ที่พบบ่อยที่สุดคือ ลางในรูปของความฝัน แม้บางคนจะไม่ได้ฝันถึงความตายตรง ๆ แต่ก็อาจฝันเห็นสิ่งของที่สื่อถึงความตาย หรือฝันถึงบรรพบุรุษที่มีความเกี่ยวข้องในอดีต ซึ่งมักจะมาปรากฏตัวให้เห็นชัดเจนราวกับได้เจอกันจริง ๆ และที่แปลกก็คือ บางความฝันก็มีความหมายที่เป็นสากลด้วย เช่น ไม่ได้มีแต่คนไทยเท่านั้นที่เชื่อว่า การฝันว่าฟันหักคือลางที่บ่งบอกถึงความตายของคนใกล้ชิด คนตะวันตกก็เชื่อเช่นนั้นเหมือนกัน แถมความฝันนี้ยังแม่นยำจนน่าขนลุก
ส่วนบุคคลที่เห็นก็ไม่ได้มีแต่เจ้าตัวเท่านั้น ยังมีคนที่มีเซ้นส์ในเรื่องนี้โดยเฉพาะซึ่งสามารถทำนายความตายของคนทั่วไปได้อย่างแม่นยำอีกด้วย เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่เร้นลับอย่างยิ่ง และทำให้เกิดความคิดที่จะนำความสามารถพิเศษนี้มาใช้เพื่อการเตือนภัย ซึ่งน่าจะช่วยยับยั้งไม่ให้เกิดความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงขึ้นได้ในอนาคต
ทว่า ถ้าเรานำความสามารถนี้มาใช้จริงก็คงจะเกิดความโกลาหลไม่น้อย และอาจมีข้อขัดแย้งทางศีลธรรมที่ยากจะหาจุดจบที่ลงตัวได้ เช่น ถ้าเรารู้ว่าเครื่องบิน United 93 เที่ยวเช้าวันที่ 11 กันยายน ค.ศ.2001 จะตก แล้วเราบอกให้คนที่เรารักเปลี่ยนไฟลท์ เมื่อเขายอมเปลี่ยน เขาจึงไม่ตาย ฉะนั้นก็อาจมีใครบางคนที่ขึ้นเครื่องบินลำนั้นแทนเขาและต้องตายแทนเขาก็เป็นได้ อย่างนี้จะไม่เท่ากับว่าเราเลือกปกป้องเฉพาะคนที่เรารักโดยไม่คำนึงถึงเพื่อนมนุษย์คนอื่นละหรือ
อย่างไรก็ดี ญาติของผู้ที่ผ่านประสบการณ์การเห็นความตายล่วงหน้าเล่าว่า สัญญาณนี้มีข้อดีอย่างหนึ่งตรงที่สามารถบรรเทาความเศร้าโศกจากการลาจากได้บ้าง เพราะในหลายกรณี มันทำให้ผู้ตายมีโอกาสได้แสดงความรู้สึกอย่างเปิดเผยเป็นครั้งสุดท้าย นับเป็นการอำลาที่ลึกซึ้ง หมดจดและช่วยปลอบประโลมผู้ที่อยู่ข้างหลังได้อย่างมากมายมหาศาล
หากเป็นเช่นนั้น เราทุกคนก็ควรเก็บข้อดีนี้ไว้ โดยไม่จำเป็นต้องรอให้มีลางสังหรณ์หรือความสามารถพิเศษใด ๆเพราะการเตรียมตัวรับมือกับความตายตั้งแต่ตอนนี้ น่าจะเป็นการเตรียมพร้อมที่ดีที่สุด
ที่มา นิตยสาร Secret
เรื่อง Violet